LIFE | BODY & MIND – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Mon, 27 Jan 2025 05:13:37 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ผลวิจัยใหม่ชี้ เนื้อแดงแปรรูปเพิ่มความเสี่ยงโรคสมองเสื่อม https://thestandard.co/life/alzheimer-risk-red-meat Mon, 27 Jan 2025 05:13:37 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1034810 Alzheimer-Risk-Red-Meat

การศึกษาล่าสุดจากทีมนักวิจัยฮาร์วาร์ดเผยข้อมูลสำคัญที่ค […]

The post ผลวิจัยใหม่ชี้ เนื้อแดงแปรรูปเพิ่มความเสี่ยงโรคสมองเสื่อม appeared first on THE STANDARD.

]]>
Alzheimer-Risk-Red-Meat

การศึกษาล่าสุดจากทีมนักวิจัยฮาร์วาร์ดเผยข้อมูลสำคัญที่คนรักเบคอน ฮอตด็อก และเนื้อแดงแปรรูปต้องรู้ โดยทีมวิจัยนำโดย Dr.Daniel Wang จากโรงพยาบาลบริงแฮมและโรงเรียนแพทย์ฮาร์วาร์ด พบว่าการกินเนื้อแดงแปรรูปเพียงวันละนิดเดียวก็เพิ่มความเสี่ยงสมองเสื่อมได้ถึง 14% เมื่อเทียบกับคนที่กินน้อยมาก

 

ปริมาณที่ถือว่ามากพอจะเพิ่มความเสี่ยงนั้นเทียบได้กับการกินเบคอน 2 แผ่น โบโลญญา 1.5 แผ่น หรือฮอตด็อก 1 ชิ้นต่อวัน งานวิจัยนี้ศึกษาข้อมูลจากบุคลากรทางการแพทย์กว่า 130,000 คน ติดตามผลนานกว่า 40 ปี โดยให้กรอกข้อมูลการกินอาหารและสุขภาพทุก 2-4 ปี

 

แต่ทั้งนี้ก็ยังมีทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับผู้ที่ต้องการลดความเสี่ยง การเปลี่ยนจากเนื้อแดงแปรรูปเป็นถั่วหรือธัญพืชสามารถลดความเสี่ยงสมองเสื่อมได้ 19% หากเปลี่ยนเป็นปลา จะลดความเสี่ยงได้มากถึง 28% และหากเลือกกินไก่แทน จะช่วยลดความเสี่ยงได้ 16%

 

นักวิจัยได้อธิบายสาเหตุที่เนื้อแดงแปรรูปส่งผลต่อสมอง โดยมีทฤษฎีว่าอาจเป็นเพราะไขมันอิ่มตัวและโซเดียมสูง ซึ่งส่งผลต่อความดันและเบาหวาน จนกระทบต่อสมอง นอกจากนี้สารที่เกิดจากการย่อยเนื้อแปรรูปอาจกระตุ้นการจับตัวของโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับอัลไซเมอร์ และไนไตรต์ในเนื้อแปรรูปอาจทำลาย DNA ของเซลล์สมอง

 

สรุปแล้ว ยิ่งลดการกินเนื้อแดงแปรรูปได้เร็วเท่าไรก็ยิ่งดีต่อสุขภาพสมองเท่านั้น แม้จะลดแค่นิดหน่อยก็สามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะสมองเสื่อมได้แล้ว

 

อ้างอิง:

The post ผลวิจัยใหม่ชี้ เนื้อแดงแปรรูปเพิ่มความเสี่ยงโรคสมองเสื่อม appeared first on THE STANDARD.

]]>
นักบำบัดชี้ การอยู่คนเดียวไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่ช่วยให้เรามีความสุขมากขึ้น https://thestandard.co/life/how-to-do-things-alone-mental-health Sun, 26 Jan 2025 05:54:19 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1034600 การอยู่คนเดียว

เคยไหมที่รู้สึกไม่มั่นใจและแอบกลัวนิดๆ เวลาไปไหนมาไหนคน […]

The post นักบำบัดชี้ การอยู่คนเดียวไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่ช่วยให้เรามีความสุขมากขึ้น appeared first on THE STANDARD.

