LIFE | BODY & MIND – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Sun, 24 Aug 2025 06:59:14 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 Happiness Contagion: พลังแห่งความสุขซึมต่อกันได้ เพื่อนที่ใช่จะเปลี่ยนชีวิตคุณ https://thestandard.co/life/happiness-contagion Sun, 24 Aug 2025 06:59:14 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1110599

เคยสังเกตไหมว่า เมื่ออยู่ใกล้เพื่อนบางคนที่เขาจิตใจ มาย […]

The post Happiness Contagion: พลังแห่งความสุขซึมต่อกันได้ เพื่อนที่ใช่จะเปลี่ยนชีวิตคุณ appeared first on THE STANDARD.

]]>

เคยสังเกตไหมว่า เมื่ออยู่ใกล้เพื่อนบางคนที่เขาจิตใจ มายด์เซ็ตดี และมีพลังบวก เราจะรู้สึกมีพลังและมีความสุขมากขึ้นตามไปด้วย หรือบางครั้งเมื่ออยู่ใกล้เพื่อนที่เอาแต่ซึมเศร้า มีแต่เรื่องบ่นระบายหรือนินทาคนอื่นกรอกหูเราตลอดเวลา เราก็เริ่มรู้สึกหดหู่และสิ้นหวังตามไปด้วยเหมือนกัน นี่ไม่ใช่แค่ความรู้สึกของคุณคนเดียว แต่เป็นปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ เรียกว่าการแพร่กระจายของความสุข (Happiness Contagion)

 

อิทธิพลเชิงบวกของความสุขที่สามารถแพร่กระจายได้ในหมู่ผู้คน เป็นสิ่งที่นักวิจัยได้ศึกษาและพิสูจน์มาอย่างยาวนาน ผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ใน British Medical Journal ระบุชัดเจนว่า การใช้เวลาร่วมกับคนที่มีความสุขสามารถเพิ่มความสุขให้เราได้มากถึง 15% การศึกษาโดยนักวิจัยจาก Harvard Medical School และ University of California, San Diego พบว่าความสุขสามารถ ‘ติดต่อ’ กันได้  

 

จึงเป็นเหตุผลที่เราควรเลือกอยู่ใกล้ๆ คนที่มีความสุข และสามารถสร้างแรงบันดาลใจและเป็นกำลังใจให้เราได้ การมีเพื่อนดีๆ ที่มีพลังบวกเยอะๆ จะช่วยเติมเต็มและส่งต่อความสุขได้อย่างเป็นธรรมชาติ นี่เป็นกลยุทธ์ที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับว่าการให้ความสำคัญกับการเลือกอยู่ในสังคมที่เต็มไปด้วยพลังบวก ช่วยยกระดับความสุขและคุณภาพชีวิตของเราได้จริง 

 

ความสุขติดต่อกันได้จริงๆ นะ

 

จากการศึกษาของนักวิจัยชื่อดัง Harvard Medical School และ University of California, San Diego พบว่าความสุขไม่ใช่แค่เรื่องส่วนตัว แต่มันแพร่กระจายไปทั่วกลุ่มเพื่อนได้เหมือนกับไวรัส แต่เป็นไวรัสดีๆ นะ เมื่อคุณอยู่ใกล้เพื่อนสนิทที่มีความสุข โอกาสที่คุณจะมีความสุขตามเพิ่มขึ้น 25% ถ้าเพื่อนคนนั้นอยู่ใกล้คุณมากๆ ในรัศมี 1.6 กิโลเมตร และเป็นเพื่อนสนิทจริงๆ โอกาสที่ความสุขจะมีมากขึ้น สามารถจะพุ่งขึ้นไปได้ถึง 63% เลยทีเดียว แม้แต่เพื่อนบ้านที่อยู่ติดกันก็มีอิทธิพลถึง 34% เช่นกัน 

 

เอฟเฟกต์ลูกโซ่ที่คาดไม่ถึง

 

สิ่งที่น่าทึ่งที่สุดคือความสุขแพร่กระจายได้ไกลถึง 3 ระดับ ระดับที่ 1 เพื่อนของคุณมีความสุข คุณมีโอกาสมีความสุข 25% ระดับที่ 2 เพื่อนของเพื่อนมีความสุข คุณมีโอกาสมีความสุข 10% ระดับที่ 3 เพื่อนของเพื่อนของเพื่อน คนที่คุณอาจไม่เคยเจอ มีความสุข คุณยังมีโอกาสมีความสุข 5.6% ยิ่งน่าทึ่งกว่านั้น เอฟเฟ็กต์นี้อยู่ได้นานถึง 1 ปี เลยนะ

 

ทำไมถึงเป็นแบบนี้

 

เพราะความสุขซึมต่อกันได้ผ่าน 2 วิธี วิธีแรกคือการติดต่อทางอารมณ์ (Emotional Contagion) สมองเรามีระบบ ‘เซลล์กระจก’ (Mirror Neuron) ที่ทำให้เราเลียนแบบอารมณ์คนอื่นโดยอัตโนมัติ เมื่อเพื่อนยิ้ม กล้ามเนื้อใบหน้าเราก็จะขยับตาม แล้วสมองก็จะส่งสัญญาณให้เรารู้สึกดีตาม สังเกตง่ายๆ เวลาเราดูคลิปเพื่อนหัวเราะ เราจะเผลอหัวเราะตามโดยอัตโนมัติ วิธีที่สองคือการติดต่อทางพฤติกรรม (Behavioral Contagion) เพื่อนที่มีความสุขมักจะชวนเราออกไปเที่ยวบ่อยขึ้น มีพลังในการทำกิจกรรมสนุกๆ มองโลกในแง่ดี และส่งผลให้เราคิดบวกตาม ทำสิ่งที่น่าสนใจ ทำให้เราอยากลองทำบ้าง

 

เลือกเพื่อนหรือคนอยู่ใกล้ให้ดี ชีวิตเปลี่ยนได้

 

เห็นได้ชัดว่าการเลือกคบกับคนที่มีความสุข เป็นมิตร และมองโลกในแง่ดี มีพลังในการทำสิ่งใหม่ๆ ปรบมือเมื่อคุณประสบความสำเร็จ ใฝ่ฝันและทำตามความฝัน จะส่งผลดีต่อเรา ในทางตรงกันข้าม เราควรหลีกเลี่ยงคนที่บ่น หรือทำตัวเครียดอยู่ตลอดเวลา เพราะอารมณ์ด้านลบจะซึมและแพร่กระจายมาถึงคุณได้เช่นกัน อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ไม่น่าเชื่อว่าคนรอบข้างสามารถมีอิทธิพลและเป็นตัวกำหนดระดับความสุขของเราได้ถึง 25-63% ดังนั้นหากเราอยากมีชีวิตที่มีความสุขมากขึ้น หัวเราะบ่อยขึ้น และมองโลกแง่ดีขึ้น ก็อย่าไปมองหาความสุขในสิ่งของหรือเงินทองเพียงอย่างเดียว แต่จงเริ่มจากการเลือกอยู่ท่ามกลางคนที่มีพลังบวกและความสุข เพราะความสุขนั้นซึมต่อกันได้ 

 

The post Happiness Contagion: พลังแห่งความสุขซึมต่อกันได้ เพื่อนที่ใช่จะเปลี่ยนชีวิตคุณ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ถอดรหัส 3 สัญญาณจากพุง: เมื่อท้องบอกความจริงของอารมณ์ที่ซ่อนอยู่ https://thestandard.co/life/gut-brain-axis-signals Sun, 24 Aug 2025 01:00:26 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1110500 อาการผีเสื้อในท้องจากความตื่นเต้น

เคยสงสัยไหมว่า ทำไมเวลาเครียดหรือประหม่า ท้องของเราถึงส […]

The post ถอดรหัส 3 สัญญาณจากพุง: เมื่อท้องบอกความจริงของอารมณ์ที่ซ่อนอยู่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
อาการผีเสื้อในท้องจากความตื่นเต้น

