Living – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Wed, 27 Nov 2024 11:19:39 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ‘ซ่าให้สุดทาง’ แคมเปญใหม่จาก ‘โซดาสิงห์’ เครื่องดื่มแบรนด์แรกในเอเชีย จับมือกับ Harley-Davidson ผสานคาแรกเตอร์ ตอกย้ำแบรนด์โซดาซ่าตัวจริง https://thestandard.co/singha-soda-harley-davidson/ Wed, 27 Nov 2024 11:18:05 +0000 https://thestandard.co/?p=999793

แม้ ‘โซดาสิงห์’ จะอยู่ในตลาดมานานหลายปี แต่ก็ไม่เคยหยุด […]

The post ‘ซ่าให้สุดทาง’ แคมเปญใหม่จาก ‘โซดาสิงห์’ เครื่องดื่มแบรนด์แรกในเอเชีย จับมือกับ Harley-Davidson ผสานคาแรกเตอร์ ตอกย้ำแบรนด์โซดาซ่าตัวจริง appeared first on THE STANDARD.

]]>

แม้ ‘โซดาสิงห์’ จะอยู่ในตลาดมานานหลายปี แต่ก็ไม่เคยหยุดนิ่งในการสร้าง Branding ให้มีสีสันอยู่ตลอดเวลา จนสามารถครองส่วนแบ่งการตลาดอันดับหนึ่ง และเป็นแบรนด์ที่นั่งอยู่ในใจผู้บริโภคมาอย่างยาวนาน 

 

จึงไม่แปลกที่สโลแกน ‘ทุกหยดซ่า โซดาสิงห์’ ยังดูทรงพลังตั้งแต่อดีตจนถึงวันนี้ กระทั่งล่าสุดโซดาสิงห์ได้มูฟเมนต์ครั้งใหม่ โดยการร่วมงานกับ Harley-Davidson (ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน) แบรนด์ผู้ผลิตมอเตอร์ไซค์ระดับโลกสัญชาติอเมริกัน เปิดตัวแคมเปญ ‘ซ่าให้สุดทาง’ เดินหน้าจัดกิจกรรมแบบจัดเต็มลากยาวจนถึงสิ้นปี เพื่อตอกย้ำแบรนด์โซดาซ่าตัวจริง อันดับหนึ่งในใจผู้บริโภค 

 

หากย้อนไปดูที่ผ่านมา โซดาสิงห์มีพันธมิตรหลากหลายสไตล์เริ่มตั้งแต่ Alex Face ศิลปินไทยผู้สร้างผลงานกราฟฟิตี้ดังไกลทั่วโลก ตามด้วย Mr.Cartoon ศิลปินช่างสักระดับโลก เจ้าของลายสักที่มีเอกลักษณ์บนตัวศิลปินระดับโลกมากมาย, S.V.S.S. และ Dry Clean Only แบรนด์แฟชั่นสตรีทอาร์ตสัญชาติไทย ฯลฯ ที่มาร่วมสร้างสรรค์ผลงานลงบนฉลากลิมิเต็ดเอดิชัน ซึ่งได้รับการตอบรับจากกลุ่มเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง 

 

 

การร่วมงานของโซดาสิงห์และ Harley-Davidson ในครั้งนี้นับเป็นการคอลลาบอเรชันกับโกลบอลแบรนด์ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ที่เคยมีมา และถือได้ว่านี่คือการที่เครื่องดื่มจากเอเชียอย่างโซดาสิงห์ได้ร่วมงานกับแบรนด์ระดับตำนานอย่าง Harley-Davidson อีกด้วย 

 

ว่ากันว่าใช้เวลาเจรจาร่วมกันนานกว่า 3 ปีเลยทีเดียว โดย ภูริต ภิรมย์ภักดี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด กล่าวถึงเป้าหมายของแคมเปญครั้งนี้ว่า แท้จริงแล้วเป็นการสร้างโมเมนตัมให้เกิดขึ้น อีกทั้งยังเป็นสิ่งสะท้อนการไม่หยุดนิ่งของแบรนด์ เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมาย เราจะเลือกทำสิ่งที่ดีที่สุดและเหมาะกับแบรนด์ อีกทั้งการได้ร่วมงานกับ Harley-Davidson ก็ถือเป็นเรื่องน่ายินดีที่เขาให้เกียรติมาร่วมงานกับเรา 

 

สิ่งที่น่าสนใจของแคมเปญอยู่ภายใต้คอนเซปต์ ‘ซ่าให้สุดทาง’ เป็นการนำจุดแข็งของทั้งสองแบรนด์มารวมกัน ทั้งความซ่าของโซดาสิงห์ในการสร้างทั้งความต่างและแรงบันดาลใจให้ผู้บริโภค ขณะที่แบรนด์ระดับตำนานของโลกอย่าง Harley-Davidson เป็นที่นิยมและได้รับการยอมรับจากทั่วโลก 

 

 

ทั้งสองแบรนด์ล้วนมีคาแรกเตอร์ที่ชัดเจนและมีประวัติศาสตร์มายาวนาน ครองใจผู้บริโภคหลากหลายกลุ่มในวงกว้าง

 

 

อีกหนึ่งเป้าหมายของแคมเปญยอดขายเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่โซดาสิงห์อยากสร้างทัศนคติให้กับแบรนด์ที่อยู่ในตลาดมาอย่างยาวนาน จนถึงวันนี้แบรนด์ไม่ได้เก่าตามช่วงเวลา แต่ยังพยายามสื่อสารกับคนรุ่นใหม่ให้ได้ โดยทำให้เห็นว่าโซดาสิงห์เป็นเสมือนพี่ชายที่อยู่เคียงข้างกันไป 

 

 

สำหรับไฮไลต์ความพิเศษของแคมเปญคือ การออกฉลากดีไซน์ลิมิเต็ดเอดิชัน ‘โซดาสิงห์ x Harley-Davidson’ รวมถึงกิฟต์เซ็ตและเสื้อออฟฟิเชียลคอลเล็กชันส่งตรงจาก Harley-Davidson สหรัฐอเมริกา งานนี้นักสะสมหรือแม้แต่สายแฟชั่นทั้งหลายไม่ควรพลาด

 

 

รวมถึงกิจกรรมโรดโชว์ที่เดินทางไปจังหวัดภูเก็ต, พิษณุโลก, นครราชสีมา, เชียงใหม่ และปิดท้ายที่จังหวัดเชียงราย และในปีนี้โซดาสิงห์ยังร่วมเป็นเจ้าบ้านต้อนรับนักขับขี่จากหลากหลายประเทศทั่วเอเชียในงาน Asia Harley Days ซึ่งถือเป็นการรวมตัวคนรักฮาร์ลีย์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย โดยจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย และจัดคู่กับคอนเสิร์ต Thailand Moto-Music Festival of Asia ที่สิงห์ปาร์ค จังหวัดเชียงราย

 

 

เชื่อว่าแคมเปญ ‘ซ่าให้สุดทาง’ นอกจากจะเป็นการเชื่อมต่อทางวัฒนธรรมแล้ว ยังจะสามารถส่งต่อความสนุกสนานและสร้างประสบการณ์ที่ดี ซึ่งไม่ใช่แค่เพียงผู้ขับขี่ในประเทศไทยเท่านั้น แต่เป็นผู้ขับขี่ทั่วเอเชียที่จะมีโอกาสเข้าร่วมงานรวมตัวประจำปีที่กำลังจะจัดขึ้นที่จังหวัดเชียงรายด้วย

 

เรียกได้ว่ากลยุทธ์คอลลาบอเรชันเป็นหัวใจหลักของโซดาสิงห์ที่ทำร่วมกับแบรนด์อื่นๆ มาโดยตลอด และเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ผู้บริโภครอคอยทุกปี ไม่ว่าจะร่วมมือกับใครหรือแบรนด์ไหนก็สามารถครีเอตสิ่งใหม่ๆ ให้กับตลาดและผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี 

 

 

ในอนาคตจะได้เห็นการร่วมงานกับแบรนด์ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการเลือกร่วมงานกับแบรนด์ต่างๆ ส่วนใหญ่จะพิจารณาจากประวัติที่ยาวนานของแบรนด์ มีคาแรกเตอร์ตรงกัน เป็นกลุ่มโปรดักต์พรีเมียม และตั้งใจสื่อสารกับคนรุ่นใหม่ หรือจะเรียกได้ว่าทั้งสองแบรนด์จะต้องเสริมภาพลักษณ์ให้กันได้

 

สุดท้ายแล้วการทำตลาดของโซดาสิงห์ไม่มีฉบับตายตัว แต่มีจะปรับเปลี่ยนให้เข้าถึงไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในแต่ละยุคสมัย เนื่องด้วยวิธีคิดและไอเดียใหม่ๆ จึงทำให้ผู้บริโภครู้สึกมีความผูกพันกับแบรนด์มาอย่างยาวนาน

The post ‘ซ่าให้สุดทาง’ แคมเปญใหม่จาก ‘โซดาสิงห์’ เครื่องดื่มแบรนด์แรกในเอเชีย จับมือกับ Harley-Davidson ผสานคาแรกเตอร์ ตอกย้ำแบรนด์โซดาซ่าตัวจริง appeared first on THE STANDARD.

]]>
19 ปี สยามพารากอน: ยืนหยัดเป็น Global Destination ที่ตอบโจทย์ครบครันทุกมิติ [PR NEWS] https://thestandard.co/19-years-siam-paragon/ Fri, 22 Nov 2024 09:59:16 +0000 https://thestandard.co/?p=1011679 สยามพารากอน

ถ้าพูดถึง ‘สยามพารากอน’ คุณนึกถึงอะไรเป็นอย่างแรก? &nbs […]

The post 19 ปี สยามพารากอน: ยืนหยัดเป็น Global Destination ที่ตอบโจทย์ครบครันทุกมิติ [PR NEWS] appeared first on THE STANDARD.

]]>
สยามพารากอน

ถ้าพูดถึง ‘สยามพารากอน’ คุณนึกถึงอะไรเป็นอย่างแรก?

 

หากมองย้อนกลับไป 19 ปีที่แล้ว เป็นปีที่กำเนิดสยามพารากอน ศูนย์การค้าใจกลางเมืองที่เปลี่ยนวงการศูนย์การค้าไทยไปตลอดกาล

 

ด้วยคอนเซปต์ที่เต็มไปด้วยความหรูหรา และการมอบประสบการณ์ที่เหนือกว่าด้วยความ ‘ใหม่’ อยู่เสมอ ทั้งการเปิดร้านอาหารชื่อดังสาขาแรกที่นี่ ช็อปเสื้อผ้าแฟชั่นที่อัปเดตอยู่ตลอดเวลา หรือกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่หาที่ไหนไม่ได้

 

 

อีกหนึ่งจุดเด่นที่สำคัญของสยามพารากอนคือบรรยากาศแห่งความลักชัวรี ที่เปิดโอกาสให้ทุกคนได้สัมผัสความหรูหราด้วยการรวบรวมแบรนด์ชั้นนำระดับโลกที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์อย่างลงตัว จนทำให้ปัจจุบันสยามพารากอนกลายเป็น Luxury Destination ที่ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติตั้งใจมาสัมผัสประสบการณ์ที่ครบครันและสมบูรณ์แบบที่สุด

 

มหานครแห่งแฟชั่นระดับโลก

 

 

 

สยามพารากอนคือสวรรค์ของเหล่านักช้อปตัวจริง ด้วยการรวบรวมแบรนด์สุดหรูระดับโลกเอาไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์แฟชั่น เครื่องประดับ หรือนาฬิกา นอกจากนี้ยังเป็นผู้นำเทรนด์แฟชั่นใหม่ๆ ทั้งการจัดแฟชั่นโชว์เพื่ออัปเดตเทรนด์ การเปิดตัวคอลเล็กชันพิเศษที่หาได้เฉพาะที่นี่เท่านั้น และการเปิดป๊อปอัพสโตร์ของแบรนด์ดังที่สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับนักช้อป ทำให้สยามพารากอนเป็นจุดหมายปลายทางของเหล่าแฟชั่นนิสต้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ

 

 

สวรรค์ของนักชิมตั้งแต่สตรีทฟู้ดถึงมิชลินสตาร์

 

 

19 ปีที่ผ่านมา สยามพารากอนสร้างตำนานร้านอาหารสุดฮิตไว้มากมาย ด้วยการนำร้านดังจากต่างประเทศมาเปิดที่นี่ที่แรก จนกลายเป็นจุดหมายที่นักชิมทั่วไทยต้องมาต่อคิวตั้งแต่ห้างเปิด

 

นอกจากนี้ยังมอบประสบการณ์การรับประทานอาหารที่หลากหลาย ตั้งแต่ร้านอาหารไทยต้นตำรับ ร้านอาหารนานาชาติ ไปจนถึงร้านอาหารที่ได้รับรางวัลมิชลินสตาร์ ยังไม่หมดเท่านี้ เพราะยังมีโซนอาหารสตรีทฟู้ดที่คัดสรรเมนูเด็ดจากทั่วประเทศมาให้ลิ้มลอง และมี Food Festival เป็นประจำเพื่อให้ได้ลิ้มลองร้านอาหารใหม่ๆ อยู่เสมอ

 

ประสบการณ์เหนือระดับที่มากกว่าการช้อปปิ้ง

 