]]>
การอยู่คนเดียว

เคยไหมที่รู้สึกไม่มั่นใจและแอบกลัวนิดๆ เวลาไปไหนมาไหนคนเดียว บางคนตั้งแต่เกิดมายังไม่กล้าไปดูภาพยนตร์ นั่งกินข้าว หรือเที่ยวคนเดียวด้วยซ้ำ แต่รู้หรือเปล่าว่ามีนักจิตวิทยาที่ยืนยันว่าการอยู่กับตัวเองอย่างมีคุณภาพช่วยเพิ่มความสุขและความมั่นใจได้นะ ซึ่งเขาระบุว่า เมื่อเราให้เวลากับตัวเอง เราจะเครียดน้อยลง พอใจชีวิตมากขึ้น ทำงานได้ดีขึ้น และมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น

 

Jessica Gaddy นักบำบัดจากลอสแอนเจลิส อธิบายว่า “การอยู่คนเดียวไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่เป็นโอกาสที่จะได้รู้จักและเป็นเพื่อนที่ดีกับตัวเอง ช่วยให้เรามีสุขภาพจิตที่ดี รู้จักตัวเองมากขึ้น” เธอเน้นว่า การกล้าไปไหนมาไหนคนเดียวแสดงถึงความกล้าหาญและความเข้มแข็ง เป็นการพิสูจน์ว่าเราสามารถพึ่งพาตัวเองได้

 

เช่น กรณีของ Samantha Elliott หญิงสาววัย 24 ปี เธอเคยหวาดกลัวที่จะอยู่คนเดียวในเมืองใหม่หลังจากเรียนจบ แต่เมื่อลองรวบรวมความกล้าออกไปเที่ยวคนเดียว ทั้งเดินป่า ดูคอนเสิร์ต เที่ยวพิพิธภัณฑ์ และกินข้าวคนเดียว เธอกลับพบว่ามันเป็นช่วงเวลาที่วิเศษที่ทำให้ได้เรียนรู้ว่าไม่จำเป็นต้องมีใครมาด้วยถึงจะมีความสุขได้ และบ่อยครั้งการไปคนเดียวกลับทำให้ได้เจอเพื่อนใหม่ๆ ที่น่าสนใจมากขึ้นด้วย

 

ทางด้าน Danny Stewart วัย 27 ปี ก็ร่วมแบ่งปันมุมมองว่า “การอยู่คนเดียวไม่ได้แปลว่าเหงาหรือไม่มีเพื่อน แต่เป็นการเลือกที่จะให้เวลากับตัวเอง” เขามักไปดูภาพยนตร์ คอนเสิร์ต และเกมเบสบอลคนเดียว โดยมองว่ามันเป็นช่วงเวลาพิเศษที่ได้ทำในสิ่งที่ชอบโดยไม่ต้องกังวลใจ

 

ต่อไปนี้เป็นเคล็ดลับการใช้เวลาคุณภาพกับตัวเองสำหรับคนที่อยากเริ่มต้น

 

  • เริ่มจากที่ที่คุ้นเคย เช่น ร้านกาแฟใกล้บ้าน หรือสวนสาธารณะที่เคยไป
  • บอกตัวเองว่าการกล้าอยู่คนเดียวคือความเก่ง ไม่ใช่ความอ่อนแอ
  • จดจำว่าคนอื่นมักสนใจแต่เรื่องของตัวเอง ไม่ได้มาสนใจเราที่มาคนเดียว
  • ชื่นชมตัวเองทุกครั้งที่กล้าทำอะไรคนเดียว เพราะนั่นคือความกล้าหาญ

 

นักจิตวิทยาย้ำว่า การมีเวลาอยู่กับตัวเองอย่างมีความสุขเป็นทักษะสำคัญที่จะช่วยให้เรามีสุขภาพจิตที่ดี รู้จักตัวเองมากขึ้น และพร้อมที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น เพราะคนที่อยู่กับตัวเองได้จะเป็นคนที่มั่นคง ไม่ต้องพึ่งพาความสุขจากคนอื่นตลอดเวลา

 


ภาพ: Shutterstock

อ้างอิง:

 

The post นักบำบัดชี้ การอยู่คนเดียวไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่ช่วยให้เรามีความสุขมากขึ้น appeared first on THE STANDARD.