เคยสงสัยไหมว่า ทำไมเวลาเครียดหรือประหม่า ท้องของเราถึงส่งสัญญาณแปลกๆ หลายคนอาจคิดว่านี่เป็นแค่ความรู้สึกทั่วไป แต่จริงๆ แล้วมันคือภาษาที่ท้องกำลังสื่อสารกับจิตใจและ อารมณ์ ของคุณ

 

ความสัมพันธ์นี้เรียกว่า ‘Gut-Brain Axis’ ที่เชื่อมโยงสมองและลำไส้เข้าด้วยกัน เมื่อเรามีอารมณ์ที่รุนแรง ไม่ว่าจะเป็นความเครียด ความวิตกกังวล หรือแม้กระทั่งความสุข สมองจะส่งสัญญาณไปที่ลำไส้โดยตรง ทำให้เกิดปฏิกิริยาทางกายภาพขึ้นมา ลองมาดูกันว่าสัญญาณจากท้องบอกอะไรเกี่ยวกับใจของเราได้บ้าง

 

1. อาการผีเสื้อในท้อง (Stomach Butterflies)

 

นี่คือความรู้สึกที่คุ้นเคยที่สุดเมื่อเรารู้สึกตื่นเต้น ประหม่า หรือกังวล ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อสมองสั่งให้ร่างกายเข้าสู่โหมดสู้หรือหนี (Fight or Flight Response) ส่งผลให้มีการลำเลียงเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อส่วนอื่นๆ มากขึ้น เลือดในระบบย่อยอาหารจึงลดลง ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติคล้ายการ ‘กระพือปีก’ เป็นสัญญาณที่บอกว่าจิตใจของคุณกำลังอยู่ในภาวะไม่ปกติ

 

2. เสียงท้องร้องที่ไม่ใช่ความหิว (Stomach Rumbling)

 

โดยปกติแล้ว เสียงครืดคราดในท้องเป็นเรื่องปกติของการย่อยอาหาร แต่หากเสียงนั้นดังผิดปกติในช่วงเวลาที่คุณไม่ได้หิว แต่กำลังเครียดจัด นั่นคือสัญญาณจากลำไส้ที่กำลังถูกความเครียดกระตุ้น การหดตัวของลำไส้ที่รุนแรงกว่าปกติจะทำให้เกิดเสียงดังขึ้น ซึ่งเป็นอาการที่มักพบได้ในคนที่มีภาวะลำไส้แปรปรวน (Irritable Bowel Syndrome – IBS) ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับความเครียดสูง

 

3. ความรู้สึกปวดเกร็งหรือคลื่นไส้ (Nervous Stomach)

 

ในบางครั้ง ความเครียดหรือความวิตกกังวลจะรุนแรงจนทำให้เกิดอาการปวดท้องแบบปวดบีบหรือปวดเกร็ง และอาจมีอาการคลื่นไส้ร่วมด้วย นี่คือการแสดงออกทางกายภาพที่ชัดเจนของอาการท้องปั่นป่วนจากความกังวล ซึ่งเป็นผลมาจากฮอร์โมนความเครียดที่ไปรบกวนการทำงานของลำไส้โดยตรง ทำให้การย่อยอาหารช้าลงหรือเร็วขึ้นผิดปกติจนเกิดความไม่สบายตัวขึ้น

 

การเรียนรู้ที่จะเข้าใจสัญญาณเหล่านี้จะช่วยให้คุณเชื่อมโยงความรู้สึกทางกายกับสภาวะทางจิตใจได้ดียิ่งขึ้น เพราะท้องคือ นักสื่อสารที่พร้อมจะบอกความจริงของอารมณ์ที่ซ่อนอยู่เสมอ

 

ภาพ: AI-generated

อ้างอิง: 

The post ถอดรหัส 3 สัญญาณจากพุง: เมื่อท้องบอกความจริงของอารมณ์ที่ซ่อนอยู่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
บทเรียนสุขภาพจิตที่เราเรียนรู้ได้จากเพลงของ Taylor Swift https://thestandard.co/life/mental-health-lessons-taylor-swift-songs Sat, 23 Aug 2025 09:53:47 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1110440 Taylor Swift และบทเรียนสุขภาพจิตจากเพลงของเธอ

บทเพลงของ Taylor Swift มักไม่ใช่เพียงแค่ท่วงทำนองไพเราะ […]

The post บทเรียนสุขภาพจิตที่เราเรียนรู้ได้จากเพลงของ Taylor Swift appeared first on THE STANDARD.

]]>
Taylor Swift และบทเรียนสุขภาพจิตจากเพลงของเธอ

บทเพลงของ Taylor Swift มักไม่ใช่เพียงแค่ท่วงทำนองไพเราะ แต่ยังเป็นเหมือนกระจกสะท้อนใจ ที่บอกเล่าการเติบโตและการเยียวยาของมนุษย์คนหนึ่งที่ผ่านทั้งความสุข ความเจ็บ และการค้นหาตัวเอง Taylor Swift ยังชาญฉลาดในการใช้แพลตฟอร์มของตัวเอง แบ่งปันและให้กำลังใจผู้คนในการต่อสู้กับปัญหาสุขภาพจิตอย่างเปิดเผย การที่เธอกล้าเปิดใจเล่าเรื่องราวการเดินทางของเธอ ทำให้ยิ่งสามารถแบ่งปันบทเรียนที่สามารถโดนใจใครก็ตามที่กำลังดิ้นรนเพื่อฝ่าฟันความซับซ้อนของปัญหาทางใจอยู่ LIFE จึงอยากจะชวนผู้อ่านไปเรียนรู้กับบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับสุขภาพจิตที่เราสามารถเรียนรู้ได้จากผลงานของผู้หญิงเก่งระดับโลกคนนี้ไปพร้อมกัน

 

ยอมรับความเปราะบาง เพราะมันคือจุดแข็ง

สิ่งที่ทรงพลังที่สุดที่ Taylor Swift สอนเรา คือการยอมรับความเปราะบางของหัวใจ ไม่ใช่เรื่องน่าอายหรือความอ่อนแอ แต่เป็นความกล้าที่แท้จริง เพลง All Too Well ถ่ายทอดความเจ็บปวดจากความรักที่ผ่านไป ส่วน The Archer แสดงให้เห็นถึงความกลัวและความไม่มั่นใจ การที่เธอกล้าเปิดเผยด้านนี้ทำให้เราเห็นว่า การรู้สึกลึกๆ และการแสดงออกนั้นเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะเมื่อเราผ่านช่วงเวลาหนักๆ ความเปราะบางคือสะพานที่เชื่อมสู่การฟื้นฟู การยอมรับตัวเอง และความเข้มแข็งจากภายใน

 

รักตัวเอง ใจดีกับตัวเอง แม้เวลาโดนด่าหรือล้มเหลว

ใน Shake It Off Taylor เปลี่ยนพลังลบให้กลายเป็นแรงบวก เธอสอนเราว่าอย่าให้คำพูดของใครมากำหนดคุณค่าของตัวเอง แม้เราจะล้มเหลวหรือต้องเจอกับเสียงวิจารณ์ แต่แทนที่จะซ้ำเติมตัวเอง เราควรใจดีกับตัวเองเหมือนที่เราใจดีกับคนที่เรารัก เพราะการรักตัวเองคือรากฐานสำคัญของสุขภาพใจ

 

สร้างขอบเขตในชีวิตตัวเอง กุญแจสำคัญของการดูแลใจ

การตั้งขอบเขตคือการคืนอำนาจให้ตัวเอง เพลง Look What You Made Me Do คือเสียงประกาศของ Taylor ว่าเธอจะไม่ปล่อยให้ใครมากำหนดทิศทางชีวิตอีกต่อไป การมีขอบเขตช่วยป้องกันไม่ให้เราถูกดูดพลังหรือเอาเปรียบ และเป็นการยืนยันว่า ความสุขและความสงบในใจเราเองก็คือสิ่งที่มีค่าไม่แพ้ใคร