ไม่ได้ตอบโจทย์แค่เหล่านักช้อป เพราะที่สยามพารากอนรวมกิจกรรมและความบันเทิงที่ตอบโจทย์ทุกความชอบ ไม่ว่าจะเป็นโรงภาพยนตร์สุดพรีเมียมสำหรับคอหนัง ฟิตเนสใจกลางเมืองสำหรับคนรักสุขภาพ ฮอลล์ใหญ่เพื่อจัดคอนเสิร์ตสำหรับผู้รักในเสียงเพลง หรือนิทรรศการศิลปะที่ผลัดเปลี่ยนตามเทศกาล

 

 

นอกจากนี้ยังมีซีไลฟ์ อควาเรียมขนาดใหญ่ที่เป็นแหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับสัตว์ทะเลที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ให้เด็กๆ ได้เพลิดเพลินไปกับการดูสัตว์น้ำ โดยปัจจุบันคอลแลบกับศิลปินชื่อดังเพื่อสร้างสรรค์ประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับผู้เข้าชมอีกด้วย

 

 

สยามพารากอน แลนด์มาร์กแห่งการเปลี่ยนแปลง 

ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนและมีศูนย์การค้าเกิดใหม่อีกมากมายเพียงใด สยามพารากอนยังคงเป็น ‘แลนด์มาร์ก’ ในใจของชาวไทยและชาวต่างชาติ ที่พัฒนาไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของเทรนด์และวิวัฒนาการของไลฟ์สไตล์คนเมืองได้อย่างสมบูรณ์แบบ 

 

 

ด้วยการเป็น ‘ผู้นำ’ พร้อมเปิดประตูสู่โลกแห่งความหรูหรา และสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างมากกว่าการช้อปปิ้ง แต่ครอบคลุมทั้ง Luxury Watch Destination และ World Class Food Destination ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้คนทุกมิติแบบไม่มีศูนย์การค้าไหนเทียบเคียงได้

The post 19 ปี สยามพารากอน: ยืนหยัดเป็น Global Destination ที่ตอบโจทย์ครบครันทุกมิติ [PR NEWS] appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘buz’ แอปส่งข้อความเสียง ดีไซน์เรียบง่าย สะท้อน ‘พลังของเสียง’ ที่ทัชใจทุกคำ เข้าถึงทุกความรู้สึก [ADVERTORIAL] https://thestandard.co/buz-voice-messaging-app/ Wed, 20 Nov 2024 10:45:41 +0000 https://thestandard.co/?p=1010530

ถึงตัวอักษรจะถ่ายทอดสิ่งที่คุณคิดได้ก็จริง แต่บางครั้งก […]

The post ‘buz’ แอปส่งข้อความเสียง ดีไซน์เรียบง่าย สะท้อน ‘พลังของเสียง’ ที่ทัชใจทุกคำ เข้าถึงทุกความรู้สึก [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>

ถึงตัวอักษรจะถ่ายทอดสิ่งที่คุณคิดได้ก็จริง แต่บางครั้งก็ไม่สามารถถ่ายทอด ‘ความรู้สึก’ ที่แท้จริงออกมาได้ทั้งหมด แถมเรายังเผลอตีความน้ำเสียงผ่านตัวอักษรด้วย ‘มุมมอง’ ของเรา จนทำให้พลาดที่จะรับรู้ความรู้สึกที่แท้จริง 

 

‘เสียง’ มีอิทธิพลต่ออารมณ์มากกว่าที่เราคิด นักวิทยาศาสตร์จาก McGill University ทำวิจัยเกี่ยวกับความสามารถของมนุษย์ในการรับรู้อารมณ์และความรู้สึกของคู่สนทนาจากเสียง พบว่ามนุษย์สามารถจำแนกอารมณ์โกรธ เศร้า หรือมีความสุข ได้ทันทีหลังจากฟังเสียง แม้จะเป็นเสียงพูดที่จับใจความไม่ได้

 

 

นี่คือจุดเริ่มต้นให้ Vocalbeats บริษัทเทคโนโลยีสัญชาติสิงคโปร์ ที่ต้องการจะสร้างแพลตฟอร์มที่เชื่อมต่อผู้ใช้งานผ่านเสียง พัฒนา ‘buz’ แอปพลิเคชันส่งข้อความที่เน้นสื่อสารด้วยเสียง

 

ด้วยความเชื่อที่ว่า ‘พลังของเสียง’ จะทำให้การสื่อสารทรงพลังยิ่งขึ้น เพราะ ‘เสียง’ เป็นก้าวแรกและก้าวสำคัญที่จะทำให้เกิดการสื่อสารกันระหว่างมนุษย์ เป็นวิธีการสื่อสารที่เป็นธรรมชาติที่สุดและสามารถบ่งบอกตัวตน อารมณ์ และความรู้สึกของผู้พูดได้ การสื่อสารด้วยเสียงจึงเป็นการสื่อสารที่แสนเรียบง่าย สามารถเชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกันได้อย่างจริงใจ

 

‘ความเรียบง่าย’ จึงกลายมาเป็นสิ่งที่ buz ให้ความสำคัญและสะท้อนออกมาผ่านอัตลักษณ์และองค์ประกอบต่างๆ ของแอปพลิเคชัน ไม่ว่าจะเป็นโลโก้ที่เลือกใช้ตัวอักษรพิมพ์เล็กทั้งหมด ฟอนต์ที่มีความโค้งมน ที่ไม่เพียงแค่อ่านง่ายเท่านั้น แต่ยังสื่อให้เห็นถึง ‘ความง่าย’ ของการสื่อสารด้วยเสียง และ ‘ความเข้าถึงง่าย’ ที่ไม่ว่าใครก็สามารถใช้งานแอป buz ได้ ซึ่งโลโก้และฟอนต์นี้ได้รับการออกแบบโดย มิซุโนะ มานาบุ นักออกแบบและผู้กำกับศิลป์ชาวญี่ปุ่น ผลงานที่คนทั่วโลกรู้จักกันดีคือการออกแบบ ‘คุมะมง’ (Kumamon) มาสคอตที่กลายเป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองคุมาโมโตะ 

 

แม้แต่ Tagline ของแอปพลิเคชันที่เลือกใช้คำว่า ‘voice connects’ ที่สื่อถึงแก่นของแอปได้อย่างเรียบง่าย ตรงไปตรงมา ก็ตอกย้ำให้เห็นถึง ‘พลังของเสียง’ ที่สามารถเชื่อมโยงทุกคนบนโลกเข้าด้วยกันได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว ทั้งยังสามารถสื่อสารความรู้สึกและสร้างบรรยากาศการสนทนาที่แตกต่างหลากหลาย เช่น คนรักกับบทสนทนาที่สื่อถึงความรักที่จริงใจ ครอบครัวกับบทสนทนาที่แสนอบอุ่น หรือเพื่อนกับบทสนทนาที่สนุกสนานเป็นกันเอง ขณะเดียวกันก็ยังถ่ายทอดความมุ่งมั่นของแบรนด์ในการทำหน้าที่เป็นตัวกลางที่เชื่อมต่อทุกคนด้วยการสื่อสารด้วยเสียงแบบเรียลไทม์ ผ่านการพัฒนาแพลตฟอร์มที่ใช้งานง่ายและปลอดภัย

 

เหนือสิ่งอื่นใดคือการออกแบบ Interface ของแอปให้มีความเรียบง่าย เข้าใจง่าย ไม่ว่าใครก็ใช้งานได้ ช่วยทลายกำแพงระหว่างเจเนอเรชันให้เชื่อมโยงกันด้วยเสียง 

 

 

ถึงตาคุณทดสอบ ‘พลังเสียง’ แล้ว

 

อย่างที่บอกว่า buz ถูกออกแบบมาให้เป็นมิตรต่อผู้ใช้งานทุกคนผ่านฟีเจอร์หลัก ได้แก่ 

 

  • Push To Talk: แค่กดปุ่มสีเขียวบนหน้าจอที่มีข้อความ ‘Push to Talk’ หรือ ‘กดเพื่อพูด’ ก็สามารถส่งข้อความเสียงแบบเรียลไทม์ได้ 
  • Auto-play: ช่วยให้การสื่อสารสะดวกและไร้รอยต่อ ยกตัวอย่างเช่น ตอนที่เรากำลังดู YouTube หรือซีรีส์ ติดพันอยู่ พอมีใครส่งข้อความมา ไม่ว่าจะเป็นเสียง ข้อความ หรือภาพ เราต้องสลับไปเปิดอ่าน แต่ buz ถ้าคุณไม่ได้เปิด Quiet Mode ไว้ ใครส่งข้อความมาเราจะได้ยินเสียงแทรกขึ้นมาระหว่างใช้งานแอปอื่นๆ ทันที วิธีตั้งค่าก็แค่เข้าไปที่มุมซ้ายบนของหน้า Home Page แล้วกดเปิดใช้งาน Auto-play เพียงเท่านี้ก็สามารถรับส่งข้อความเสียงได้แม้ไม่ได้ปลดล็อกหน้าจอ 
  • Voice Powered by Artificial Intelligence (AI): buz จับมือกับ OpenAI พัฒนาร่วมกันเพื่อให้ผู้ใช้งานได้รับข้อความเสียงที่ชัดเจนและแม่นยำมากขึ้น สามารถตัดเสียงรบกวนรอบข้างได้ 
  • Instant voice-to-text transcription: ฟีเจอร์ที่จะช่วยถอดเสียงพูดเป็นข้อความแบบทันที ในกรณีที่ผู้ใช้งานไม่สะดวกรับข้อความเสียง สามารถเข้าไปกดไอคอนลำโพงด้านซ้ายบนเพื่อเปิด Quiet Mode ข้อความเสียงที่อีกฝั่งส่งมาก็จะเปลี่ยนเป็นตัวอักษรอัตโนมัติ เราสามารถตอบเป็นเสียงหรือแชตกลับเป็นตัวอักษรก็ได้ 
  • Voice translations: ด้วยเทคโนโลยี AI ที่จะช่วยทลายกำแพงภาษา โดยฟีเจอร์นี้สามารถแปลภาษาจากข้อความเสียงที่ได้รับถึง 27 ภาษาทั่วโลก* 

 

กิมมิกที่ถูกใจสายขี้เล่นเห็นจะเป็น Voicemojis ที่ส่งเสียงได้ตามความรู้สึกของอีโมจินั้นๆ ทำให้คุยสนุกและมีลูกเล่นมากขึ้น รวมถึงแชร์วิดีโอ รูปภาพ ลิงก์ และโลเคชัน ผ่านแชตได้ด้วย

 

และ buz ยังมีนโยบายความปลอดภัยของข้อมูลผ่านการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านข้อมูล (Data Compliance) ตามมาตรฐาน ISO เพื่อให้ผู้ใช้งานมั่นใจได้ว่าการสนทนาจะปลอดภัยและเป็นความลับ

 

 

ปัจจุบัน buz มียอดดาวน์โหลดมากกว่า 20 ล้านครั้งทั่วโลก ขึ้นแท่นแอปพลิเคชันที่ได้รับความนิยมโดยรวมเป็นอันดับ 2 บน App Store เป็นที่เรียบร้อย

 

ใครที่ชอบส่งข้อความเสียง เบื่อพิมพ์ และร้อนใจเวลาส่งข้อความไปแล้วเพื่อนไม่อ่าน ไปโหลดมาใช้ได้เลยที่ Apple Store และ Google Play สามารถใช้ได้กับหลากหลายอุปกรณ์ เช่น สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต ไอแพด และสมาร์ทวอทช์

 

หมายเหตุ: * ฟีเจอร์ Voice translations แปลภาษาจากข้อความเสียงได้ถึง 27 ภาษาทั่วโลก ยกตัวอย่างเช่น ภาษาอังกฤษ, ฝรั่งเศส, เยอรมัน, อินโดนีเซีย, อิตาลี, ญี่ปุ่น, เกาหลี, จีน, มาเลย์, โปรตุเกส, รัสเซีย, สเปน, ตากาล็อก, เวียดนาม และภาษาอื่นๆ (ข้อมูล ณ วันที่ 20 พฤศจิกายน 2567)

 

อ้างอิง: 

The post ‘buz’ แอปส่งข้อความเสียง ดีไซน์เรียบง่าย สะท้อน ‘พลังของเสียง’ ที่ทัชใจทุกคำ เข้าถึงทุกความรู้สึก [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>
กลุ่มธุรกิจ TCP และเรดบูล สุดจริง! จับมือกรุงเทพมหานคร เปิด ‘Red Bull Skate Park’ สเกตพาร์กสาธารณะในร่มแนวสตรีตที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย [PR NEWS] https://thestandard.co/red-bull-skate-park-2/ Fri, 08 Nov 2024 03:00:23 +0000 https://thestandard.co/?p=1005911 Red Bull Skate Park

‘สเกตบอร์ด’ หนึ่งในกีฬายอดนิยมที่สนับสนุนแอ็กทีฟไลฟ์สไต […]

The post กลุ่มธุรกิจ TCP และเรดบูล สุดจริง! จับมือกรุงเทพมหานคร เปิด ‘Red Bull Skate Park’ สเกตพาร์กสาธารณะในร่มแนวสตรีตที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย [PR NEWS] appeared first on THE STANDARD.