]]>
รู้จักโรค Paris Syndrome เมื่อปารีสของจริงไม่ตรงปกเหมือนที่คิดเอาไว้ https://thestandard.co/life/get-to-know-paris-syndrome Sat, 25 Jan 2025 03:00:54 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1034204

เมืองปารีส ประเทศฝรั่งเศส เป็นเมืองในฝันของใครหลายๆ คนท […]

The post รู้จักโรค Paris Syndrome เมื่อปารีสของจริงไม่ตรงปกเหมือนที่คิดเอาไว้ appeared first on THE STANDARD.

]]>

เมืองปารีส ประเทศฝรั่งเศส เป็นเมืองในฝันของใครหลายๆ คนที่ตั้งใจจะไปเยือนสักครั้งในชีวิต บางคนอาจวาดฝันถึงการจิบกาแฟในคาเฟ่ริมทางเก๋ๆ บางคนอยากไปชื่นชมแสงสีทองของหอไอเฟลยามเย็นด้วยตาของตัวเอง บางคนอยากควงแขนคนรักไปเดินเล่นเคียงข้างกันบนถนนสุดโรแมนติกเหมือนที่เคยดูในภาพยนตร์เรื่องโปรด

 

แต่รู้หรือไม่ว่าในอดีตเมื่อปี 1986 มีนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยโดยเฉพาะชาวญี่ปุ่นที่ต้องเผชิญกับอาการช็อกทางจิตใจหลังได้สัมผัสกับเมืองปารีสของจริง จนกลายเป็นที่มาของโรคที่น่าสนใจอย่าง Paris Syndrome ที่ค้นพบโดยจิตแพทย์ชาวญี่ปุ่น ศาสตราจารย์ Hiroaki Ota ที่ทำงานในปารีส เขาพบผู้ป่วยที่มีอาการวิตกกังวล ซึมเศร้า หัวใจเต้นเร็ว เวียนหัว และบางรายถึงขั้นประสาทหลอน หลังจากพบว่าปารีสไม่ได้สวยงามโรแมนติกอย่างที่พวกเขาคาดหวังไว้

 

แล้วอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการแปลกประหลาดนี้ และเราจะรับมือกับความผิดหวังเหล่านี้ได้อย่างไร ติดตามอ่านต่อได้ในบทความนี้เลย

 


 

Paris Syndrome หรือกลุ่มอาการปารีส คือภาวะทางจิตเวชที่พบครั้งแรกในนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นเมื่อปี 1986 โดย ศาสตราจารย์ Hiroaki Ota จิตแพทย์ชาวญี่ปุ่นที่ทำงานในปารีส รายงานว่าพบผู้ป่วยที่มีอาการวิตกกังวล ซึมเศร้า หัวใจเต้นเร็ว เวียนหัว และบางรายถึงขั้นประสาทหลอน หลังจากพบว่าปารีสไม่ได้สวยงามโรแมนติกอย่างที่พวกเขาคาดหวังไว้ 

 

จากข้อมูลของสถานทูตญี่ปุ่นประจำกรุงปารีส พบว่ามีนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นประมาณ 20 คนต่อปีที่ต้องเข้ารับการรักษาด้วยอาการนี้ วารสาร Journal of Travel Medicine วิเคราะห์สาเหตุหลักว่ามาจากความคาดหวังสูงจากภาพลักษณ์ในสื่อ ภาพยนตร์ และโฆษณา รวมถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะเรื่องมารยาทและการให้บริการที่แตกต่างจากญี่ปุ่น นอกจากนี้ ความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง เจ็ตแล็ก และการเผชิญกับความจริงที่ว่าปารีสก็มีปัญหาเหมือนเมืองใหญ่ทั่วไป ทั้งความแออัด ขยะ และมิจฉาชีพ ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการดังกล่าว

 

International Journal of Psychiatry in Clinical Practice รายงานว่า อาการคล้าย Paris Syndrome พบได้ในเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ เช่น เยรูซาเล็มในอิสราเอล หรือฟลอเรนซ์ในอิตาลี ซึ่งมีสาเหตุคล้ายกันคือความคาดหวังที่สูงเกินจริง ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดในการรับมือคือการปรับความคาดหวังก่อนเดินทาง ศึกษาข้อมูลจริงจากนักท่องเที่ยวคนอื่น เตรียมตัวรับมือกับ Culture Shock และวางแผนพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่จัดตารางแน่นเกินไป ที่สำคัญควรมองหาประสบการณ์ท้องถิ่นแท้ๆ นอกเหนือจากสถานที่ท่องเที่ยวหลัก และจดจำว่าทุกเมืองมีเสน่ห์เฉพาะตัว แม้จะไม่สมบูรณ์แบบอย่างในภาพยนตร์หรือโฆษณา