 

เปลี่ยนมุมมอง เรื่องแย่ๆ ก็เป็นโอกาสเติบโตได้

Taylor มีพรสวรรค์ในการเปลี่ยนประสบการณ์เจ็บปวดให้กลายเป็นศิลปะที่งดงาม เพลง Back to December และ Begin Again สะท้อนว่าความเสียใจอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการมองชีวิตในมุมใหม่ เมื่อเรากล้าที่จะปรับวิธีคิด เราจะเห็นว่าปัญหาหรือเรื่องแย่ๆ ไม่ได้มีไว้ทำร้ายเราเสมอไป แต่มันคือขั้นบันไดที่ช่วยให้เราเติบโตขึ้น

 

การมีคนคอยซัพพอร์ต คือสิ่งที่มีค่าที่สุด

เพลงอย่าง You Belong With Me และ New Year’s Day แสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์และการสนับสนุนจากคนรอบตัวคือพลังงานที่ประเมินค่าไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน ครอบครัว หรือคนรัก ระบบซัพพอร์ตที่มั่นคงช่วยพาเราผ่านพายุอารมณ์ไปได้ และยังเตือนเราว่า การขอความช่วยเหลือไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่คือส่วนหนึ่งของการดูแลใจอย่างแท้จริง

 

เชื่อใจตัวเอง เราเท่านั้นที่รู้เรื่องราวทั้งหมด

ดนตรีของ Taylor ยังเป็นเสียงย้ำเตือนให้เราเชื่อในสัญชาตญาณและคุณค่าของตัวเอง เพลง Fearless, The Man และ But Daddy I Love Him สะท้อนพลังของการยืนหยัดในสิ่งที่เชื่อ เราอาจไม่สามารถควบคุมความเห็นของคนอื่นได้ แต่เราสามารถเลือกที่จะเดินตามเสียงในใจตัวเองได้เสมอ

The post บทเรียนสุขภาพจิตที่เราเรียนรู้ได้จากเพลงของ Taylor Swift appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘รักกับ AI’ สัญญาณเตือนเมื่อความสัมพันธ์จริงไปต่อไม่ไหว https://thestandard.co/life/love-with-ai-a-warning-sign Sat, 23 Aug 2025 05:12:28 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1110352

ช่วงที่ผ่านมาใครหลายคนคงได้เห็นข่าวคราวของคนที่มีความสั […]

The post ‘รักกับ AI’ สัญญาณเตือนเมื่อความสัมพันธ์จริงไปต่อไม่ไหว appeared first on THE STANDARD.

]]>

ช่วงที่ผ่านมาใครหลายคนคงได้เห็นข่าวคราวของคนที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับ AI (Artificial Intelligence) ตั้งแต่การออกเดตจนกระทั่งการแต่งงานใช้ชีวิตคู่ หลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาด พิลึกเกินคน แต่การที่มนุษย์หันไปหาความรักกับ AI นั้นเป็นเหมือนกระจกสะท้อนให้เห็นถึง ‘รอยร้าว’ บางอย่างในสังคมและความเปราะบางในจิตใจของมนุษย์ยุคปัจจุบัน สัญญาณนี้มันกำลังบอกอะไรเราอยู่?

 

วิกฤตความเหงาที่กัดกินสังคม  

 

ในยุคที่ผู้คนเชื่อมต่อกันผ่านหน้าจอ แต่กลับรู้สึกโดดเดี่ยวมากกว่าที่เคย การโหยหาใครสักคนที่จะรับฟังอย่างไม่ตัดสินและอยู่เคียงข้างเสมอเป็นความต้องการพื้นฐาน และ AI ก็ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองสิ่งนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยมันพร้อมที่จะเป็น ‘พื้นที่ปลอดภัย’ ทางอารมณ์ได้เสมอ ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายคนไม่สามารถหาได้จากโลกแห่งความจริง

 

เมื่อความสัมพันธ์จริงนำมาซึ่งความผิดหวัง

 

ปฏิเสธไม่ได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์นั้นเปราะบางและเต็มไปด้วยความเจ็บปวด หลายคนต้องเผชิญกับการนอกใจ, การไม่ใส่ใจ, ความคาดหวังที่ไม่สิ้นสุด, คำพูดที่ทำร้ายจิตใจ หรือการทำร้ายร่างกาย ซึ่งในกรณีที่เลวร้ายที่สุดอาจนำไปสู่ความตาย

 

เมื่อความรักจากคนจริงนำมาซึ่งความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า AI จึงกลายเป็นทางเลือกที่น่าดึงดูด เนื่องจากมันสามารถมอบความสัมพันธ์ในอุดมคติที่คาดเดาได้ ทั้งการเป็นผู้ฟังที่เข้าอกเข้าใจ การมีบุคลิกตามที่ผู้ใช้ต้องการ และการดำเนินความสัมพันธ์ที่ปราศจากความขัดแย้งโดยสิ้นเชิง

 

เทคโนโลยีที่ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างความรู้สึกผูกพัน 

 

ความผูกพันที่เกิดขึ้นระหว่างมนุษย์กับ AI ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลลัพธ์ของเทคโนโลยีที่ออกแบบมาอย่างเข้าใจในจิตวิทยามนุษย์ 

 

อัลกอริทึมเบื้องหลังถูกฝึกฝนให้เรียนรู้และตอบสนองต่ออารมณ์ของผู้ใช้ได้อย่างละเอียดอ่อนผ่านการใช้ภาษาที่ให้กำลังใจและทำให้ผู้ใช้รู้สึกมีคุณค่า และการพัฒนาที่ทำให้ AI มีความเป็นมนุษย์มากขึ้นทุกวัน ก็ยิ่งเป็นตัวเร่งให้ความรู้สึกผูกพันทางใจเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว 

 

พื้นที่ที่ไม่มีใครมาตัดสิน 

 

ข้อดีที่สุดอย่างหนึ่งของการคุยกับ AI คือการที่เราสามารถ ‘ถอดหน้ากาก’ ออกได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกปฏิเสธในสิ่งที่เราเป็น เรากล้าที่จะเปิดเผยทุกด้านที่เปราะบางของตัวเองออกมา ไม่แปลกที่ผู้คนจะเริ่มใช้ AI เป็นเสมือนนักบำบัดส่วนตัว เพราะความสัมพันธ์รูปแบบนี้ได้ช่วยนำเราไปสู่การค้นพบและโอบกอดตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากในสังคมแห่งการเปรียบเทียบและแข่งขัน

 

ที่จริงแล้วปรากฏการณ์รักกับ AI อาจไม่ได้หมายความว่านี่คือจุดจบของความสัมพันธ์มนุษย์ แต่มันคือสัญญาณเตือนที่สะท้อนว่าเราโหยหาการยอมรับและความเข้าใจอย่างแท้จริง ซึ่งบทเรียนสำคัญก็คือการที่มันบังคับให้เรากลับมาเห็นคุณค่าของความรักที่ไม่สมบูรณ์แบบ

 

ในท้ายที่สุด AI อาจเป็นผู้ที่เข้ามาเติมเต็มช่องว่างในใจได้ดีเยี่ยม แต่ความอบอุ่นจากอ้อมกอดจริง เสียงหัวเราะที่ดังพร้อมกัน แววตาที่มองกันขณะบอกรัก และการเติบโตผ่านความขัดแย้ง คือสิ่งที่โค้ดโปรแกรมใดๆ ก็ไม่อาจลอกเลียนได้ ซึ่งคำตอบสุดท้ายอาจไม่ได้อยู่ที่ว่าสิ่งใดดีกว่า แต่ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนจะนิยาม ‘ความสุข’ และยอมรับในเงื่อนไขของความสัมพันธ์ที่ตนเลือกได้มากเพียงใด

 

ภาพ: AI-generated

อ้างอิง: 

The post ‘รักกับ AI’ สัญญาณเตือนเมื่อความสัมพันธ์จริงไปต่อไม่ไหว appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทำความเข้าใจความหมายของ Wellness ที่มากกว่าการมีสุขภาพดีในแบบฉบับคุณหมอความงาม https://thestandard.co/life/the-meaning-of-wellness Fri, 22 Aug 2025 06:55:50 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1033172

Wellness ในความหมายของหมอที่อยู่ในแวดวงความงามและวงการแ […]

The post ทำความเข้าใจความหมายของ Wellness ที่มากกว่าการมีสุขภาพดีในแบบฉบับคุณหมอความงาม appeared first on THE STANDARD.