]]>
Red Bull Skate Park

‘สเกตบอร์ด’ หนึ่งในกีฬายอดนิยมที่สนับสนุนแอ็กทีฟไลฟ์สไตล์ กลุ่มธุรกิจ TCP และเรดบูล เอเนอร์จี้ดริงก์ จึงสร้าง Red Bull Skate Park สนามสเกตบอร์ดแห่งใหม่ใจกลางสวนเบญจกิติ เพื่อเป็นสนามสเกตบอร์ดสำหรับเยาวชนและคนรุ่นใหม่ที่ต้องการพื้นที่ในการปลดปล่อยพลังอย่างเต็มที่ ภายใต้มาตรฐานสากลเพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยสำหรับผู้เล่นทุกระดับ

 

ถือเป็นการตอกย้ำเป้าหมาย ‘ปลุกพลัง เพื่อวันที่ดีกว่า’ ที่มุ่งส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของคนในสังคม โดยมี เรดบูล เอเนอร์จี้ดริงก์ ที่อยู่เคียงข้าง และเติมพลังให้คนรุ่นใหม่ออกไปทำกิจกรรมตามไลฟ์สไตล์ของตนอย่างไม่หยุดยั้ง

 

การเนรมิตพื้นที่ 1,400 ตารางเมตรให้กลายเป็นแลนด์มาร์กของคนรักสเกตบอร์ดแห่งใหม่ ได้ความร่วมมือจาก พรีดิวซ์ (Preduce) บริษัทผู้นำในวงการสเกตบอร์ดของไทย และ ‘พาชา ไวส์’ ศิลปินกราฟฟิตี้ชื่อดังจากเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ประเทศรัสเซีย มาร่วมส่งต่อเอเนอร์จี้แห่งความมันในครั้งนี้

 

ก่อนจะไปลองสนามจริง THE STANDARD POP อยากชวนไปดูความสนุกของงานเปิดสนามที่ทำเอาเอเนอร์จี้ที่เคยหลับใหลถูกปลุกให้ลุกเป็นไฟทุกวินาที

 

Red Bull Skate Park ตั้งอยู่ที่ศูนย์กีฬาเบญจกิติ สวนเบญจกิติ เปิดให้บริการฟรีทุกวัน ตั้งแต่เวลา 04.30-22.00 น.

 

สามารถจองใช้บริการผ่าน CSTD Smart Member หรือติดตามข่าวสารได้ทางเฟซบุ๊ก Benchakitti Sports Center

 

 

มัลลิกา เหลืองนิมิตรมาศ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดประเทศไทย กลุ่มธุรกิจ TCP เผยว่า “การสร้างสนาม Red Bull Skate Park ไม่เพียงตอกย้ำเป้าหมาย ‘ปลุกพลัง เพื่อวันที่ดีกว่า’ ที่มุ่งส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของคนในสังคมเท่านั้น แต่เราต้องการสร้างพื้นที่ให้เยาวชนและคนรุ่นใหม่ปลดปล่อยเอเนอร์จี้อย่างเต็มที่และปล่อยภัย สะท้อนถึงเอกลักษณ์ของแบรนด์เรดบูลในการสร้างพลัง ส่งต่อความมัน พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาศักยภาพนักสเกตบอร์ดรุ่นใหม่ให้ก้าวสู่เวทีระดับโลก”

 

 

ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร บอกถึงที่มาของความร่วมมือกับกลุ่มธุรกิจ TCP ในการพัฒนา Red Bull Skate Park เนื่องจาก ‘ศูนย์กีฬาเบญจกิติ’ ซึ่งเป็นสถานที่ที่รวมกีฬาไว้หลากหลาย ยังขาดสนามสเกตบอร์ดที่ได้มาตรฐานด้านความปลอดภัย สำหรับการเล่นสเกตบอร์ดทุกระดับฝีมือ

 

“เราอยากให้สวนเบญจกิติเป็นสวนสำหรับทุกคน เมื่อปีที่ผ่านมากรุงเทพมหานครเคยมีความคิดอยากจะเพิ่มเซ็กเมนต์ที่เข้าถึงกลุ่มเด็กรุ่นใหม่ที่ชอบเล่นกีฬาเอ็กซ์ตรีม แน่นอนว่าเราก็คิดถึงกระทิงแดงเป็นองค์กรแรก และร่วมมือกันทำให้สนามกีฬานี้เป็นสนามกีฬาของประชาชนทุกคน ต้องขอบคุณที่ทุกคนทำให้ความฝันวันนี้เป็นจริงได้”

 

 

บนพื้นที่กว่า 1,400 ตารางเมตร แบบคอนกรีต พร้อมไลน์ที่สามารถวิ่งเชื่อมแต่ละอุปกรณ์อย่างต่อเนื่องทั่วทั้งพาร์ก ถูกแบ่งเป็นโซนต่างๆ ที่ตอบโจทย์ผู้เล่นทุกระดับ ได้แก่

 

Beginner Zone พื้นที่โล่งกว้างสำหรับผู้หัดเล่นสามารถฝึกไถ ทรงตัว เลี้ยง และเทคนิคพื้นฐานต่างๆ โดยมีอุปกรณ์ที่เหมาะกับผู้เริ่มต้น เช่น Speed Bump, Flat Bank และ Manual Pad

 

Intermediate Zone โซนที่มาพร้อมอุปกรณ์สำหรับการฝึกหัดผู้เล่นที่ต้องการพัฒนาฝีมือไปสู่ระดับการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็น Flat Bar, Handrail, Quarter Pipe และ Pyramid Ramp

 

Advanced Zone ท้าทายตัวจริงด้วยอุปกรณ์ Wall Ramp, Big Gap และ Kink Rail ให้ผู้เล่นดึงศักยภาพและปลุกพลังที่ซ่อนอยู่ในตัว

 

 

เบื้องหลังการออกแบบสนามแห่งนี้ ได้ เก่ง-จักรินทร์ เพชรวรพล นักสเกตบอร์ดมืออาชีพสังกัดทีมพรีดิวซ์ และอดีตนักสเกตทีมชาติไทย เป็นผู้ออกแบบ โดยได้แรงบันดาลใจมาจากจุดกำเนิดของกระทิงแดง (เรดบูล) นั่นก็คือ ‘ประเทศไทย’ โดยจำลองจุดเล่นสเกตหรือ ‘สปอต’ จากถนนในประเทศไทยที่มีอุปสรรคท้าทายต่างๆ มารวมไว้ที่นี่ สื่อถึงเอกลักษณ์และเสน่ห์จากท้องถนนไทยในสไตล์ที่นักสเกตบอร์ดทั่วโลกนิยมและชื่นชอบ

 

กิมมิกที่อยากให้สังเกตคือ พื้นสนามมีโลโก้และฝาท่อลายเรดบูล ตอกย้ำถึงความมันที่กำลังปะทุขึ้นอีกครั้งใจกลางกรุงเทพมหานคร รวมไปถึงป้ายบอกชื่อสนาม Red Bull Skate Park ดึงเอาอัตลักษณ์ป้ายบอกทางของไทยมาใช้ได้อย่างลงตัว 

 

 

ความพิเศษอีกอย่างคือ สนามแห่งนี้ได้ ‘พาชา ไวส์’ ศิลปินกราฟฟิตี้ชื่อดังจากเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ประเทศรัสเซีย มาถ่ายทอดมุมมองของโลกยุคปัจจุบันและความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ผ่านลวดลายศิลปะสามมิติที่ผสมผสานกับรูปทรงเรขาคณิต สีสันที่ใช้สะท้อนถึงพลังและความกระตือรือร้น เข้ากับจิตวิญญาณของแบรนด์เรดบูลได้อย่างสมบูรณ์แบบ ในผลงานที่ชื่อ WAIS ONE

 

 

ไฮไลต์ของงานเปิดสนามที่เรียกเสียงปรบมือและเสียงเชียร์สนั่นสนาม คือการได้ชมลีลาการเล่นสเกตบอร์ดของ เอสที-วารีรยา สุขเกษม นักกีฬาสเกตบอร์ดทีมชาติไทย วัย 12 ปี ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของไทย ที่ลงแข่งในโอลิมปิกเกมส์ ณ กรุงปารีส พร้อมด้วยนักสเกตบอร์ดระดับต้นๆ ของเมืองไทย ร่วมโชว์เอเนอร์จี้สุดท้าทายในทุกโซนของสนาม

 

 

จันจิ-จันจิรา จันทร์พิทักษ์ชัย และ ต้า-นันคุณ ภัคภัทรพรพบ สองนักแสดงที่มาร่วมงานเปิดสนาม ก็ร่วมทดลองเล่นสเกตบอร์ดใน Red Bull Skate Park ด้วย

 

จันจิ นักแสดงสาวเอเนอร์จี้ล้น เผยว่า “ชอบเล่นสเกตบอร์ดอยู่แล้ว แต่เล่นเป็นงานอดิเรก สนามนี้ตอบโจทย์มากๆ เพราะมีโซนที่เหมาะกับเรา ที่สำคัญสนามอินดอร์ไม่ต้องกลัวแดดกลัวฝน แถมอยู่ในเมือง จะนัดเพื่อนมาเล่นแล้วไปชิลที่ไหนต่อก็สะดวกมากค่ะ”

 

ต้า-นันคุณ ภัคภัทรพรพบ บอกว่า “ได้กลับมาเล่นสเกตบอร์ดอีกครั้ง มันสุดๆ ครับ คิดถึงฟีลลิ่งแบบนี้ และอยากให้มีสนามอย่างนี้มานาน เหมือนได้เล่นบนถนนจริงๆ เลย แต่มีความปลอดภัย ทำให้ทุกคนสนุกและออกกำลังกายไปพร้อมกันอย่างมั่นใจ เหมาะจะชวนเพื่อนๆ มาเล่นด้วยกันได้สบายเลยครับ”

 

 

นอกจากจะได้เห็นนักสเกตบอร์ดระดับต้นๆ ของเมืองไทยมาปล่อยเอเนอร์จี้ด้วยการโชว์เล่นสเกตบอร์ด ยังได้เห็นผลลัพธ์สุดเท่จากเอเนอร์จี้ของนักศึกษา Raffles International College ที่ชนะการประกวดในโครงการ Red Bull Fashion Competition 2024 ผ่านแฟชั่นโชว์ ‘Trust Your Energy Fashion Show’ เผยโฉมเสื้อผ้า Red Bull Capsule Collection ที่ผสานความเท่ คูล และดีไซน์ทันสมัย

 

เห็นว่าผลงานทั้งหมดที่ได้เห็นวันนี้จะถูกนำไปผลิตและวางขายจริงบน shop.tcp.com อีกด้วย

 

#RedBullSkateParkTH #เรดบูล #เรดบูลโซดา #กลุ่มธุรกิจTCP #ปลุกพลังเพื่อวันที่ดีกว่า

 

[PR NEWS]

The post กลุ่มธุรกิจ TCP และเรดบูล สุดจริง! จับมือกรุงเทพมหานคร เปิด ‘Red Bull Skate Park’ สเกตพาร์กสาธารณะในร่มแนวสตรีตที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย [PR NEWS] appeared first on THE STANDARD.

]]>
RAVIPA เปิดตัว ‘Hug & Paws Lucky Charm’ เครื่องรางที่พร้อมปกป้องสัตว์เลี้ยงตัวน้อยแสนรักของคุณ https://thestandard.co/ravipa-hug-paws-lucky-charm/ Fri, 16 Aug 2024 13:06:17 +0000 https://thestandard.co/?p=971927

เป็นเจ้าของได้ที่งาน Pet Expo Thailand & Pet Expo C […]

The post RAVIPA เปิดตัว ‘Hug & Paws Lucky Charm’ เครื่องรางที่พร้อมปกป้องสัตว์เลี้ยงตัวน้อยแสนรักของคุณ appeared first on THE STANDARD.