 

The post รู้จักโรค Paris Syndrome เมื่อปารีสของจริงไม่ตรงปกเหมือนที่คิดเอาไว้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
จุดธูปกำยานในห้อง ควันหอมที่ต้องระวัง https://thestandard.co/life/incense-smoke-health-risks Fri, 24 Jan 2025 06:36:31 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1033970 incense-smoke-health-risks

มลพิษทางอากาศอย่าง PM2.5 ในช่วงนี้เกินค่ามาตรฐานจนส่งผล […]

The post จุดธูปกำยานในห้อง ควันหอมที่ต้องระวัง appeared first on THE STANDARD.

]]>
incense-smoke-health-risks

มลพิษทางอากาศอย่าง PM2.5 ในช่วงนี้เกินค่ามาตรฐานจนส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเรา สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงเพิ่มเติมในช่วงนี้คือการจุดธูปกำยาน ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบกลิ่นหอมธรรมชาติและอยากสร้างบรรยากาศผ่อนคลาย แต่น้อยคนจะทราบว่าความหอมเหล่านี้มาพร้อมความเสี่ยงต่อสุขภาพที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะควันจากการเผาไหม้ที่สามารถเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ ก่อให้เกิดอาการแพ้ ระคายเคือง และกระตุ้นโรคหอบหืด ยิ่งการสูดดมควันเป็นเวลานานยังอาจส่งผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือดได้

 

หากต้องการใช้ธูปกำยานอย่างปลอดภัย ควรเลือกวันที่อากาศดีๆ ไร้ฝุ่น PM2.5 เลือกจุดในพื้นที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก เปิดหน้าต่างหรือประตูให้อากาศหมุนเวียน จุดในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากเกินไป และไม่ควรจุดทิ้งไว้เป็นเวลานานหรือข้ามคืน ที่สำคัญต้องวางในที่ปลอดภัย ห่างจากวัสดุไวไฟ และใช้ถาดรองที่มั่นคง ไม่ล้มง่าย

 

สำหรับผู้ที่ต้องการความหอมแบบปลอดภัย มีทางเลือกอื่นที่น่าสนใจ เช่น น้ำมันหอมระเหยแบบไม่ต้องเผา, เครื่องพ่นไอน้ำกลิ่นหอม (Aroma Diffuser), ก้านไม้หอม (Reed Diffuser), สเปรย์ปรับอากาศจากธรรมชาติ ซึ่งให้กลิ่นหอมโดยไม่ต้องกังวลเรื่องควัน

 

ข้อควรระวังเป็นพิเศษสำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ และควรหลีกเลี่ยงการจุดธูปกำยานในห้องที่มีเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือสัตว์เลี้ยง เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับสุขภาพ

The post จุดธูปกำยานในห้อง ควันหอมที่ต้องระวัง appeared first on THE STANDARD.

]]>
6-6-6 Walking Challenge เทรนด์ใหม่ของการเดินเพื่อสุขภาพ https://thestandard.co/life/6-6-6-walking-challenge Thu, 23 Jan 2025 06:02:43 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1033390 6-6-6 Walking Challenge

ใครว่าการออกกำลังกายต้องยากและซับซ้อน? วันนี้ LIFE จะชว […]

The post 6-6-6 Walking Challenge เทรนด์ใหม่ของการเดินเพื่อสุขภาพ appeared first on THE STANDARD.