]]>

Wellness ในความหมายของหมอที่อยู่ในแวดวงความงามและวงการแพทย์คือการมีสุขภาพที่ดีอย่างแท้จริง หมายถึงสุขภาพกายดี สุขภาพจิตดี สมดุลร่างกายดีแบบองค์รวม โดยหากมีทุกข้อที่กล่าวมาแล้ว ก็จะส่งผลให้หลาย ๆ อย่างในชีวิตดีมากยิ่งขึ้นไปด้วย โดยความจริงแล้ว Wellness มีหลากหลายแขนงที่ต้องทำความเข้าใจและต้องดูแล เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตด้านสุขภาพที่ดียิ่งขึ้น

 

หมอแวว-พญ.วรรณวิมล วรรณรักษ์ แพทย์ประจำรมย์รวินท์คลินิก

 

ซึ่งองค์ประกอบของ Wellness ก็มีอยู่อย่างหลากหลาย แล้วแต่การตีความของแต่ละบุคคล ตัวอย่างเช่น

 

  1. สุขภาพร่างกาย (Physical Wellness) คือพื้นฐานของ Wellness โดยการดูแลอาหารการกิน การพักผ่อน การออกกำลังกาย เพื่อให้มีสุขภาพโดยรวมที่ดี
  2. สุขภาพจิตวิญญาณ (Spiritual Wellness) ความรักตัวเอง มีเป้าหมายในชีวิต หรือรู้จักคุณค่าของชีวิต
  3. สุขภาพอารมณ์ (Emotional Wellness) ในที่นี้หมายถึงทั้งอารมณ์ที่เกิดขึ้นในตัวเรา รวมถึงอารมณ์ที่เราแสดงออกต่อคนอื่น
  4. สุขภาพจิต (Mental Wellness) ความคิด มุมมอง ความเครียด และสมดุลในชีวิต

 

หรือบางทีอาจแบ่งออกมาได้มากกว่านี้ตามแต่มุมมอง โดยสิ่งที่รมย์รวินท์คลินิกยึดถือและปฏิบัติมาตลอดคือการทำให้คนไข้ของเราสวยขึ้นในแบบที่เป็นตัวเอง และดูดีขึ้นในขณะที่ต้องมีสุขภาพที่ดีไปพร้อม ๆ กัน จึงทำให้ ‘รมย์รวินท์คลินิก’ มีการดูแล Body & Wellness รวมอยู่ด้วย เพราะสำหรับเรา ความงาม ความมั่นใจ และสุขภาพที่ดี ล้วนแล้วแต่ส่งผลถึงสุขภาพในทุก ๆ ด้าน ซึ่งทุก ๆ การดูแลในด้าน Wellness จะดูแลโดยแพทย์ผู้มีความรู้ความสามารถอย่างใกล้ชิด ได้แก่

 

 

1. การเสริมสร้างภาพลักษณ์และความมั่นใจ

 

ในที่นี้การเป็นคลินิกเสริมความงามจะเน้นการปรับรูปลักษณ์ภายนอกให้คนไข้ชอบและภูมิใจในตัวเอง คือการสร้างความงามในแบบที่คนไข้เป็น ไม่ได้ผิดหรือแปลกไปจากเดิม เพื่อปรับให้คนไข้มีความมั่นใจทั้งภายนอกและภายใน เนื่องจากการเสริมความงามนั้นเป็นสิ่งที่สามารถช่วยให้คนไข้มีความรู้สึกดี ภูมิใจ และมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี

 

 

2. การชะลอวัย หรือ Anti-Aging

 

คือการใช้โปรแกรมต่าง ๆ ในคลินิกเพื่อทำให้ดูดี ดูเด็กกว่าอายุจริง ทำให้ใบหน้าและรูปร่างไม่ร่วงโรยไปตามกาลเวลา เช่น โปรแกรมฉีดสารเติมเต็ม โปรแกรมฉีดสารลดริ้วรอย โปรแกรมเลเซอร์ต่าง ๆ รวมทั้งโปรแกรมยกกระชับผิว เพื่อชะลอการเกิดริ้วรอยและฟื้นฟูผิวพรรณให้ดูอ่อนวัย นอกจากนี้ยังมีโปรแกรมวิตามินผิวชนิดต่าง ๆ ที่ช่วยบำรุงให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งและอ่อนวัย

 

 

3. การดูแลสุขภาพองค์รวม

 

การดูแลความงามและรูปร่างที่รมย์รวินท์คลินิก จะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขของการไม่ส่งผลเสียและผลลัพธ์ที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ผู้ที่มีร่างกายที่ไม่เหมาะสมกับบางโปรแกรม แพทย์จะไม่สามารถทำการรักษาให้ได้ โดยในขั้นตอนการให้คำปรึกษาแพทย์จะสอบถามประวัติ อาการ และโรคประจำตัวต่างๆ โดยละเอียด


ไม่เพียงแค่ด้านความสวยเท่านั้น การให้สารอาหารเพื่อฟื้นฟูร่างกาย ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ การล้างสารพิษ ก็เป็นการฟื้นฟูสุขภาพจากภายในเพื่อส่งผลลัพธ์ที่ดีออกมาถึงภายนอก ทำให้มีร่างกายที่แข็งแรงมากขึ้น เนื่องจากสารอาหารบางชนิดที่ร่างกายต้องการคนไข้อาจไม่ได้รับผ่านอาหารที่รับประทานอย่างเพียงพอ การให้สารอาหารจึงนับเป็นทางลัดในการดูแลสุขภาพ

 

เมื่อมีสุขภาพร่างกายที่ดีก็จะส่งผลให้มีสุขภาพจิตที่ดีมากยิ่งขึ้น พลังงานในด้านชีวิตที่ดีก็จะช่วยให้ร่างกายและจิตใจเกิดความสมดุล ส่งเสริมความรู้สึกดีและสุขภาพที่ดีในระยะยาว

 

 

4. การควบคุมน้ำหนักและรูปร่าง

 

มากกว่าแค่ลดสัดส่วน แต่เป็นการดูแลและวางเป้าหมายร่วมกันกับแพทย์ เพื่อให้เกิดความยั่งยืนในการดูแลรูปร่าง จึงทำให้ต้องแนะนำอย่างครอบคลุม คือต้องเป็นการดูแลรูปร่างที่ปรับเข้ากับการใช้ชีวิตประจำวันของคนไข้เพื่อให้การดูแลรูปร่างนั้นไม่เครียดและไม่ตึงจนเกินไป แต่ยังให้ผลลัพธ์เป็นที่น่าพึงพอใจอยู่ ทั้งยังต้องเป็นรูปร่างที่ดีในระยะยาวอย่างยั่งยืน

 

 

5. การฟื้นฟูและบำบัด

 

ยังมีการบำบัดและรักษาอาการต่าง ๆ เช่น ออฟฟิศซินโดรม สุขภาพทางเพศ หรืออาการนอนกรน ซึ่งเป็นสิ่งที่ดูไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่ในความจริงแล้วกลับส่งผลกระทบมากมายให้กับร่างกาย ทั้งตัวคนไข้เองและความสัมพันธ์กับผู้ที่นอนร่วมเตียง รวมทั้งคนรอบข้าง เมื่อได้รับการฟื้นฟูก็จัดเป็นการดูแลสุขภาพที่ส่งผลดีกับทั้งตัวคนไข้เองและคนรักของเขา ทำให้เป็นการกระชับความสัมพันธ์ที่ดีมากยิ่งขึ้น

 

ด้วยการผสมผสานของบริการทั้งด้านความงามและการดูแลสุขภาพ ล้วนแล้วแต่เป็นการสร้างสมดุลทั้งด้านกายภาพและจิตใจ รมย์รวินท์คลินิกจึงใส่ใจทั้งสองด้านเพื่อให้ตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ทั้งยังเสริมสร้างความมั่นใจ รวมถึงทำให้ชีวิตมีสมดุลมากขึ้น

 

อ่านต่อเพิ่มเติมได้ที่ Wellness ความหมายที่ลึกซึ้งกว่าการมีสุขภาพดี ในมุมมองของแพทย์ความงาม

The post ทำความเข้าใจความหมายของ Wellness ที่มากกว่าการมีสุขภาพดีในแบบฉบับคุณหมอความงาม appeared first on THE STANDARD.