]]>

เป็นเจ้าของได้ที่งาน Pet Expo Thailand & Pet Expo Championship 2024

ก่อนวางขายอย่างเป็นทางการ 1 ก.ย. นี้

 

🐶🐱RAVIPA เอาใจทาสเจ้าขนฟูทั้งหลาย ด้วยการจับมือแบรนด์น้องใหม่ ‘Hug & Paws’ เพื่อออกแบบเครื่องราง Lucky Charm คอลเล็กชันพิเศษเพื่อสัตว์เลี้ยงแสนรักเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อสานมิตรภาพและความผูกพันระหว่างเหล่าทาสและสัตว์เลี้ยง และเป็นสัญลักษณ์นำโชคให้แก่กันและกัน

 

เครื่องราง Lucky Charm มี 3 แบบคือ

 

🐾Pawfect Charm

✨Twinkle Star Charm

🌼Promise of Daisy Charm

 

RAVIPA เปิดจำหน่ายคอลเลกชัน Hug & Paws ทางออนไลน์ไปแล้ว เมื่อวันที่ 9 สิงหาคมที่ผ่านมา ก่อนจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่งาน Pet Expo Thailand & Pet Expo Championship 2024 วันที่ 15-18 สิงหาคม 2024 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

 

📌ทั้งนี้ จะจำหน่ายหน้าร้านอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 กันยายน 2567

 

ธนิสา วีระศักดิ์ศรี ผู้ก่อตั้งแบรนด์ RAVIPA แบรนด์เครื่องประดับที่มีความตั้งใจจะมอบพลังบวกความหมายดีๆ ให้ทุกวันของทุกคนมีความหมาย และเปี่ยมด้วยความสุข กล่าวว่า

 

“นับตั้งแต่เปิดตัวเป็นแบรนด์เครื่องประดับไทยที่อยากให้คนสวมใส่ได้รับพลังงานดีๆ มานานกว่า 12 ปี คอลเล็กชันนี้นับเป็นความท้าทายอย่างมากของ RAVIPA ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นแบรนด์แรกในประเทศไทยที่ริเริ่มทำเครื่องรางสำหรับสัตว์เลี้ยงขึ้นมา โดยได้แรงบันดาลใจจากความรัก มิตรภาพ และความผูกพัน ที่หลายคนมีให้กับสัตว์เลี้ยง เพื่อนขนฟูที่รักและซื่อสัตย์ต่อผู้เป็นเจ้าของ ไม่ว่าจะเป็นน้องหมา น้องแมว น้องม้า และเพื่อนสัตว์เลี้ยงอื่นๆ จนยกให้เป็นหนึ่งในสมาชิกของครอบครัวที่อยากให้พบเจอแต่สิ่งดีๆ ไม่เจ็บหรือประสบกับเรื่องร้ายๆ จึงนำสัญลักษณ์นำโชคในด้านต่างๆ มาดีไซน์เป็น Lucky Charm ให้น้องๆ สวมใส่ติดตัวได้ทุกวัน เพื่อเพิ่มพลังบวกให้กับตัวน้องๆ เอง และผู้เป็นเจ้าของด้วย”

 

ทั้งนี้ ทุกดีไซน์ออกแบบมาในสีสันที่น่ารัก เพื่อช่วยเพิ่มความสดใสให้แต่ละวันของเหล่าทาสและเจ้านายสี่ขา ซึ่งไม่ได้มีแต่ความโชคดีเท่านั้น แต่ยังพกความน่ารักไว้อีกด้วย ผู้ที่สนใจสามารถเลือกซื้อ ‘RAVIPA Hug & Paws Lucky Charm’ ได้แล้ววันนี้ทาง Shop Online ทั้ง

 

Website: www.ravipa.com

LINE: @ravipajewelry หรือ @hugandpaws

IG: @ravipajelwery หรือ @hugandpawsofficial

 

👉🏻พบกับ Lucky Charm ทั้ง 3 แบบในงาน

Pet Expo Thailand & Pet Expo Championship 2024 ระหว่างวันที่ 15-18 สิงหาคม 2567 บูธ C265-C266 โซน Pet Accessories & Goods Exhibition Hall 7-8 ชั้น LG ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

 

👉🏻เปิดจำหน่ายอย่างเป็นทางการที่

RAVIPA, Central Westville ชั้น G และ RAVIPA, Central Eastville ชั้น 1

ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2567 เป็นต้นไป

 

👉🏻เลือกซื้อได้ทั้งแบบเดี่ยว

หรือสั่งทำเป็น Personalized ชุดพิเศษก็ได้เช่นกัน

ในราคาเริ่มต้นที่ 390 บาท

 

เพราะมากกว่าสัตว์เลี้ยง พวกเขาคือสมาชิกคนสำคัญของครอบครัว ตอบแทนความรักและความซื่อสัตย์ที่เพื่อนแสนรู้มีให้กันเสมอมาด้วย RAVIPA Hug & Paws Lucky Charm ของขวัญสื่อรักที่จะช่วยเสริมความโชคดี และป้องกันภัยให้น้องๆ ขนฟู พบเจอแต่เรื่องราวดีๆ และมีความสุขยามสวมไว้ติดตัว ติดตามความเคลื่อนไหวของ RAVIPA ได้ทาง IG: @ravipajelwery หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 

 

โทร. 09 0919 9295

The post RAVIPA เปิดตัว ‘Hug & Paws Lucky Charm’ เครื่องรางที่พร้อมปกป้องสัตว์เลี้ยงตัวน้อยแสนรักของคุณ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Noble Curve x AIMER รังสรรค์บ้านตัวอย่างให้เป็น Fashion Gallery L’AIMER, LA MAISON INSPIRANT: Discover your Curve of Living https://thestandard.co/noble-curve-x-aimer/ Fri, 28 Jun 2024 11:00:55 +0000 https://thestandard.co/?p=951132

เมื่อแฟชั่นคอลแลบกับบ้าน ‘Noble Curve’ เปิดตัวบ้านตัวอย […]

The post Noble Curve x AIMER รังสรรค์บ้านตัวอย่างให้เป็น Fashion Gallery L’AIMER, LA MAISON INSPIRANT: Discover your Curve of Living appeared first on THE STANDARD.

]]>

เมื่อแฟชั่นคอลแลบกับบ้าน ‘Noble Curve’ เปิดตัวบ้านตัวอย่างใหม่จากแรงบันดาลใจแฟชั่นมาแรง ‘AIMER’ ในคอนเซปต์ L’AIMER, LA MAISON INSPIRANT: Discover your Curve of Living บ้านแห่งแรงบันดาลใจสำหรับผู้หญิงสไตล์ AIMER 

 

โปรเจกต์ L’AIMER, LA MAISON INSPIRANT: Discover your Curve of Living เกิดขึ้นจาก 2 แบรนด์ที่มีคาแรกเตอร์สุดยูนีกอย่าง Noble Development ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในไทยมานานกว่า 30 ปี ที่เชื่อในเรื่องความแตกต่าง และมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นด้านการออกแบบในทุกโครงการ 

 

ร่วมด้วย AIMER แบรนด์แฟชั่น Woman Essentials ที่มุ่งเน้นเป็นไอเท็มที่สามารถสวมใส่ได้ทุกวัน ให้ความสำคัญกับคุณภาพของเนื้อผ้าและการตัดเย็บ เพื่อการใช้งานอย่างยาวนานและคุ้มค่า สวมใส่คู่กับเสื้อผ้าที่ทุกคนมีอยู่ในตู้ ด้วยแนวคิดแฟชั่นหมุนเวียนเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม 

 

ทั้ง 2 แบรนด์ร่วมดีไซน์บ้านตัวอย่างโครงการ Noble Curve เนรมิตทั้ง 4 ชั้น เป็น Fashion Gallery ของ AIMER จัดแสดงเสื้อผ้าคอลเล็กชันพิเศษ ถ่ายทอดไอเดียและแรงบันดาลใจในการออกแบบ ผ่านเอกลักษณ์และฟังก์ชันของบ้านแนวคิดใหม่อย่าง Noble Curve บ้านที่ยกระดับคุณภาพชีวิต เป็นได้ทั้งพื้นที่ทำธุรกิจและอยู่อาศัยได้อย่างลงตัว บนทำเลศักยภาพ ติดถนนใหญ่เอกมัย-รามอินทรา

 

ร่วมสัมผัสประสบการณ์การอยู่อาศัยสุดแตกต่างที่ผสมผสานกับเอกลักษณ์ของผู้หญิงสไตล์ AIMER ได้ที่งาน L’AIMER, LA MAISON INSPIRANT: Discover your Curve of Living เปิดให้เข้าชมทั่วไปโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ตั้งแต่วันที่ 29 มิถุนายน – 25 สิงหาคม 2567 เท่านั้น เฉพาะที่โครงการ Noble Curve ติด Crystal Park เอกมัย-รามอินทรา ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม และนัดหมายเข้าชมได้ที่ โทร. 0 2251 9955, LINE: @NobleDev หรือ https://nobleurl.com/3zhcgqd

 

 

The post Noble Curve x AIMER รังสรรค์บ้านตัวอย่างให้เป็น Fashion Gallery L’AIMER, LA MAISON INSPIRANT: Discover your Curve of Living appeared first on THE STANDARD.

]]>
เปิดแล้ว! Phenix แหล่งรวมอาหารและสุดยอดความอร่อยใจกลางเมือง ภายใต้คอนเซปต์ ‘อร่อยฟินบินได้’ ปักธงไทยสู่เดสติเนชันด้านอาหารระดับโลก https://thestandard.co/phenix-food-center-now-open/ Mon, 10 Jun 2024 06:10:52 +0000 https://thestandard.co/?p=942751

บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) (AWC) ผู้พัฒนา […]

The post เปิดแล้ว! Phenix แหล่งรวมอาหารและสุดยอดความอร่อยใจกลางเมือง ภายใต้คอนเซปต์ ‘อร่อยฟินบินได้’ ปักธงไทยสู่เดสติเนชันด้านอาหารระดับโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>

บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) (AWC) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทย ผลักดันไทยสู่การเป็นศูนย์กลางด้านอาหารของโลกผ่านโครงการ Phenix (ฟีนิกซ์) แหล่งรวมอาหารและสุดยอดความอร่อยใจกลางเมืองบนพื้นที่ยุทธศาสตร์ย่านประตูน้ำ ภายใต้คอนเซปต์ ‘อร่อยฟินบินได้’ (Flavor Gets Its Wing Worldwide) “Phenix Food Wholesale โครงการ 10,000 ล้านพร้อมเปิดแล้ว 26 มิย 2024

 

Phenix ถือเป็นโครงการแนวคิดใหม่ในการสนับสนุนประเทศไทยให้ก้าวสู่ศูนย์กลางด้านอาหารของโลก สอดคล้องกับพันธกิจของสถาบันอาหาร ที่มุ่งผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการบริการอุตสาหกรรมอาหาร โครงการนี้จึงเปรียบเสมือนเวทีแห่งโอกาสให้ผู้ประกอบการด้านอาหารไทยกว่า 200 ร้าน สร้างสรรค์นวัตกรรมและเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันสู่ตลาดโลก

 

AWC ยังร่วมมือกับสถานทูตและหอการค้าจากนานาประเทศ ในการสร้างพาวิเลียนแสดงสินค้าของประเทศต่างๆ สะท้อนภาพลักษณ์แหล่งรวมสินค้าอาหารและศูนย์กลางค้าส่งอาหารที่เชื่อมต่อทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์แห่งแรกของโลก

 

โครงการ Phenix จะกลายเป็นจุดหมายปลายทางด้านไลฟ์สไตล์อาหารแห่งใหม่ที่ดึงดูดกลุ่มผู้ซื้อ ผู้ขาย และผู้ให้บริการในอุตสาหกรรมอาหารจากทั่วโลกมายังประเทศไทยได้ด้วยจุดเด่นอะไร และการจัดกิจกรรมด้านอาหารและความบันเทิงระดับโลกมากมายตลอดทั้งปี จะมีส่วนช่วยขับเคลื่อนอาหารซึ่งเป็น Soft Power ของไทยได้อย่างไร THE STANDARD สรุปให้ [PR NEWS]

 

 

เริ่มกันที่ความโดดเด่นของโครงการ คือการมีพื้นที่ Food Lounge ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ จึงรวมที่สุดของอาหารรสเลิศและคาเฟ่กว่า 200 ร้านมาไว้ในที่เดียว ภายใต้บรรยากาศที่ออกแบบโดยคำนึงถึงไลฟ์สไตล์ของนักกินทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นโซนแฮงเอาต์สำหรับรับชมกีฬาและความบันเทิง โซนครอบครัวและเด็ก โซน Co-Dining และโซน You Hunt We Cook Kitchen ที่ลูกค้าเลือกวัตถุดิบมาให้เชฟปรุงอาหารให้

 

 

Phenix ยังเป็นศูนย์ค้าส่งด้านอาหารระดับโลกที่จะมีผู้ขายจากนานาประเทศกว่า 2,400 ราย กลายเป็นแหล่งรวมวัตถุดิบคุณภาพจากทั่วโลกในราคาต้นทาง ทั้งนี้ ผู้ประกอบการสามารถนำสินค้ามาวางจำหน่ายและจัดแสดงภายในพื้นที่ Share Shop อีกหนึ่งช่องทางที่จะเข้าถึงเครือข่ายผู้ซื้อสินค้าและวัตถุดิบด้านอาหารระดับโลก โดยมีศูนย์ให้บริการทางด้านธุรกิจ (SSC) ทำหน้าที่เชื่อมต่อผู้ซื้อกับผู้ค้า

 

 

ต่อยอดโอกาสทางการค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ Phenix ซึ่งจะทำหน้าที่รวบรวมเครือข่ายของกลุ่มผู้ซื้อจากพันธมิตรของ AWC ไม่ว่าจะเป็น โรงแรม ห้องอาหาร บริการจัดเลี้ยง สายการบิน เครือโรงพยาบาล และเชฟชั้นนำทั่วโลก รวมทั้งผู้ซื้อกลุ่มอาหารอื่นๆ ให้สามารถซื้อขายและจำหน่ายสินค้าได้สะดวกยิ่งขึ้น

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น ทางสถาบันอาหารจะเข้ามาร่วมพัฒนาหลักสูตร และให้คำปรึกษากระบวนการจัดการอาหารที่ปลอดภัย (Food Safety Management System) สำหรับผู้ประกอบการด้านอาหารทั่วประเทศ ของสถาบันพัฒนาบุคลากรด้านอาหาร Phenix Academy เพื่อสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพสู่อุตสาหกรรมอาหารของไทยและของโลก

 

 

ภายในโครงการถูกแบ่งพื้นที่อย่างชัดเจนเพื่อรองรับกิจกรรมเพื่อความบันเทิง งานประชุม งานอีเวนต์ งานสัมมนา ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ Co-Living กว่า 20,000 ตารางเมตร มาพร้อม Phenix Grand Ballroom, Phenix Auditorium Hall, Common Space, ห้องประชุม, ห้องสัมมนา, เลานจ์ขนาดใหญ่ และครัวสาธิต

 