]]>
6-6-6 Walking Challenge

ใครว่าการออกกำลังกายต้องยากและซับซ้อน? วันนี้ LIFE จะชวนผู้อ่านไปทำความรู้จักกับเทรนด์ออกกำลังกายที่ง่ายและกำลังได้รับความนิยมอย่าง 6-6-6 Walking Challenge นี่คือเทรนด์การเดินที่จะเปลี่ยนชีวิตคุณให้ฟิตแอนด์เฟิร์มได้ง่ายๆ เพียงแค่ออกไปเดิน! รับรองว่าเหมาะกับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หัดออกกำลังกายหรือคนที่มีเวลาน้อยก็สามารถทำได้แบบไม่กดดัน 

 

รู้จัก 6-6-6 Walking Challenge

6-6-6 Walking Challenge เป็นเทรนด์การเดินสุดฮิตที่กำลังมาแรงในโซเชียลมีเดียและกลุ่มคนรักสุขภาพ มีหลักการง่ายๆ คือ เดินให้ครบ 60 นาทีในเวลา 6 โมงเช้าหรือ 6 โมงเย็น โดยแบ่งเป็นการวอร์มอัพ 6 นาที เดินเร็วตามเป้าหมาย 48 นาที และคูลดาวน์อีก 6 นาที ซึ่งการเดินแบบนี้จะช่วยให้คุณได้ออกกำลังกายครบตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญที่แนะนำให้ออกกำลังกาย 150 นาทีต่อสัปดาห์

 

ประโยชน์ที่จะได้รับ

การเดินแบบ 6-6-6 ไม่เพียงแต่ช่วยเผาผลาญไขมัน แต่ยังส่งผลดีต่อสุขภาพแบบองค์รวม ทั้งการนอนหลับที่ดีขึ้น สมองปลอดโปร่ง ความจำดี ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ เบาหวาน และความดันโลหิตสูง นอกจากนี้ยังช่วยลดความเครียดและอาการซึมเศร้า เรียกได้ว่าเป็นการออกกำลังกายที่ให้ผลลัพธ์คุ้มค่าสุดๆ

 

เริ่มต้นอย่างไรให้ปัง

สำหรับมือใหม่ ไม่ต้องรีบร้อนทำให้ครบ 60 นาทีในครั้งแรก เริ่มจาก 10-15 นาทีก่อนก็ได้ แล้วค่อยๆ เพิ่มเวลาขึ้น สิ่งสำคัญคือการเลือกรองเท้าที่สวมใส่สบาย รองรับการเดินได้ดี และเสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี ควรเดินในระดับที่พูดคุยได้สบายๆ และเมื่อร่างกายพร้อมค่อยเพิ่มความเร็วหรือเลือกเส้นทางที่มีความชันเพื่อเพิ่มความท้าทาย

 

เคล็ดลับการจัดตารางเวลา

ข้อดีของ 6-6-6 Walking Challenge คือการกำหนดเวลาที่ชัดเจน ทำให้ง่ายต่อการจัดตารางชีวิต คุณสามารถเลือกเดินตอนเช้าเพื่อเริ่มต้นวันอย่างสดชื่น หรือตอนเย็นเพื่อผ่อนคลายหลังเลิกงาน แต่ถ้าไม่สะดวกจริงๆ การแบ่งเดินหลายๆ ครั้งใน 1 วันก็เป็นทางเลือกที่ดีเช่นกัน

The post 6-6-6 Walking Challenge เทรนด์ใหม่ของการเดินเพื่อสุขภาพ appeared first on THE STANDARD.

]]>
จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อกินไข่ต้มทุกวันติดต่อกัน 1 เดือน https://thestandard.co/life/boiled-eggs-daily-health-impact Wed, 22 Jan 2025 08:23:18 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1033099 กินไข่ต้มทุกวัน

หลายคนกังวลว่ากินไข่ต้มเยอะๆ จะเสี่ยงคอเลสเตอรอลพุ่ง แต […]

The post จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อกินไข่ต้มทุกวันติดต่อกัน 1 เดือน appeared first on THE STANDARD.