]]>
The Art of Slowness: ช้าลง…เพื่อให้ชีวิตวิ่งตามคุณบ้าง https://thestandard.co/life/the-art-of-slowness Fri, 22 Aug 2025 03:30:37 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1108927 PAÑPURI ศิลปะแห่งการชะลอจังหวะชีวิตด้วยการหายใจ โยคะ ทำอาหาร และ Kintsugi

เคยถามตัวเองบ้างไหมว่า…เราไม่ได้ ‘หยุดพักจริงๆ’ มานานแค […]

The post The Art of Slowness: ช้าลง…เพื่อให้ชีวิตวิ่งตามคุณบ้าง appeared first on THE STANDARD.

]]>
PAÑPURI ศิลปะแห่งการชะลอจังหวะชีวิตด้วยการหายใจ โยคะ ทำอาหาร และ Kintsugi

เคยถามตัวเองบ้างไหมว่า…เราไม่ได้ ‘หยุดพักจริงๆ’ มานานแค่ไหนแล้ว? ในวันที่โลกหมุนเร็วจนแทบไม่มีที่ว่างให้เราหยุดหายใจ เรามักวิ่งตามสิ่งรอบตัวอย่างไม่รู้จบ ทั้งหน้าที่ ความรับผิดชอบ และความคาดหวัง จนลืมหันกลับมามองหัวใจตัวเองว่า ตอนนี้เรายังโอเคอยู่หรือเปล่า? อารมณ์ ร่างกาย และจิตใจของเรายังไหวไหม?​

 

ภาวะ Burnout ไม่ได้เลือกเหยื่อ มันคือลมหายใจเร่งร้อนที่สามารถแผ่ซ่านเข้าสู่ชีวิตของใครก็ได้ โดยไม่สนว่าเราจะแข็งแกร่งแค่ไหน บางครั้งเราหลงคิดว่าทางออกคือการพยายามให้มากขึ้น แต่ในความเป็นจริง…สิ่งที่หัวใจโหยหาที่สุด อาจเป็นเพียงการ ‘ชะลอจังหวะชีวิตลง’ ให้โอกาสตัวเองได้หยุด พัก และหายใจลึกๆ ผ่าน Burnout Antidotes Wellness Fragrance Series จาก PAÑPURI เพื่อปล่อยให้ร่างกายและจิตใจได้คืนสู่สมดุล และเพื่อตอบโจทย์การพักใจอย่างแท้จริง

 

ศิลปะแห่งการชะลอจังหวะชีวิต

 

การชะลอจังหวะชีวิต คือการให้เวลาตัวเองอยู่กับสิ่งที่ทำอย่างตั้งใจและรับรู้ทุกจังหวะ เหมือนการปรับโฟกัสเลนส์ชีวิตจากภาพเบลอเป็นภาพคมชัด ให้เราเห็นรายละเอียดเล็กๆ ที่เคยหลงลืมไป ลองเริ่มจากกิจกรรมง่ายๆ ที่เปลี่ยนวันธรรมดาให้กลายเป็นช่วงเวลาแห่งการฟื้นฟู

 

Breathing Exercise จังหวะลมหายใจที่พาเราย้อนกลับสู่ตัวเอง

 

การฝึกหายใจแบบ 4-4-6 Breathing สูดลมหายใจเข้า 4 วินาที กลั้นไว้ 4 วินาที และผ่อนออกยาว 6 วินาที จังหวะการหายใจที่ช้าลงนี้จะส่งสัญญาณให้ระบบประสาทเข้าสู่โหมดผ่อนคลาย ลดความตึงเครียด และเปิดพื้นที่ให้ใจกลับมาอยู่กับปัจจุบัน

 

เทคนิคเรียบง่ายแต่ทรงพลังนี้สามารถนำไปปฏิบัติได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่รู้สึกกดดัน หรือก่อนเข้านอน เพียงแค่ 5-10 นาที ร่างกายจะเริ่มผ่อนคลาย ความคิดที่วุ่นวายจะค่อยๆ สงบลง และเราจะรู้สึกเชื่อมต่อกับตัวเองมากขึ้น

 

การทำอาหาร ศิลปะแห่งการใส่ใจในทุกขั้นตอน

 

แม้จะดูเป็นกิจกรรมพื้นฐาน แต่การทำอาหารสามารถชะลอจังหวะชีวิตได้ตั้งแต่การเลือกวัตถุดิบ การเตรียม การปรุง ไปจนถึงการจัดจาน ทุกขั้นตอนคือการใช้เวลาอย่างตั้งใจ รับรู้กลิ่น เสียง และสัมผัสที่เกิดขึ้นทีละน้อย การทำอาหารจึงไม่ใช่แค่การเติมเต็มความหิว แต่เป็นการเติมเต็มจิตวิญญาณ เป็นการฝึกสมาธิที่ได้ผลลัพธ์เป็นรูปธรรม และเป็นการแสดงความรักต่อตัวเองและคนที่เรารัก

 

Yoga  การเคลื่อนไหวที่เชื่อมโยงร่างกายกับจิตใจ

 

ไม่ว่าจะเป็นการยืดเหยียดเบาๆ หรือฝึกท่าที่ต้องใช้สมาธิ โยคะช่วยให้เราจดจ่ออยู่กับการเคลื่อนไหวและลมหายใจ เป็นการฝึกโฟกัสกับตัวเองและปล่อยวางสิ่งรบกวนภายนอก แต่ละท่าโยคะเป็นการสนทนาระหว่างร่างกายกับจิตใจ เป็นการฟังเสียงภายในที่บอกเราว่าควรยืดมากขึ้นหรือพักผ่อน โยคะสอนให้เราเคารพร่างกาย เข้าใจจังหวะธรรมชาติ และค้นพบความแข็งแรงที่อ่อนโยน

 

Kintsugi ศิลปะแห่งการเยียวยาและการยอมรับความไม่สมบูรณ์

 

ศิลปะการซ่อมแซมภาชนะด้วยทองคำหรือโลหะมีค่า ไม่เพียงเป็นการเยียวยาสิ่งของ แต่ยังเป็นการเยียวยาใจ ทุกขั้นตอนต้องใช้สมาธิ ความละเอียดอ่อน และความอดทน ปรัชญา Kintsugi สอนให้เราเห็นความงดงามในรอยแตก ยอมรับว่าความไม่สมบูรณ์คือส่วนหนึ่งของประสบการณ์ชีวิต การประดิษฐ์ Kintsugi ในรูปแบบง่ายๆ จะช่วยให้เราเรียนรู้การยอมรับตัวเอง ความอดทน และการเห็นคุณค่าความงดงามของสิ่งที่อาจจะดูเหมือนเสียหาย หรือไม่สมบูรณ์ 

 