นอกจากนี้ยังเปิดพื้นที่ให้ Food Influencer และเหล่า Celebrity Chef มาทำ Live Streaming รีวิวอาหารได้ตลอดเวลา

 

 

ขอเรียกน้ำย่อยตัวอย่างกิจกรรมความบันเทิงที่จะเกิดขึ้นตลอดทั้งปี ได้แก่

 

  • World Junior Chef Championship เวทีแข่งขันทำอาหารระดับนานาชาติ เฟ้นหาเชฟรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพออกสู่ตลาดโลก
  • Thai Food Festival งานแฟร์ที่ผนึกกำลังผู้ผลิตอาหาร เครื่องปรุง และร้านอาหารไทยชั้นนำ ร่วมผลักดันอาหารไทยให้เป็น Soft Power ในวงการอาหารระดับโลก
  • Lisa Ono The Greatest Hits Concert คอนเสิร์ตระดับโลกที่จะจัดขึ้นวันที่ 26 กรกฎาคม 2567
  • NFI Future Food Event สำรวจโลกอาหารแห่งอนาคต
  • NFI Thailand Vegan Festival พลิกโฉมอาหารวีแกนด้วยการผสานรสชาติแบบไทย
  • NFI Awards of the Year พิธีมอบรางวัลอันทรงเกียรติให้กับธุรกิจในวงการอาหาร ที่ดำเนินธุรกิจโดยการคำนึงถึงความยั่งยืน

 

หรือจะคลิกเข้าไปดูคอนเซปต์โครงการได้ที่ https://fb.watch/snRELGuHu-/ 

ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เพจเฟซบุ๊ก Phenix Food Wholesale Hub หรือโทร. 06 5549 6565

The post เปิดแล้ว! Phenix แหล่งรวมอาหารและสุดยอดความอร่อยใจกลางเมือง ภายใต้คอนเซปต์ ‘อร่อยฟินบินได้’ ปักธงไทยสู่เดสติเนชันด้านอาหารระดับโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
ดื่มด่ำความกลมกล่อมที่คุ้นเคย กับ STARBUCKS AT HOME BY NESCAFÉ DOLCE GUSTO ‘New Look! Same Great Taste’ https://thestandard.co/nescafe-dolce-gusto-2/ Mon, 20 May 2024 09:45:09 +0000 https://thestandard.co/?p=932807 Nescafe Dolce Gusto

ดื่มด่ำรสสัมผัสที่คุ้นเคยของกาแฟคุณภาพดี STARBUCKS AT H […]

The post ดื่มด่ำความกลมกล่อมที่คุ้นเคย กับ STARBUCKS AT HOME BY NESCAFÉ DOLCE GUSTO ‘New Look! Same Great Taste’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Nescafe Dolce Gusto

ดื่มด่ำรสสัมผัสที่คุ้นเคยของกาแฟคุณภาพดี STARBUCKS AT HOME BY NESCAFÉ DOLCE GUSTO ภายใต้ ‘ลุคใหม่ รสชาติดีต่อใจเหมือนเดิม’

 

NESCAFÉ DOLCE GUSTO แบรนด์ที่มีประสบการณ์ด้านการผลิตกาแฟมานานกว่า 80 ปี แต่ยังขยันสรรหาสิ่งใหม่ๆ มาเอาใจคอกาแฟและแฟนแบรนด์เสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน เมื่อแบรนด์ลุกขึ้นมาปรับแพ็กเกจจิ้ง ‘STARBUCKS AT HOME BY NESCAFÉ DOLCE GUSTO’ ถึงจะลุคใหม่ แต่รสชาติดีต่อใจเหมือนเดิม

 

พูดในฐานะสาวก STARBUCKS AT HOME BY NESCAFÉ DOLCE GUSTO ที่ลิ้มลองมาแล้วทั้ง 11 รสชาติ ยืนยันอีกเสียงว่าทั้งรสชาติความหอม เข้ม กลมกล่อม และคุณภาพกาแฟยังเป๊ะทุกคัพจริงๆ

 

ต้องยกนิ้วให้กับแคปซูลอัจฉริยะที่กักเก็บความสดและความหอมของกาแฟทุกแก้ว พอมาเจอกับเครื่องชงกาแฟจาก NESCAFÉ DOLCE GUSTO ที่มีนวัตกรรมล้ำสมัย ยิ่งทำให้โมเมนต์การดื่มกาแฟคุณภาพดีเกิดขึ้นได้ง่ายๆ แค่คลิกเดียวก็เหมือนมีบาริสต้ามาชงให้ถึงบ้าน

 

โมเมนต์ดีๆ กับกาแฟแก้วโปรดง่ายๆ แบบนี้ใครก็มีได้ แค่เริ่มต้นด้วยการเลือก ‘STARBUCKS BY NESCAFÉ DOLCE GUSTO’ จาก 11 รสชาติที่คุณชื่นชอบได้แล้ววันนี้ตามช่องทางการสั่งซื้อด้านล่าง

 

Official Website: https://bit.ly/3UmCr5w

รวมถึงทางแพลตฟอร์ม Lazada, Shopee และ TikTok Shop

 

แต่ถ้าไม่รู้จะเริ่มต้นด้วยรสชาติไหน เพื่อให้เข้าถึงรสชาติของคุณภาพกาแฟที่แท้จริงในสไตล์ NESCAFÉ DOLCE GUSTO แนะนำ 4 รสชาติขายดีที่ลองแล้วจะรัก จะใช่รสชาติเดียวกับที่อยากลองหรือไม่ พร้อมแล้วไปดูกัน!

 

#NescafeDolceGustoThailand #StarbucksAtHomeThailand 

#NewLookSameGreatTaste #ลุคใหม่ดีต่อใจเหมือนเดิม

 

Nescafe Dolce Gusto

 

การปรับลุคใหม่ครั้งนี้มาใน 11 รสชาติ ได้แก่ House Blend Americano, Espresso Roast, Caffè Latte, Veranda Blend Americano, White Mocha, Pike Place Roast Lungo, Caramel Macchiato, Iced Caffé Americano, Matcha Latte, Cappuccino และ Single-Origin Colombia Espresso

 

ย้ำอีกครั้ง ถึงจะมาในลุคใหม่แต่ทั้ง 11 รสชาติยังคงมาตรฐานความอร่อย กลมกล่อมเหมือนเดิม เพราะมี Smart Technology ช่วยกักเก็บความสดและความหอมไว้ในแคปซูล เพิ่มเติมคือความมินิมัล ที่ทำให้เห็นถึงความใส่ใจของแบรนด์ที่เข้าใจไลฟ์สไตล์คนยุคนี้ที่มองหากิมมิกจากสิ่งของรอบตัวมาตกแต่งมุมโปรด โดยเฉพาะมุมกาแฟที่กลายเป็นมุมที่ทุกบ้านต้องมี เป็นการเติมเต็มความสุขและชาร์จพลังใจ

 

 

แต่ถ้าพูดถึง 4 รสชาติขายดี และยังคงเป็น The Best ในใจคอกาแฟทุกสไตล์ ต้องยกให้ House Blend Americano, Espresso Roast, Caffè Latte และ Veranda Blend Americano

 

Nescafe Dolce Gusto

 

ตัวแรกที่ไม่มีทางหลุดโผคือ ‘House Blend Americano’ เพราะเป็นกาแฟตัวแรกที่สตาร์บัคส์รังสรรค์ขึ้นมาตั้งแต่ปี 1971 คัดสรรเมล็ดกาแฟจากลาตินอเมริกา นำมาคั่วเพื่อให้ได้รสชาติกาแฟที่เข้มข้นกลมกล่อม พร้อมกลิ่นหอมหวานต่างๆ ที่ได้จากการคั่ว


รสชาติแบบนี้เหมาะที่จะชงเป็นเครื่องดื่มร้อนสำหรับเริ่มต้นวัน หรือจะเสิร์ฟช่วงบ่ายเพื่อปลุกความสดชื่นจากรสชาติและกลิ่นของกาแฟก็ยังได้

 

 

ใครที่อยากสัมผัสกลิ่นและรสชาติเหมือนบาริสต้ามาชงให้ถึงบ้านต้องลอง ‘Caffè Latte’ กาแฟนมสุดคลาสสิก เมนูที่ได้แรงบันดาลใจจากเมนูยอดนิยม เครื่องดื่มอันเป็นเอกลักษณ์ของสตาร์บัคส์ มาครบทั้งคุณภาพของวัตถุดิบระดับพรีเมียมด้วยเมล็ดกาแฟอาราบิก้า 100% ให้รสชาติที่นุ่ม กลมกล่อม ผสานความประณีตของฟองนม

 

รสชาติความหอมที่ให้ทั้งความกลมกล่อมของกาแฟและความนุ่มนวลของฟองนมแบบนี้ ทำให้นึกถึงช่วงเวลายามบ่ายกับหนังสือดีๆ สักเล่ม หรือซีรีส์เกาหลีฟีลกู๊ดสักเรื่องเลยล่ะ

 

Nescafe Dolce Gusto

 

‘Espresso Roast’ เอสเพรสโซคั่วเข้ม รสชาติที่เข้มข้นและยังสัมผัสได้ถึงความหอมหวานเหมือนกลิ่นของคาราเมล ความลงตัวของรสชาติที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงนี้เหมาะอย่างยิ่งที่จะเป็นกาแฟสำหรับวันที่ต้องใช้ไอเดียในการคิดงาน หรือวันที่ต้องรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ

 

หรืออาจจะเป็นแก้วสำหรับเริ่มต้นวันใหม่ของคนที่ชอบกาแฟคั่วเข้มคงความกลมกล่อมได้ครบทุกมิติ

 

 

ถ้าให้นึกถึงกาแฟที่รสชาตินุ่มนวลผสานความกลมกล่อมของกลิ่นโกโก้แล้วล่ะก็ เรานึกถึง ‘Veranda Blend Americano’ ยิ่งถ้ารู้ว่าเบื้องหลังเอกลักษณ์ของกลิ่นและรสชาติที่ว่านี้ได้แรงบันดาลใจมาจากเกษตรกรชาวไร่กาแฟในลาตินอเมริกา ก็ยิ่งเติมเต็มโมเมนต์กาแฟที่เหมาะสำหรับวันพักผ่อนจริงๆ


กาแฟคั่วอ่อนความเข้มระดับ 6 จึงเป็นรสชาติที่ดื่มง่ายแต่ยังสัมผัสได้ถึงความกลมกล่อมของกาแฟครบ กลิ่นหอมละมุนของโกโก้และกลิ่นกรุ่นจางๆ ของถั่วคั่ว ทำให้แก้วนี้เหมาะกับวันสบายๆ อย่างเช้าวันหยุด บ่ายวันศุกร์ หรือจะทุกๆ วันที่คุณอยากทำให้เป็นวันพักผ่อน

 

Nescafe Dolce Gusto

 

นอกจากคุณภาพที่ดีและรสชาติที่ดีต่อใจเหมือนเดิมของแคปซูลกาแฟ STARBUCKS AT HOME BY NESCAFÉ DOLCE GUSTO ขาดไม่ได้เลยคือเครื่องชงกาแฟดีๆ ที่มีนวัตกรรมล้ำสมัย มาพร้อมแรงดันที่เหมาะสมและอุณหภูมิน้ำที่เหมาะกับทุกเมนูกาแฟแก้วโปรด


เสกโมเมนต์การดื่มกาแฟคุณภาพดีง่ายๆ เหมือนบาริสต้ามาชงให้ถึงบ้าน เพียงแค่เลือกแคปซูล ‘STARBUCKS AT HOME BY NESCAFÉ DOLCE GUSTO’ รสชาติที่ชอบแล้วใส่เข้าเครื่อง ปรับระดับน้ำตามคำแนะนำข้างกล่องของรสชาตินั้นๆ และคลิก เพียงเท่านี้กาแฟคุณภาพดีเหมือนมีบาริสต้ามาชงถึงบ้านก็พร้อมเสิร์ฟแล้ว

 

 

บิลด์กันขนาดนี้ ถึงเวลาที่คอกาแฟตัวจริงต้องไปพิสูจน์ด้วยตัวเองว่าคุณภาพกาแฟเอกลักษณ์ของทั้ง 11 รสชาติ ที่ได้ Smart Technology มาช่วยล็อกความสดของกาแฟคั่วบดได้อย่างยาวนาน เพื่อให้ได้กาแฟสดที่สมบูรณ์ทั้ง ‘รส’ และ ‘กลิ่น’ ไร้ที่ติทุกแก้ว เหมือนได้ดื่มกาแฟสดที่คาเฟ่จริงเหมือนที่เราสัมผัสหรือไม่

 

ดื่มด่ำกาแฟแก้วโปรดทั้ง 11 รสชาติ ใน ‘ลุคใหม่ รสชาติดีต่อใจเหมือนเดิม’ ได้ด้วยตัวเองที่ https://bit.ly/3UmCr5w และแพลตฟอร์ม Lazada, Shopee, TikTok Shop

The post ดื่มด่ำความกลมกล่อมที่คุ้นเคย กับ STARBUCKS AT HOME BY NESCAFÉ DOLCE GUSTO ‘New Look! Same Great Taste’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เมื่อเสน่ห์ความงามใต้ผืนมหาสมุทรถูกร้อยผ่าน Blancpain Fifty Fathoms Automatique เรือนเวลาคู่ใจคนรักการดำน้ำ [ADVERTORIAL] https://thestandard.co/blancpain-fifty-fathoms-automatique/ Mon, 13 May 2024 09:00:09 +0000 https://thestandard.co/?p=931211

เชื่อเหลือเกินว่าคนไทยจำนวนไม่น้อยในปัจจุบันต่างก็หลงให […]

The post เมื่อเสน่ห์ความงามใต้ผืนมหาสมุทรถูกร้อยผ่าน Blancpain Fifty Fathoms Automatique เรือนเวลาคู่ใจคนรักการดำน้ำ [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>

เชื่อเหลือเกินว่าคนไทยจำนวนไม่น้อยในปัจจุบันต่างก็หลงใหลและชื่นชอบในกิจกรรมใต้น้ำกันพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นการดำน้ำแบบ Snorkeling (น้ำตื้น), Scuba (น้ำลึก)​, ฟรีไดฟ์, การบำบัดใต้น้ำ หรือโยคะใต้น้ำ เป็นต้น

 

ลองสังเกตดูง่ายๆ ผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียก็ได้ว่า ในช่วงวันหยุดพักผ่อนเสาร์-อาทิตย์ หรือหยุดยาวนักขัตฤกษ์ เพื่อนรอบตัวของคุณอย่างน้อยหนึ่งคนน่าจะมีสักคนที่เป็นแฟนของกีฬาหรือการทำกิจกรรมใต้น้ำข้างต้น ผ่านการที่พวกเขาหรือเธอมักจะทำคอนเทนต์อัปโหลดลง Instagram, Reels หรือ TikTok อยู่เป็นประจำเป็นแน่!