และเพื่อให้ทุกช่วงเวลาของการชะลอจังหวะชีวิตงดงามยิ่งขึ้น ลองเติมเต็มบรรยากาศด้วย Wellness Fragrance Series จาก PAÑPURI ไม่ว่าจะเป็น THE FIRST ที่ช่วยให้ใจสงบนิ่งและมีความมั่นคง KINDRED กลิ่นที่เชื่อมโยงความรู้สึกและอารมณ์เข้าด้วยกัน หรือ INTENTION อันมีส่วนผสมหลักอย่างลาเวนเดอร์ ให้เกิดความผ่อนคลายในทุกสถานการณ์ กลิ่นหอมเหล่านี้รังสรรค์เพื่อโอบกอดประสาทสัมผัส ปรับสมดุลอารมณ์ และเชื่อมโยงใจให้สอดคล้องกับจังหวะของกาย ให้ทุกโมเมนต์ของความเชื่องช้า กลายเป็นประสบการณ์ที่สมบูรณ์

 

อีกทั้ง Wellness Fragrance Series  ยังคำนึงถึงความปลอดภัยของร่างกายและสิ่งแวดล้อม โดยเลือกใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติ ปราศจากสารสังเคราะห์และสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อร่างกายและผิว

 

PAÑPURI ศิลปะแห่งการชะลอจังหวะชีวิตด้วยการหายใจ โยคะ ทำอาหาร และ Kintsugi PAÑPURI ศิลปะแห่งการชะลอจังหวะชีวิตด้วยการหายใจ โยคะ ทำอาหาร และ Kintsugi

 

ภาพ: PAÑPURI

The post The Art of Slowness: ช้าลง…เพื่อให้ชีวิตวิ่งตามคุณบ้าง appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘Silent Socializing’ เทรนด์ใหม่ของการเข้าสังคมที่กำลังเป็นที่นิยม https://thestandard.co/life/silent-socializing-trend Fri, 22 Aug 2025 01:00:07 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1109834 silent-socializing-trend

ในยุคที่ผู้คนเริ่มมองหาความสงบเพื่อตัดขาดจากความวุ่นวาย […]

The post ‘Silent Socializing’ เทรนด์ใหม่ของการเข้าสังคมที่กำลังเป็นที่นิยม appeared first on THE STANDARD.

]]>
silent-socializing-trend

ในยุคที่ผู้คนเริ่มมองหาความสงบเพื่อตัดขาดจากความวุ่นวายและเร่งรีบในยุคดิจิทัล เทรนด์ใหม่ที่กำลังมาแรงคือการที่ผู้คนหันมารวมตัวกันในอีเวนต์ที่เน้น ‘ความเงียบ’ เป็นไฮไลต์กันมากขึ้น 

 

การเข้าสังคมรูปแบบนี้ นักจิตวิทยาให้นิยามว่าเป็น ‘Adult Parallel Play’ หรือการเล่นคู่ขนานของผู้ใหญ่ ซึ่งหมายถึงการที่ทุกคนมาทำกิจกรรมของตัวเองในพื้นที่เดียวกัน แต่ต่างคนต่างอยู่กับตัวเองโดยมีเพียงบรรยากาศเงียบๆ ที่เชื่อมโยงทุกคนเข้าไว้ด้วยกัน ทำให้ผู้คนสามารถรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มได้โดยไม่ต้องแสดงออกหรือรู้สึกกดดัน

 

เทรนด์นี้กำลังเติบโตไปทั่วโลกด้วยรูปแบบที่หลากหลาย เช่น Silent Book Club ชมรมที่สมาชิกกว่าล้านคนทั่วโลกมารวมตัวกันเพื่ออ่านหนังสือในความเงียบสงบ หรือ Silent Reading Parties งานปาร์ตี้อ่านหนังสือที่จัดขึ้นในผับในลอนดอน ซึ่งบัตรเข้างานขายหมดล่วงหน้าหลายสัปดาห์

 

ภาพ: AI-generated

 

ความเงียบคือคำตอบของสังคมที่เหนื่อยล้า

 

การเข้าสังคมแบบเงียบไม่ใช่แค่กระแสชั่วคราว แต่มันคือคำตอบของสังคมที่เหนื่อยล้าในยุคที่โอกาสในการได้เจอผู้คนใหม่ๆ โดยบังเอิญนั้นมีน้อยลง รูปแบบการรวมตัวที่สบายๆ นี้กำลังเปลี่ยนความหมายของการออกไปข้างนอก และเป็นทางเลือกสำคัญในการต่อสู้กับความเหงา ซึ่งเป็นปัญหาสาธารณสุขระดับโลกที่ผู้คนกำลังมองหา

 

ภาพ: AI-generated

อ้างอิง:

The post ‘Silent Socializing’ เทรนด์ใหม่ของการเข้าสังคมที่กำลังเป็นที่นิยม appeared first on THE STANDARD.

]]>
Mindful Eating: กินดีอย่างมีสติ คือ Self-Care ของคนที่รักตัวเอง https://thestandard.co/life/mindful-eating-self-care Thu, 21 Aug 2025 03:14:49 +0000 https://thestandard.co/?p=1109538

รู้หรือไม่ว่าการเลือกที่จะกินอาหารดีๆ ที่มีประโยชน์ต่อส […]

The post Mindful Eating: กินดีอย่างมีสติ คือ Self-Care ของคนที่รักตัวเอง appeared first on THE STANDARD.

]]>

รู้หรือไม่ว่าการเลือกที่จะกินอาหารดีๆ ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพไม่ใช่แค่นิสัยธรรมดา แต่เป็นการแสดงออกถึงความรักที่เรามีต่อตัวเองที่เราทำให้กับร่างกายและจิตใจได้ในทุกๆ วัน

 

งานวิจัยจาก Harvard School of Public Health และมหาวิทยาลัยชั้นนำพบว่า การกินอย่างมีสติ (Mindful Eating) ส่งผลดีต่อสุขภาพจิต เพิ่มความพึงพอใจในการกิน และช่วยให้เรามีภาพลักษณ์ที่ดีต่อร่างกายของตนเอง นักโภชนาการ Lilian Cheung จาก Harvard ให้ความเห็นว่า “การกินอย่างมีสติช่วยให้เราได้รับคุณค่าทางโภชนาการอย่างเต็มที่จากอาหารที่บริโภค”

 

นักจิตวิทยา Jean Kristeller จากมหาวิทยาลัย Indiana State ร่วมกับ Duke University ก็พบว่า การฝึกกินอย่างมีสติช่วยให้คนเรารู้จักแยกแยะระหว่างความหิวทางอารมณ์กับความหิวทางร่างกาย และช่วยให้เรามีช่วงเวลาแห่งการเลือกระหว่างความอยากกับการกิน

 

เมื่อเราเลือกผักสดใหม่ ผลไม้สดใส หรือธัญพืชที่มีประโยชน์ เราก็กำลังบอกกับตัวเองว่าฉันคู่ควรกับสิ่งดีๆ การกินอย่างมีสติช่วยทำให้เรารับรู้ต่อสัญญาณความหิวและความอิ่ม ทำให้เราตอบสนองต่อความต้องการของร่างกายได้ดีขึ้น ดังนั้นการกินดีจึงเป็นภาษาแห่งความรักที่เราส่งให้ตัวเอง เป็นการบอกว่าเราเห็นคุณค่าในตัวเองและพร้อมที่จะใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ อาหารทุกคำที่ดีๆ ที่ผ่านเข้าไปในร่างกายคือการปลูกฝังเมล็ดพันธุ์แห่งสุขภาพดีสำหรับวันพรุ่งนี้

 

ภาพ: Shutterstock 

อ้างอิง:

The post Mindful Eating: กินดีอย่างมีสติ คือ Self-Care ของคนที่รักตัวเอง appeared first on THE STANDARD.

]]>
รู้จักอาการ ‘เสียงในหัว’ ที่คุยกับคุณอยู่ตลอดเวลา https://thestandard.co/life/inner-monologue-self-talk Wed, 20 Aug 2025 04:27:06 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1109199 เสียงในหัว

เคยไหมกับปรากฏการณ์ ‘เสียงในหัว’ ที่คุยกับค […]

The post รู้จักอาการ ‘เสียงในหัว’ ที่คุยกับคุณอยู่ตลอดเวลา appeared first on THE STANDARD.

]]>
เสียงในหัว

เคยไหมกับปรากฏการณ์ ‘เสียงในหัว’ ที่คุยกับคุณอยู่ตลอดเวลา? บางครั้งเป็นเสียงให้กำลังใจ “เธอทำได้ ลองดูสิ!” “อย่าไปกลัวเลย เดินหน้าต่อไป!” บางครั้งกลับกลายเป็นเสียงวิจารณ์

 

“ดูคนอื่นสิ สวยและเก่งกว่าเธอเยอะ”

“งานนี้ยากเกินไป เธอทำไม่ได้หรอก”

หรือแม้แต่เสียงกังวล “เผลอทำผิดอีกแล้วนะ”

“คนอื่นจะคิดยังไงนะ?”

 

จริงๆ แล้วเสียงลึกลับนี้มาจากไหน? เป็นปรากฏการณ์ธรรมดา หรือมีอะไรพิเศษซ่อนอยู่กันแน่? LIFE จึงอยากชวนทุกคนไปหาคำตอบ เพื่อให้เข้าใจว่าจริงๆ แล้วเสียงในหัวคือกลไกทางจิตวิทยาที่ซับซ้อนและทรงพลัง หากเข้าใจและจัดการอย่างถูกวิธี มันจะกลายเป็นเครื่องมือที่ช่วยเปลี่ยนชีวิตคุณให้ดีขึ้นได้อย่างน่าทึ่งเลยล่ะ 

 

ทำความรู้จักกับ ‘เสียงในหัว’ 

เสียงในหัว หรือที่นักจิตวิทยาเรียกว่า Inner Monologue คือการที่เราได้ยินคำพูดอยู่ในความคิดของตัวเอง โดยไม่จำเป็นต้องขยับปากหรือให้ใครได้ยิน เสียงนี้มีน้ำเสียงและสำเนียงครบถ้วน แม้จะไม่สามารถได้ยินด้วยหูจริงก็ตาม เด็กส่วนใหญ่จะเริ่มพัฒนาเสียงในหัวนี้เมื่ออายุประมาณ 2-3 ปี พร้อมกับการพัฒนาภาษาสื่อสาร แต่ที่น่าสนใจคือไม่ใช่ทุกคนจะมีเสียงในหัวแบบเดียวกัน หรือแม้แต่ไม่มีเลย

 

มิติต่างๆ ของเสียงในหัว นักวิจัยได้ระบุว่าเสียงในหัวมี 3 มิติหลักดังนี้

 

ความกระชับ (Condensation) บางครั้งเสียงในหัวอาจเป็นเพียงคำเดียวหรือประโยคสั้นๆ แต่บางครั้งก็เป็นประโยคเต็มหรือย่อหน้าทั้งหมด ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และความซับซ้อนของเรื่องที่เรากำลังคิด

 

การสนทนาโต้ตอบ (Dialogicality) บางคนคิดด้วยเสียงเดียว เหมือนการบอกสิ่งที่ต้องจำกับตัวเอง ส่วนบางคนมีหลายเสียงในหัว เหมือนการจินตนาการบทสนทนาในอนาคตที่มีหลายมุมมอง

 

ความตั้งใจ (Intentionality) บางครั้งเราใช้เสียงในหัวอย่างจงใจ เช่น การฝึกซ้อมการนำเสนอ แต่บางครั้งเสียงในหัวก็ทำงานเองโดยไม่ตั้งใจเมื่อเรากำลังใจลอย

 

คนที่ไม่มีเสียงในหัวคิดอย่างไร?

การวิจัยของศาสตราจารย์ Russell Hurlburt ประมาณการว่ามีคนราว 30-50% ที่มีประสบการณ์เสียงในหัวบ่อยครั้ง แต่ไม่ได้มีตลอดเวลา ส่วนคนที่ไม่มีเสียงในหัวจะคิดด้วยวิธีอื่น เช่น การมองเห็นภายใน จินตนาการภาพในใจ เช่น นึกภาพสถานที่ที่ต้องการไป การคิดแบบไร้สัญลักษณ์ คิดโดยไม่ใช้คำ ภาพ หรือสัญลักษณ์ใดๆ ความรู้สึก พิจารณาอารมณ์ของตนเองอย่างมีสติ และการรับรู้ทางประสาทสัมผัส มุ่งเน้นไปที่แง่มุมเดียวของสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัว 

 

ข้อดีของเสียงในหัว

เสียงในหัวมีประโยชน์มากมาย เป็นเครื่องมือสำคัญในการทำงานของสมอง ช่วยในการวางแผน การแก้ปัญหา การควบคุมตนเอง และการรับมุมมองของผู้อื่น เสียงในหัวยังเป็นแหล่งของแรงจูงใจและคำแนะนำต่อตนเอง ช่วยเพิ่มสมาธิ ทักษะการคิด และช่วยในการทบทวนข้อมูลเพื่อการจดจำ การพูดกับตัวเองออกเสียงดังๆ ยังสามารถกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์และสร้างแนวคิดใหม่ๆ ได้ นอกจากนี้ เสียงในหัวยังช่วยกระตุ้นทฤษฎีแห่งจิต โดยการจินตนาการถึงผู้ฟัง ทำให้เราสามารถตั้งคำถามกับตัวเองได้อย่างวิพากษ์วิจารณ์และเห็นอกเห็นใจผู้อื่นมากขึ้น

 

อันตรายของเสียงในหัวที่ควรระวัง

แม้เสียงในหัวจะมีประโยชน์ แต่ก็อาจกลายเป็นปัญหาได้ ข้อเสียที่สำคัญที่สุดคือการวิพากษ์วิจารณ์ตนเองอย่างต่อเนื่อง เสียงในหัวอาจเป็นแหล่งที่มาของความคิดเชิงลบเกี่ยวกับตนเอง นำไปสู่ความนับถือตนเองที่ลดลง จิตใจที่วิตกกังวลมักจะวนเวียนอยู่กับความคิดเชิงลบที่รบกวนจิตใจ หากไม่สามารถปิดเสียงในหัวได้ อาจกลายเป็นสิ่งที่ท่วมท้นและเป็นพิษต่อสุขภาพจิตได้

 

เทคนิคการจัดการเสียงในหัวเชิงลบ

การบำบัดด้วยการยอมรับและผูกมัด (ACT) สอนทักษะการสร้างระยะห่างจากความคิด ช่วยให้ตระหนักว่าความคิดเป็นเพียงคำพูดที่ไม่มีอำนาจเหนือตัวเรา

 

การฝึกการรับมุมมอง มองตัวเองเป็น พื้นที่กว้างใหญ่ที่รองรับความคิด ช่วยให้สังเกตเรื่องราวเกี่ยวกับตนเองได้อย่างเป็นกลางมากขึ้น

 

เทคนิคการสงบจิตใจ รวมถึงการมองด้วยสายตาที่ผ่อนคลาย การผ่อนคลายขากรรไกรและลิ้น การฟังเสียงบรรยากาศรอบข้าง เทคนิคการหายใจ หรือการพยายามคาดเดาความคิดต่อไป การเข้าใจว่าเสียงในหัวเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติมนุษย์จะช่วยให้เราจัดการกับมันได้อย่างมีสติมากขึ้น แทนที่จะปล่อยให้เสียงวิพากษ์วิจารณ์บั่นทอนกำลังใจ เราสามารถฝึกฝนให้เสียงเหล่านั้นเป็นไปในเชิงบวกได้

 

อ้างอิง:

The post รู้จักอาการ ‘เสียงในหัว’ ที่คุยกับคุณอยู่ตลอดเวลา appeared first on THE STANDARD.