 

ภาพการทำงานใต้ท้องมหาสมุทร
ที่ได้รับความร่วมมือในรูปแบบพันธสัญญาแห่งการอนุรักษ์ท้องทะเล
ภายใต้โครงการ Blancpain Ocean Commitment

 

ทำไมกิจกรรมใต้น้ำถึงกลายเป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวคนไทย

 

อันที่จริงความนิยมของกิจกรรมใต้น้ำเป็นที่แพร่หลายในเทรนด์ไลฟ์สไตล์คนไทย ตลอดจนนักท่องเที่ยวจำนวนมากมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว เนื่องจากภูมิอากาศประเทศไทยเป็นเมืองร้อน ขณะเดียวกันด้วยลักษณะภูมิประเทศที่สวยงาม ทะเลที่สวยสะกดจิตสะกดใจ ก็เอื้อต่อการที่ทำให้กิจกรรมเหล่านี้กลายเป็นที่นิยมได้ไม่ยาก

 

เพียงแต่ในช่วงหลังยุคโควิดเป็นต้นมา การที่ผู้บริโภคได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ตัวเองไปพอสมควร ประกอบกับคนจำนวนมากมีความตื่นตัว ใคร่ที่จะออกไปทำกิจกรรมใหม่ๆ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ต่างออกไปให้ตนเอง ทั้งเพื่อเป็น Achievement Unlocked (ปลดล็อกความสำเร็จส่วนตัว) หรือสร้างคอนเทนต์บนโลกโซเชียล ทั้งหมดล้วนแล้วแต่มีส่วนที่ทำให้กระแสความนิยมของการทำกิจกรรมในโลกใต้น้ำพุ่งพรวดขึ้นอย่างมีนัย

 

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ยังสอดคล้องกับการเปิดเผยเทรนด์ท่องเที่ยวประจำปี 2024 โดยเว็บไซต์ Booking.com ที่ได้ยกให้ ‘We’ll dive into retreats and cooler waters’ หรือเทรนด์การท่องเที่ยวด้วยการหนีร้อนไปพึ่งน้ำเย็น เป็นหนึ่งในเทรนด์น่าจับตาของปีนี้!

 

ในข้อมูลระบุเอาไว้ว่า ด้วยสภาพภูมิอากาศทั่วโลกที่นับวันก็มีแต่จะร้อนมากขึ้น อุ่นมากขึ้น ได้ส่งผลให้นักท่องเที่ยวจำนวนไม่ต่ำกว่า 1 ใน 3 เลือกหาทางออกด้วยการคลายร้อนผ่านกิจกรรมที่ทำได้ทางน้ำ เพราะมองว่าเป็นวิธีที่เห็นผลเร็วและทำได้ง่ายที่สุด

 

นี่จึงเป็นเหตุผลประกอบเบื้องต้นที่ว่า เหตุใดกิจกรรมใต้น้ำถึงฮิตและเป็นเทรนด์ที่ร้อนแรงเป็นพิเศษ

 

 

นอกเหนือจากคลายร้อน ทำได้ง่าย ที่เหลือทั้งหมดแบบไม่หารคือ ‘ความหลงใหล’ (Passion)

 

เราดำน้ำ ฟรีไดฟ์ สกูบา ทั้งหมดไม่ใช่เพื่อเพราะคลายร้อนอย่างเดียวเท่านั้น แต่แรงขับสำคัญก็คือ ความรัก ความชื่นชอบ และความหลงใหลที่ผู้คนต่างก็มีต่อการได้ปล่อยให้ร่างกายได้เป็นอิสระแหวกว่ายตามกระแสน้ำใต้ผิวน้ำ ได้โฟกัส มีสมาธิกับตัวเอง ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ไร้เสียงหรือสิ่งรบกวน 

 

เช่นเดียวกันกับเหล่านักดำน้ำและนักสำรวจโลกใต้น้ำมืออาชีพ ที่ต่างก็มีความหลงใหลต่อโลกใต้ท้องทะเลและผืนมหาสมุทรไม่แพ้กัน

 

และด้วยความหลงใหลที่พวกเขามี บวกกับอาชีพหลักที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในน้ำเป็นกิจวัตร นั่นจึงทำให้เหล่านักดำน้ำและนักสำรวจโลกใต้น้ำจำเป็นจะต้องมี ‘เครื่องมือคู่ใจ’ ที่พร้อมช่วยอำนวยความสะดวกให้ทุกๆ งานของพวกเขาดำเนินไปได้อย่างราบรื่น ไร้อุปสรรค และทำให้ทุกๆ ภารกิจแม่นยำและเที่ยงตรงมากกว่าที่เคย!

 

นั่นจึงเป็นที่มาที่ทำให้นักดำน้ำและนักสำรวจโลกใต้น้ำได้โคจรมาพบกับแบรนด์ผู้ผลิตเรือนเวลาระดับโลกอย่าง Blancpain 

 

Blancpain Fifty Fathoms เรือนแรก
ที่พัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์ผู้ที่หลงใหลในการดำน้ำอย่างแท้จริง

 

ย้อนกลับไปเมื่อราวๆ 71 ปีที่แล้ว ในปี 1953 Blancpain ในฐานะผู้ผลิตเรือนเวลาที่เก่าแก่ที่สุดในโลกจากสวิตเซอร์แลนด์ ได้เปิดตัวนาฬิกาดำน้ำอย่างแท้จริงเรือนแรกของโลกออกมาภายใต้ชื่อโมเดล ‘Fifty Fathoms’ เพื่อมุ่งตอบโจทย์การใช้งานจริงของเหล่านักดำน้ำและนักสำรวจโลกใต้มหาสมุทรโดยเฉพาะ 

 

ความพิเศษและยูนีกของ Blancpain Fifty Fathoms คือการที่เรือนเวลาดำน้ำโมเดลนี้ถูกพัฒนาขึ้นโดยอดีตซีอีโอของแบรนด์ในยุค 50 อย่าง ฌ็อง-ฌากส์ ฟิชแตร์ ซึ่งเขาเป็นหนึ่งในนักดำน้ำยุคแรกๆ ที่หลงใหลในการผจญภัยใต้ท้องมหาสมุทรอีกด้วย  

 

จุดนี้เองที่ทำให้ Blancpain Fifty Fathoms กลายเป็นเรือนเวลาเพื่อนักดำน้ำและการสำรวจท้องทะเลอย่างแท้จริง เพราะถูกรังสรรค์ขึ้นจากอินไซต์และความต้องการในมุมมองของนักดำน้ำตัวจริง ผลลัพธ์ที่ได้ก็เช่น การที่ Blancpain Fifty Fathoms มีการนำขอบหน้าหมุนได้เพื่อจับเวลาดำน้ำมาใช้เป็นครั้งแรก หรือการดีไซน์ที่ใช้หน้าปัดสีเข้มตัดกับสารเรืองแสงที่ใช้บอกเวลาในที่มืด เนื่องจากยิ่งดำลงไปลึกเท่าไร แสงที่จะทำให้เรามองเห็นสิ่งต่างๆ ใต้ทะเลหรือมหาสมุทรก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น ตลอดจนความสามารถในการกันน้ำได้เป็นอย่างดี 

 

คำแนะนำสำหรับการใช้งานขอบหน้าปัดจับเวลาของ 
Blancpain Fifty Fathoms รุ่นดั้งเดิม

 

จะว่าไป Fifty Fathoms ก็ถือเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญที่นำมาสู่การพัฒนาการดำน้ำแบบสกูบา​ที่ได้กลายมาเป็นหนึ่งใน Activity ยอดนิยมของผู้คนในยุคปัจจุบันตามที่เราได้เกริ่นไปในตอนต้นเช่นกัน ทั้งยังเป็นแม่แบบของเรือนเวลาดำน้ำของโลกนาฬิกาในช่วงเวลาต่อมาจนถึงปัจจุบัน

 

ไม่เพียงเท่านั้น หลังปล่อย Fifty Fathoms ออกมา Blancpain ก็ยังคงทำงานร่วมกันกับเหล่านักดำน้ำและหน่วยรบประดาน้ำจากทั่วทุกมุมโลก รวมทั้งหน่วยงานด้านการสำรวจโลกใต้น้ำอย่างไม่ลดละ 

 

โดยนอกเหนือจากการพัฒนา Fifty Fathoms รุ่นใหม่ๆ ออกมา สิ่งที่เราได้เห็นเพิ่มเติมก็คือ ความร่วมมือในรูปแบบพันธสัญญาแห่งการอนุรักษ์ท้องทะเลของ Blancpain ภายใต้ชื่อ Blancpain Ocean Commitment ที่ทางแบรนด์ได้ให้การสนับสนุนในทุกรูปแบบ เพื่อให้การทำงานด้านการสร้างความตระหนักรู้ สำรวจ และอนุรักษ์ท้องทะเล

 

ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นนี้ล้วนแล้วแต่เป็นองค์ประกอบมวลรวมที่ทำให้ Blancpain Fifty Fathoms เป็นทั้งจุดตั้งต้นของการสำรวจใต้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ และกลายเป็นหนึ่งในต้นกำเนิดของเทรนด์ไลฟ์สไตล์อย่างการดำน้ำสกูบา เรื่อยไปจนถึงการผลักดันให้กิจกรรมใต้ผืนมหาสมุทรและใต้ท้องทะเลกลายเป็นพื้นที่ที่มนุษย์สามารถไปเยี่ยมเยือนได้อย่างยั่งยืน

 

แล้วในปีที่ 71 ของนาฬิกาดำน้ำอย่างแท้จริงเรือนแรกของโลกอย่าง Blancpain Fifty Fathoms จะมีความพิเศษอะไรรอเราอยู่กันแน่?

 

 

Fifty Fathoms Automatique สานต่อตำนานนาฬิกาดำน้ำ ด้วยกลไกอันทรงประสิทธิภาพและคุณสมบัติที่โดดเด่นยิ่งกว่าที่เคย

 

ในปี 2024 ทางแบรนด์ได้สานต่อตำนานของนาฬิกาดำน้ำ Fifty Fathoms ด้วยการเปิดตัวเรือนเวลารุ่น Fifty Fathoms Automatique ขนาด 42 มม. ออกมาสู่ท้องตลาด เพื่อสร้างความประทับใจให้กับเหล่านักดำน้ำและผู้ที่มีใจหลงใหลหรือชื่นชอบในกิจกรรมใต้ท้องทะเลและผืนมหาสมุทรอย่างต่อเนื่อง

 

นาฬิกามาพร้อมกับขอบหน้าปัดแบบแซฟไฟร์ที่เปรียบเสมือนซิกเนเจอร์ของโมเดล โดดเด่นด้วยวัสดุตัวเรือนแบบ ‘เรดโกลด์’ และ ‘ไทเทเนียมเกรด 23’ เพื่อขับฟีลลิ่งความน่าหลงใหลและความหรูหราให้กับเรือนเวลาเรือนนี้ พร้อมๆ กับการหยอดดีไซน์ที่สามารถใส่ในชีวิตประจำวัน ซึ่งเข้ากันได้กับไลฟ์สไตล์ทั่วไปอย่างเท่ไม่หยอก

 

 

สายตัวเรือนเวลามีให้เลือกหลากหลายนอกเหนือจากสายไทเทเนียม โดยมีทั้งสายผ้าใบ สายยางแบบ Tropic หรือสายแบบ Nato ตามจุดประสงค์ของการใช้งานในแต่ละโอกาส ซึ่งสายแต่ละแบบก็สามารถเปลี่ยนฟีลลิ่งและคาแรกเตอร์ของเรือนเวลา Fifty Fathoms Automatique ได้อย่างน่าอัศจรรย์ หรือสรุปรวมง่ายๆ ว่า แค่เปลี่ยนสายก็สามารถเปลี่ยนลุคการแต่งตัวให้สนุกขึ้นได้แล้ว

 