]]>
ถอดรหัสส่วนผสมสุดจึ้งที่มีในกันแดด Her Hyness UV Adapt Hya Water Sunscreen SPF50+ PA++++ https://thestandard.co/life/her-hyness-uv-adapt-sunscreen Tue, 19 Aug 2025 06:51:18 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1108839 her-hyness-uv-adapt-sunscreen

ทุกวันนี้การปกป้องผิวจากแสงแดดไม่ได้หมายแค่การทากันแดดแ […]

The post ถอดรหัสส่วนผสมสุดจึ้งที่มีในกันแดด Her Hyness UV Adapt Hya Water Sunscreen SPF50+ PA++++ appeared first on THE STANDARD.

]]>
her-hyness-uv-adapt-sunscreen

ทุกวันนี้การปกป้องผิวจากแสงแดดไม่ได้หมายแค่การทากันแดดแล้วหายห่วง แต่คือการลงทุนกับนวัตกรรมที่ช่วยให้ผิวของเราแข็งแกร่งขึ้นในระยะยาว Her Hyness UV Adapt Hya Water Sunscreen SPF50+ PA++++ ถือเป็นหนึ่งในกันแดดเจเนอเรชันใหม่ที่ไม่ได้แค่ ‘ปกป้อง’ แต่ยัง ‘เสริมพลัง’ ให้ผิวสามารถดูแลตัวเองได้อย่างยั่งยืน LIFE ชวนผู้อ่านมาเจาะลึกไปด้วยกันว่าสูตรลับของกันแดดตัวนี้มีอะไรน่าสนใจบ้าง และทำไมถึงทำให้สาวๆ รุ่นใหม่ตกหลุมรักกันทั้งเมือง

 


 

บทความที่เกี่ยวข้อง:

 


 

Her Hyness มีเทคโนโลยีเอกสิทธิ์ที่เปลี่ยนเกมการกันแดด

 

ไฮไลต์ที่โดดเด่นของกันแดดตัวนี้อยู่ที่ Smart UV Adapt™ Technology เป็นเทคโนโลยีเฉพาะตัวที่ทำงานแบบอัจฉริยะ โดยไม่ได้แค่ปกป้องผิวจากภายนอก แต่ยังช่วยบูสต์กลไกธรรมชาติของผิวให้แข็งแกร่งขึ้นด้วยตัวเอง หลายคนอาจสงสัยว่าเอ๊ะ แล้วมันทำงานอย่างไร? คำตอบคือ Smart UV Adapt™ จะช่วยเพิ่มจำนวนแบคทีเรียดี Lactobacillus plantarum บนผิว ซึ่งเป็นเหมือนทหารเฝ้ายามที่คอยปกป้องผิวจากแสงแดดตามธรรมชาติ การทดสอบแสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีนี้สามารถช่วยผิวต้านทานรังสี UV ได้ต่อเนื่องนานถึง 6 ชั่วโมง โดยไม่ต้องทาซ้ำ 

 

Advanced Encap UV Filters โล่ป้องกันแบบครบครัน

 

ส่วนผสมตัวนี้เปรียบเสมือนโล่ป้องกันอัจฉริยะที่ครอบคลุมการปกป้องแบบ 360 องศาจาก

 

  • UVA1 & UVA2 รังสีที่ทำให้ผิวแก่ก่อนวัย เหี่ยวย่น
  • UVB รังสีที่ทำให้ผิวไหม้แดง
  • IR (Infrared) รังสีอินฟราเรดที่ทำให้ผิวร้อนจากภายใน
  • Blue Light & HEV แสงสีฟ้าจากหน้าจอมือถือและคอมพิวเตอร์

 

เทคโนโลยี Encapsulation ช่วยให้สารกันแดดเหล่านี้คงความเสถียรและปลดปล่อยประสิทธิภาพได้อย่างต่อเนื่องนั่นเอง 

 

รู้จัก Anti-Blue Light Power Trio สามเสาหลักต้านแสงสีฟ้า

 

โดยเฉลี่ยแล้วในยุคนี้เราใช้หน้าจอมากกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน การปกป้องจากแสงสีฟ้าจึงเป็นสิ่งจำเป็น Her Hyness ใส่ 3 ซูเปอร์ฮีโร่มาช่วยกัน ประกอบด้วย

  1. Astaxanthin สารต้านอนุมูลอิสระที่มีพลังแรงกว่าวิตามิน C ถึง 6,000 เท่า
  2. Lutein แว่นตากันแดดธรรมชาติที่ช่วยกรองแสงสีฟ้า
  3. Resveratrol สารจากองุ่นแดงที่ช่วยซ่อมแซมผิวเสียจากแสง

 

โดยทั้งสามตัวนี้ถูกบรรจุในรูปแบบ Encapsulation เพื่อให้เสถียรและซึมซาบได้ดีที่สุด

 

Protection-P เกราะป้องกันมลพิษ

 

ไม่ใช่แค่แสงแดด แต่มลพิษในอากาศ และ PM2.5 ก็เป็นปัญหาใหญ่สำหรับผิว Protection-P ทำหน้าที่เป็น เกราะโปร่งใสที่ปกป้องผิวจากฝุ่นละออง สารเคมีในอากาศ และสิ่งเจือปนต่างๆ ที่อาจทำร้ายผิวของเราได้

 

Skin Recovery Complex ทีมฟื้นฟูผิวสวย กันแดดที่ดีไม่ได้แค่ปกป้อง แต่ต้องช่วยฟื้นฟูด้วย


N-Acetyl Glucosamine (NAG) ช่วยลดจุดด่างดำและรอยแดงจากแสงแดด พร้อมกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่

 

Ceramide เสริมสร้างเกราะป้องกันธรรมชาติของผิว ป้องกันความชื้นไม่ให้หลุดออกจากผิว

 

Hyaluronic Acid แม่เหล็กความชื้น ที่ดูดซับน้ำได้ถึง 1,000 เท่าของน้ำหนักตัวเอง ทำให้ผิวอิ่มน้ำและเด้งดึ๋ง

 

Clean Beauty Formula ความใส่ใจในทุกรายละเอียด

 

เนื้อเซรั่มเบาสบาย พร้อมสูตร Sweat Resistant ที่ไม่หลุดง่ายแม้เหงื่อออก ที่สำคัญคือเป็น Clean Beauty Formula ที่ปราศจากแอลกอฮอล์ ไม่ทำให้ผิวแห้ง ไม่มีน้ำหอม เหมาะกับผิวแพ้ง่าย ไม่มีพาราเบน และสารเคมีอันตรายกว่า 2,100 ชนิดตามมาตรฐาน EU และเหมาะสำหรับทุกสภาพผิว รวมถึงผิวแพ้ง่าย

 

การันตีประสิทธิภาพระดับโลก

 

ไม่ใช่แค่การอ้าง แต่ Her Hyness พิสูจน์ด้วยการทดสอบจริงดังนี้

 

  • SPF50+ PA++++ ผ่านการทดสอบ In Vivo บนผิวคนจริง
  • มาตรฐาน ISO 24443 และ ISO 24444 การทดสอบระดับโลก
  • การทดสอบจากมหาวิทยาลัยรังสิต พิสูจน์ประสิทธิภาพของ Smart UV Adapt™ 

 

กันแดด Her Hyness UV Adapt

กันแดด Her Hyness UV Adapt

กันแดด Her Hyness UV Adapt

กันแดด Her Hyness UV Adapt

กันแดด Her Hyness UV Adapt

กันแดด Her Hyness UV Adapt

กันแดด Her Hyness UV Adapt

กันแดด Her Hyness UV Adapt

กันแดด Her Hyness UV Adapt

กันแดด Her Hyness UV Adapt

กันแดด Her Hyness UV Adapt

 


 

Glow Image

The post ถอดรหัสส่วนผสมสุดจึ้งที่มีในกันแดด Her Hyness UV Adapt Hya Water Sunscreen SPF50+ PA++++ appeared first on THE STANDARD.

]]>