ไม่เพียงเท่านั้น ไทเทเนียมเกรด 23 ที่ Blancpain เลือกใช้ยังถือเป็นไทเทเนียมเกรดบริสุทธิ์ที่สุดเมื่อเทียบกับวัสดุไทเทเนียมด้วยกัน ซึ่งจะให้น้ำหนักที่เบา ทนทาน มีความแข็งแกร่ง ป้องกันรอยขีดข่วนหรือการกัดกร่อนได้ดี ไร้ที่ติ โดยปกติจะถูกใช้ทางการแพทย์และการพัฒนาอากาศยาน

 

อีกจุดเด่นที่จะลืมกล่าวถึงไม่ได้เป็นอันขาดของ Fifty Fathoms Automatique คือ การใช้กลไกขึ้นลานอัตโนมัติรหัส 1315 ที่ทำหน้าที่เป็นหัวใจในการทำงานของเรือนเวลาเรือนนี้

 

 

ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า กลไก 1315 ขึ้นชื่ออย่างมากในด้านการเป็นกลไกที่มั่นคง ทำงานบอกเวลาและจับเวลาได้แม่นยำสุดๆ แถมยังสามารถสำรองพลังงานได้ยาวนานถึง 5 วัน ผ่านการทำงานของบาร์เรลคู่สามชุดอีกต่างหาก

 

ในเชิงการประกอบนั้น Fifty Fathoms ถือเป็นไลน์โมเดลเรือนเวลาของ Blancpain ที่ขึ้นชื่ออยู่แล้วในแง่ความพิถีพิถัน ด้วยจุดประสงค์ปลายทางของการใช้งานใต้น้ำที่ต้องนำเด่นด้วยคุณสมบัติการกันน้ำเป็นพิเศษ

 

สำหรับตัวเรือน Fifty Fathoms Automatique ได้รับการออกแบบ สร้าง ผลิต ประกอบ และปรับแต่ง แบบอินเฮาส์โดย Blancpain ทั้งหมด ทุกชิ้นส่วนของนาฬิกาทั้งภายนอกและภายในถูกขัดแต่งอย่างพิถีพิถันตามแนวคิด Haute Horlogerie หรือหลักศาสตร์แห่งการประดิษฐ์นาฬิกาขั้นสูง 

 

เรียกได้ว่าเป็นเรือนเวลาที่คิดค้นและพัฒนาต่อยอดมาเพื่อให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของคนที่หลงใหลกิจกรรมใต้น้ำอย่างแท้จริง ขณะเดียวกันก็สามารถสวมใส่ในชีวิตประจำวันได้อย่างไม่เคอะเขิน ให้ความรู้สึกหรูหราและสง่างามเมื่อขึ้นข้อในทุกอิริยาบถ

 

สนใจข้อมูลเพิ่มเติมของ Blancpain Fifty Fathoms Automatique สามารถศึกษาต่อได้ที่: https://www.blancpain.com/en/fifty-fathoms/fifty-fathoms-automatique-5010-12b30-b64b

The post เมื่อเสน่ห์ความงามใต้ผืนมหาสมุทรถูกร้อยผ่าน Blancpain Fifty Fathoms Automatique เรือนเวลาคู่ใจคนรักการดำน้ำ [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>
สร้างเมืองกลางใจแบบ One Bangkok นิยามสร้างเมืองฉบับใหม่ที่ดีไซน์ทุกองค์ประกอบให้ตอบโจทย์ทุกจังหวะชีวิต [ADVERTORIAL] https://thestandard.co/one-bangkok-the-heart-of-bangkok/ Fri, 10 May 2024 07:36:45 +0000 https://thestandard.co/?p=931450 One Bangkok

ในทุกครั้งที่มีการเปิดตัวโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ๆ เร […]

The post สร้างเมืองกลางใจแบบ One Bangkok นิยามสร้างเมืองฉบับใหม่ที่ดีไซน์ทุกองค์ประกอบให้ตอบโจทย์ทุกจังหวะชีวิต [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>
One Bangkok

ในทุกครั้งที่มีการเปิดตัวโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ๆ เรามักได้ยินเหล่า Developer ผู้พัฒนาโครงการอสังหาพากันประโคมข่าวแนวคิดเรื่องทำเลที่ตั้งของโครงการที่ผูกติดกับนิยาม CBD หรือ Central Business District ย่านทำเลธุรกิจที่สำคัญ ‘ใจกลางเมือง’ กันเป็นหลัก ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดแปลกแต่อย่างใด เพราะถือเป็นการ Bold จุดแข็ง ขยี้จุดขายของตัวเอง

 

แต่ในความเป็นจริงแล้ว แค่ทำเลที่ตั้งที่ได้เปรียบ เข้าถึงได้สะดวกสบาย อยู่ใจกลางเมือง ก็อาจไม่ได้หมายความว่าสถานที่แห่งนั้นจะสามารถตอบโจทย์ความเป็นอยู่ของผู้คนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากสถานที่ดังกล่าวไม่ได้ถูกออกแบบขึ้นมาโดยเข้าใจความต้องการที่แท้จริงของผู้คน หรือหวังที่จะยกระดับสถานที่นั้นๆ ให้เข้าไปอยู่ ‘กลางใจ’ ของพวกเขา

 

ที่ THE STANDARD POP เกริ่นมาเช่นนี้ก็เพราะว่าเมื่อเร็วๆ นี้เราเพิ่งมีโอกาสได้เห็นแคมเปญใหม่ที่น่าสนใจของ One Bangkok โครงการอสังหาที่วางตัวเองเป็นแลนด์มาร์กระดับโลกใจกลางกรุงเทพฯ ภายใต้ความตั้งใจให้ใจกลางเมืองเป็น ‘เมืองกลางใจ’ ซึ่งถือเป็นการใช้คำที่ตรงกับวิสัยทัศน์ที่ต้องการให้เกิดขึ้น ทั้งในแง่การฉีกวิธีการสื่อสารที่จำเจของวงการอสังหา พร้อมๆ กันกับการสื่อถึงความตั้งใจที่แท้จริงของพวกเขาในการสร้างสรรค์โครงการแห่งนี้

 

ทำไม The Heart of Bangkok หรือเมืองกลางใจโดย One Bangkok ถึงมีความสำคัญ แล้วในมิติมุมมองของผู้คน การที่เมืองสักเมืองถูกสร้างขึ้นมาเพื่อหวังจะเข้ามาอยู่กลางใจ ชนะใจผู้อยู่อาศัย ผู้เยี่ยมเยือน ไม่ว่าจะถาวรหรือชั่วคราว สิ่งเหล่านี้สะท้อนอะไรกันแน่?

 

 

เมืองกลางใจที่ใช้ใจออกแบบเพื่อให้ทุกใจได้สัมผัสและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในทุกแง่มุม

เหตุผลที่ง่ายและทัชใจที่สุดที่ One Bangkok ตัดสินใจเลือกจะใช้นิยามคำว่า ‘เมืองกลางใจ’ เป็นเมสเสจหลักในแคมเปญสื่อสารเปิดตัวโครงการก็เพราะ One Bangkok มองว่าโครงการของพวกเขาบนพื้นที่กว่า 108 ไร่นั้นเป็นโครงการที่มีสเกลใหญ่ระดับ ‘เมือง’ ซึ่งจะประกอบไปด้วยโซนต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นที่พักอาศัยระดับ Ultra Luxury, โรงแรม, พื้นที่รีเทล, อาคารสำนักงาน, พื้นที่สีเขียว, พื้นที่การเรียนรู้และความคิดสร้างสรรค์ โดยที่เมืองแห่งนี้ยังตั้งใจออกแบบพื้นที่ทุกตารางเมตรเพื่อเติมเต็มทุกๆ ความต้องการของผู้คนในทุกช่วงจังหวะชีวิตและในทุกมิติของความต้องการ ที่แม้แต่ในบางทีพวกเขาอาจจะไม่ได้เคยจินตนาการถึงด้วยซ้ำ!

 

 

เชื่อว่าทุกคนที่ติดตามข่าวมาก่อนหน้านี้คงจะทราบกันดีอยู่แล้วว่าภายในเมือง One Bangkok นี้ได้มีการแบ่งพื้นที่ออกเป็นหลายส่วนเพื่อตอบสนองทุกๆ ความต้องการของผู้คนที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นโซนที่พักอาศัยหรือโซนโรงแรม ที่มอบประสบการณ์อยู่อาศัยหรือการพักผ่อนของทุกคนให้พิเศษยิ่งกว่าเคย

 

โซน Office Tower ที่ถูกนิยามว่าเปรียบเสมือน Hub of Visionaries ซึ่งพร้อมเป็นแพลตฟอร์มขับเคลื่อนผู้คนที่มีวิสัยทัศน์ให้บรรลุทุกเป้าหมายและความสำเร็จในชีวิต หรือโซนรีเทล ซึ่งจะเป็นศูนย์รวมไลฟ์สไตล์ของผู้คนที่เปิดโอกาสให้พวกเขาหรือเธอได้ทั้งช้อปปิ้ง ค้นพบประสบการณ์ใหม่ๆ หรือเก็บเกี่ยวทุกโมเมนต์ไลฟ์สไตล์อย่างล้ำค่าแบบที่หาไม่ได้จากที่อื่น

 

ที่น่าตื่นเต้นไม่แพ้กัน และต้องยอมรับว่าทีมงานทุกคนของ THE STANDARD POP เองต่างก็ตั้งตารอคอยและคาดหวังจะได้ร่วมสัมผัสประสบการณ์ด้านการเสพผลงานศิลปะและวัฒนธรรมที่สดใหม่มากขึ้นกว่าเดิม นั่นคือพื้นที่โซนจัดแสดงศิลปะและวัฒนธรรม ที่ทาง One Bangkok บอกว่าจะมีการหมุนเวียนนำนิทรรศการและผลงานศิลปะมาจัดแสดงให้ได้เข้าชมอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างแรงบันดาลใจที่สดใหม่และไม่จำเจ

 

โดยที่หนึ่งในนั้นคือ Art Loop ซึ่งถือเป็นไฮไลต์เด็ดของพื้นที่ Art & Culture ของ One Bangkok เลยก็ว่าได้ เพราะเป็นระยะทาง 2 กิโลเมตรที่มีการรวบรวมผลงานศิลปะมาจัดแสดงโดยรอบโครงการ ให้ผู้คนทั้งที่อยู่อาศัยหรือคนที่เข้ามาเยี่ยมชมโครงการได้ ‘เข้าใกล้’ ศิลปะมากขึ้นในอีกมิติ ประหนึ่งว่างานสร้างสรรค์เหล่านี้ถูกหลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของผู้คนทุกคนที่ตบเท้าเข้ามายัง One Bangkok เลยก็ว่าได้

 

เรื่องนี้นับว่ามีความหมายมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากใครมีโอกาสได้เดินทางไปยังประเทศที่เฟื่องฟูในแง่ศิลปะและวัฒนธรรม เช่น สหรัฐฯ, อิตาลี, ฝรั่งเศส หรือแม้แต่ฮ่องกงและไต้หวัน ก็จะพบว่าประเทศเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีพื้นที่ที่พร้อมสร้างแรงกระเพื่อมด้านแรงบันดาลใจให้กับผู้คน ผ่านทั้งมิวเซียม, Art Gallery, โรงละคร ฯลฯ อีกมากมายเต็มไปหมด ดังนั้นการที่ One Bangkok จะมีความมุ่งมั่นในการส่งต่อและสร้างแรงบันดาลใจด้านงานศิลปะและวัฒนธรรมจึงถือเป็นเรื่องที่ดีงามมากๆ ต่อทั้งระดับผู้คน สังคม และประเทศ

 

ความเป็นเมืองกลางใจของผู้คนไม่ได้จำกัดแค่พื้นที่โซนอยู่อาศัย, โซนรีเทล, โซนออฟฟิศ หรือโซนจัดแสดงผลงานศิลปะเท่านั้น เพราะภายในเมือง One Bangkok ยังได้มีการหว่านเมล็ดพันธุ์พืชจำนวนมากเพื่อเนรมิตปอดสีเขียวแห่งใหม่ใจกลางกรุงเทพมหานครขึ้นมาเพื่อให้ทุกคนที่อยากจะสูดอากาศบริสุทธิ์มีสุขภาพที่ดี ได้วิ่งออกกำลังกาย วิ่งเล่นกับลูกๆ คนที่รัก พาคุณพ่อคุณแม่เดินใต้ร่มเงาแมกไม้นานาพันธุ์ ได้ใช้เวลาหย่อนใจในสวนสาธารณะขนาดใหญ่ ได้อิ่มเอมและเติมเต็มทุกความต้องการดังกล่าวได้อย่างถ่องแท้ผ่านพื้นที่สีเขียวและพื้นที่เปิดโล่งขนาด 50 ไร่ในโครงการ

 

ซึ่งข้อได้เปรียบของการตั้งอยู่บน Prime Location Hub ณ บริเวณหัวมุมถนนวิทยุและถนนพระราม 4 ก็จะสะท้อนออกมาผ่านการที่พื้นที่สีเขียวของ One Bangkok สามารถแผ่กิ่งก้านไปเชื่อมยังพื้นที่สีเขียวสาธารณะของกรุงเทพฯ เชื่อมจากสวนลุมพินีจรดไปยังสวนเบญจกิตติบนพื้นที่รวมเบ็ดเสร็จกว่า 700 ไร่ เปรียบเสมือนปอดยักษ์ทั้งสองข้างของกรุงเทพฯ ที่คอยฟอกอากาศบริสุทธิ์ให้กับทุกชีวิต ได้มีคุณภาพความเป็นอยู่และอากาศที่ดีให้สูดไหลเวียนเข้าไปสร้างมวลออกซิเจนแห่งความสุขและความปลอดโปร่งในร่างกาย

 

One Bangkok

 

ไม่เพียงเท่านั้น อีกหนึ่งหัวใจของพื้นที่สีเขียวใน One Bangkok ที่เปรียบได้ดั่งไฮไลต์ของตัวโครงการคือต้น Golden Tree (ต้นไม้ที่มีใบสีเหลืองทองที่เรามักได้เห็นในคอนเทนต์โปรโมตโครงการ One Bangkok) ซึ่งจะบานสะพรั่งและเปล่งสีทองอร่ามเมื่อตัดสะท้อนกับแสงแดดรำไรในช่วงฤดูร้อนของทุกปี โดยที่เจ้าต้น Golden Tree นี้จะถูกปลูกยังตลอดสองข้างทางของถนนบูเลอวาร์ดภายในโครงการ เพื่อให้ผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาได้อบอุ่นหัวใจและหลงใหลไปกับความสวยงามของธรรมชาตินี้

 

ที่พิเศษที่สุดคือแม้ว่าพื้นที่ในเมืองแห่งนี้จะมีอาณาบริเวณมากถึง 108 ไร่ ซึ่งแปลความหมายโดยรวบรัดได้ว่ากว้างใหญ่ไพศาลสุดลูกหูลูกตา แต่เพราะแก่นคิดในการออกแบบเมืองแห่งนี้ให้ตอบโจทย์ทุกชีวิตตามนิยามเมืองกลางใจ ดังนั้นทุกจุด ทุกหมุดหมายในตัวโครงการจึงเอื้อความสะดวกให้ผู้คนสามารถเดินเชื่อมถึงกันภายในระยะเวลา 15 นาที (Walkable Neighborhood) แบบไร้รอยต่อ เพื่อให้เกิดประสบการณ์แบบ Seamless Experience ตามแนวคิด 15 Minute Walking City ที่ ศ.คาร์ลอส โมเรโน ได้คิดค้นขึ้น

 

สำหรับแนวคิด 15 Minute Walking City นั้นเชื่อว่าการสร้างเมืองที่ดีจะต้องเอื้อประโยชน์ให้ผู้คนสามารถเดินทางถึงกัน เข้าถึงทุกสิ่งอย่างที่จำเป็นในชีวิตประจำวันด้วยระยะเวลาเพียง 15 นาที ซึ่งไม่เพียงแต่จะลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ แต่จะยังเพิ่ม ‘เวลา’ ให้ผู้คนได้นำไปสร้าง Values กลับคืนสู่คุณภาพชีวิตตัวเองได้อย่างมหาศาล ทั้งยังปลดล็อกการที่ให้ผู้คนในชุมชนได้เชื่อมต่อถึงกันมากยิ่งขึ้น เพื่อความแข็งแรงของคอมมูนิตี้ในเมืองอีกด้วย ซึ่งก็เป็นแนวคิดที่ถูกนำมาปรับใช้กับการสร้างเมืองของ One Bangkok นั่นเอง

 

ส่วนใครที่กังวลว่าแดดและอุณหภูมิอากาศความร้อนในประเทศไทยอาจจะทำให้แนวคิด 15 Minute Walking City เป็นไปได้ยากก็อย่าเพิ่งกังวลไป เพราะตลอดสองข้างทางของถนนทุกเส้น ทุกมุมใน One Bangkok ล้วนแล้วแต่มีการปลูกต้นไม้ไว้เป็นร่มเงาให้กับผู้คนแทบทั้งสิ้น จึงมั่นใจได้เลยว่าคุณจะสามารถเดินเหินไปไหนมาไหนได้อย่างอุ่นใจ ร่มเย็น ทั้งยังย่นระยะเวลาในการเดินทางลงเหลือเพียงไม่เกิน 15 นาทีเท่านั้น

 

เรียกได้ว่าคิดมาดี คิดมารัดกุมครอบคลุมในทุกๆ มุมมองแล้วเลยก็ว่าได้ในการสร้างคุณภาพความเป็นอยู่ที่ดีที่สุดให้กับเมืองแห่งนี้

 

จากทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมาข้างต้นนี้ นี่เป็นเพียง ‘บางส่วน’ หรือเศษเสี้ยวจากความตั้งใจที่แท้จริงของ One Bangkok ในการพัฒนาเมืองแห่งนี้ให้การกลายเป็นเมืองกลางใจที่มีความหมายต่อชีวิตของผู้คน ซึ่งจะเชื่อมโยงทั้งการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีของทุกชีวิต แบ่งปันคุณค่าความเป็นอยู่ที่ดีในทุกๆ มิติแง่มุม ทั้งยังทำให้ทุกคนตกหลุมรักทุกโมเมนต์ ทุกประสบการณ์ ในตลอดทุกๆ วินาทีที่ได้ใช้เวลาอยู่ใน One Bangkok

 

ดังนั้นการที่ทำเลของ One Bangkok ที่ตั้งอยู่บนหัวมุมถนนวิทยุและถนนพระราม 4 ซึ่งถือเป็น Prime Location Hub อย่างที่เราได้เกริ่นไปในตอนต้นจึงแทบจะกลายเป็นองค์ประกอบสำคัญลำดับรองๆ ลงไปเลยทันที โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงความตั้งใจมุ่งมั่นและรายละเอียดทุกสิ่งอย่างที่ซ่อนอยู่ในตัวโครงการ เพื่อที่จะยกระดับทุกตารางนิ้วใน One Bangkok ให้กลายเป็นเมืองกลางใจของผู้คน

 

ไม่แปลกที่ในท้ายที่สุด One Bangkok จะเลือกสื่อสารแคมเปญต่างๆ ของพวกเขาด้วยแนวคิดเรื่องเมืองกลางใจ เนื่องจากหลักคิดในมุมนี้เป็นองค์ประกอบที่ Developer น้อยรายจะใส่ใจ ในทางตรงกันข้าม One Bangkok สามารถทั้งคิด ลงมือทำ แถมยังถ่ายทอดให้เกิดขึ้นได้จริงอีกด้วย

 

 

สะท้อนนิยามเมืองกลางใจผ่าน 3 Core Values ที่เปรียบเสมือนหัวใจสำคัญของ One Bangkok

นอกเหนือจากมุมมองเรื่องเมืองกลางใจ THE STANDARD POP อยากย้อนพูดถึงเบื้องหลังแนวคิดการพัฒนาเมืองของ One Bangkok ให้กลายเป็นเมืองกลางใจของผู้คนอีกสักเล็กน้อย โดยเฉพาะ 3 Core Values ที่เปรียบเสมือนฟันเฟืองสำคัญที่อยู่เบื้องหลังหัวใจการสร้างเมืองในแบบฉบับ One Bangkok ซึ่งประกอบไปด้วย

 

  1. People Centric: การพัฒนาทุกสิ่งอย่าง ทุกสัดส่วน ทุกตารางเมตรในโครงการ โดยยึดเอา ‘ผู้คน’ เป็นที่ตั้ง ว่าคนแต่ละประเภท แต่ละเจน หรือแต่ละช่วงวัย มีมุมมอง ความสนใจในเรื่องอะไรมากเป็นพิเศษ ความต้องการของพวกเขาในแต่ละแง่มุมการใช้ชีวิตคือเรื่องอะไรกันแน่ จากนั้นคอยนำสารตั้งต้นดังกล่าวมาร้อยเรียงเป็นพื้นที่และการออกแบบส่วนต่างๆ ภายในโครงการทั้งหมด เพื่อให้ได้เมืองที่ตั้งต้นการออกแบบมาจากผู้คนโดยแท้จริง

 

ดังที่เราได้เห็นผ่านการนำแนวคิด Walkable Neighborhood มาใช้เพื่อให้ทุกชีวิตได้เชื่อมโยงถึงกัน เพื่อความสะดวกสบาย การหลอมรวมของการสร้างคอมมูนิตี้ที่แข็งแรง ซึ่งทั้งหมดคือสมการที่เทียบเท่ากับผลลัพธ์ของการสร้างคุณภาพชีวิตที่ยกระดับมากขึ้นกว่าเดิม

 

  1. Sustainability: เรามักเห็นหน่วยงานหลายแห่งพูดถึงความยั่งยืนในมิติที่บางเบา ยากต่อการจับต้อง หรือฟังดูไกลห่างจากการทำให้เกิดขึ้นได้จริงทั้งสิ้น แต่ในเมืองกลางใจ One Bangkok แห่งนี้ ความยั่งยืนจะกลายเป็นเรื่องที่ทุกคนที่ใช้ทุกช่วงเวลาอยู่ในโครงการสามารถจับต้องได้ง่ายที่สุด

 

ภายใต้โครงการแห่งนี้ได้มีการใช้แนวคิดเรื่องความยั่งยืน เพื่อให้ในระยะยาว One Bangkok เป็นสถานที่ที่จะเติบโตไปพร้อมๆ กับทุกจังหวะชีวิตได้อย่างยั่งยืน ตั้งแต่การวาง Master Plan ในโครงการ ซึ่งได้รับมาตรฐานสากล LEED for Neighborhood Development Platinum เพื่อให้ One Bangkok เป็นโครงการสีเขียวอย่างแท้จริง หรือการดีไซน์พื้นที่ต่างๆ ภายในโครงการเพื่อให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและตอบโจทย์ความเป็นอยู่ของผู้คน

 

กระทั่งมุมมองเรื่องการเชื่อมต่อปอดสองข้างของกรุงเทพฯ อย่างสวนลุมพินีและสวนเบญจกิติเข้าด้วยกัน โดยมีพื้นที่สีเขียวในโครงการขนาด 50 ไร่เป็นแกนกลาง ให้เกิดกลายเป็นปอดยักษ์ใจกลางกรุงเทพฯ ก็ถือเป็นรูปธรรมของความยั่งยืนและความมุ่งมั่นในการสร้างพื้นที่สีเขียวโดย One Bangkok ได้เป็นอย่างดี

 

  1. Smart City: หนึ่งในเหตุผลที่จะทำให้นิยาม Sustainability เกิดขึ้นกับ One Bangkok ได้ก็เป็นผลมาจากการนำ Smart Technologies มาใช้ในโครงการ ซึ่ง One Bangkok ก็ได้นำเทคโนโลยีต่างๆ มาติดตั้งและยกระดับให้เมืองแห่งนี้มีความอัจฉริยะ ทั้งเพื่อให้ชีวิตผู้คนสะดวกสบาย เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไปจนถึงสร้างความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งยังมีการนำข้อมูลที่เกิดขึ้นในโครงการกลับมาประมวลผล เพื่อช่วยให้การควบคุมและบริหารจัดการเมืองกลางใจแห่งนี้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นอยู่เสมอ ซึ่งที่สุดแล้วปลายทางของถนนทุกสายก็ล้วนแล้วแต่มาบรรจบกันตรงที่ผู้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในทุกมิติ ทุกแง่มุมนั่นเอง

 

One Bangkok

 

จากทั้งหมดทั้งมวลที่เราอธิบายมาข้างต้นนี้ ก็เพื่อให้เห็นว่า One Bangkok ไม่ได้คิดหวังแค่การพัฒนาสถานที่แห่งนี้ให้กลายเป็นสถานที่ที่ยิ่งใหญ่ระดับแลนด์มาร์กของประเทศไทย หรือให้เป็นเมืองที่มีความครบครันในทุกสิ่งเท่านั้น

 

แต่เพราะพวกเขาอยากสร้างเมืองที่อยู่กลางใจของทุกคนแบบจับต้องได้จริง เป็นเมืองที่ถูกคิดมาอย่างดี ถูกออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน คิดถึงทุกชีวิตที่จะแวะเวียนเข้ามา และถูกลงมือสร้างโดยหัวใจที่อยากให้ทุกๆ คนได้ตกหลุมรักเมืองแห่งนี้ มีประสบการณ์ที่ดี น่าจดจำ และมีความเป็นอยู่ที่ดีในทุกช่วงเวลานั่นเอง

 

ยอมรับตามตรงว่าส่วนตัวของผู้เขียนและ THE STANDARD POP เอง เมื่อได้ยินรายละเอียดต่างๆ ของโครงการ One Bangkok ที่มีการเปิดเผยออกมาก่อนหน้านี้ ก็เกิดความรู้สึกคาดหวังและตั้งตารอคอยที่จะได้ไปเยี่ยมเยือนด้วยตัวเองให้ได้

 

แต่ทันทีที่มีการเปิดเผยแนวคิดเรื่องการออกแบบเมือง สถานที่ ส่วนต่างๆ ผ่านหลักคิดเรื่องเมืองกลางใจออกมา เรากลับรู้สึกตื่นเต้นและแทบจะอดใจไม่ไหวที่จะไปเยือนสถานที่แห่งนี้ให้เร็วที่สุด เพื่อพิสูจน์ความหมายของนิยามเมืองกลางใจด้วยตัวเอง

 

แล้วเจอกันนะ เมืองกลางใจ One Bangkok

The post สร้างเมืองกลางใจแบบ One Bangkok นิยามสร้างเมืองฉบับใหม่ที่ดีไซน์ทุกองค์ประกอบให้ตอบโจทย์ทุกจังหวะชีวิต [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>