]]>
กินไข่ต้มทุกวัน

หลายคนกังวลว่ากินไข่ต้มเยอะๆ จะเสี่ยงคอเลสเตอรอลพุ่ง แต่รู้ไหมว่างานวิจัยล่าสุดบอกว่า ไข่คือซูเปอร์ฟู้ดราคาเบาๆ ที่อัดแน่นด้วยโปรตีนคุณภาพเยี่ยม! คนสุขภาพแข็งแรงกินได้วันละ 3-4 ฟองสบายๆ ถ้าร่างกายฟิตๆ เพิ่มได้ถึง 5-6 ฟองเลย แต่มีข้อยกเว้น ถ้าใครเป็นโรคไตเรื้อรังควรหลีกเลี่ยงการกินไข่ที่มากเกินไป เพราะไตต้องทำงานหนักขึ้นในการกำจัดของเสียจากโปรตีน ถ้าได้รับมากไปอาจทำให้อาการแย่ลง เพราะฉะนั้นต้องให้หมอช่วยกำหนดปริมาณที่เหมาะกับสภาพร่างกายของแต่ละคนด้วยนั่นเอง แต่การจะกินไข่ให้ได้ประโยชน์ครบถ้วนแบบสุขภาพดี ไม่ได้กินแค่ไข่อย่างเดียว แต่ต้องกินอย่างเหมาะสม ไม่มากเกินไป มิกซ์แอนด์แมตช์กับอาหารที่หลากหลาย เช่น ผักและผลไม้ ควบคุมการบริโภคน้ำตาลและแป้งควบคู่กันไปด้วย 

 

สายลดน้ำหนักต้องรู้! ไข่ต้มไม่ใช่แค่อาหารธรรมดา แต่เป็นตัวช่วยสุดปังในการควบคุมน้ำหนัก เพราะโปรตีนในไข่ทำให้อิ่มท้องนาน ลดอาการหิวกลางดึก ทำให้เราสามารถโบกมือบ๊ายบายการกินจุบจิบไปได้เลย ที่เจ๋งไปกว่านั้นคือไข่มีแคลอรีต่ำมากเมื่อนำมาต้มให้สุก แถมยังช่วยซ่อมแซมกล้ามเนื้อ ควบคุมความดันโลหิตและระดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วย

 

แต่เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งรีบกินแต่ไข่อย่างเดียวนะ เพราะร่างกายเราต้องการสารอาหารหลากหลายอยู่ดี ลองมิกซ์แอนด์แมตช์กับผัก ผลไม้ และธัญพืชดูบ้าง ถ้าอยากลดน้ำหนักจริงๆ ก็ต้องคุมน้ำตาลและแป้งควบคู่กันไปด้วย ที่สำคัญอย่าลืมเช็กสุขภาพด้วยนะ โดยเฉพาะค่าไตรกลีเซอไรด์และ HDL ในเลือด ถ้าอัตราส่วนเกิน 2 รีบปรึกษาหมอดีกว่า เพราะอาจมีปัญหาเรื่องหลอดเลือดได้ (อัตราส่วนระหว่างไตรกลีเซอไรด์และ HDL เป็นตัวชี้วัดสุขภาพหลอดเลือดที่สำคัญ โดยค่าไตรกลีเซอไรด์คือไขมันในเลือดที่หากมีมากเกินไปจะเสี่ยงต่อโรคหัวใจ ส่วน HDL คือไขมันดีที่ช่วยทำความสะอาดหลอดเลือด วิธีคำนวณง่ายๆ คือนำค่าไตรกลีเซอไรด์หารด้วยค่า HDL ผลลัพธ์ไม่ควรเกิน 2 เช่น ถ้าค่าไตรกลีเซอไรด์เป็น 150 และ HDL เป็น 50 เมื่อหารกันแล้วจะได้ 3 ซึ่งเกินค่าที่ปลอดภัย)

 

จะให้ดีต้องแพลนให้รอบคอบแบบองค์รวม ทั้งกินข้าวให้ตรงเวลา ดื่มน้ำเยอะๆ ออกกำลังกายบ่อยๆ และนอนหลับให้เพียงพออย่างมีคุณภาพ สรุปง่ายๆ ว่ากินไข่ต้มทุกวันเป็นเดือนๆ ไม่ใช่เรื่องแย่ แถมยังดีต่อสุขภาพด้วย แค่ต้องกินให้พอดีและมิกซ์กับอาหารอื่นๆ ให้ครบ รับรองว่าสุขภาพดีแน่นอน

 

The post จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อกินไข่ต้มทุกวันติดต่อกัน 1 เดือน appeared first on THE STANDARD.

]]>
8 เคล็ดลับแก้ปัญหาการนอน ตื่นและหลับอย่างไรให้มีคุณภาพ https://thestandard.co/life/sleep-tips-quality-rest Wed, 22 Jan 2025 00:00:18 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1032187 sleep-tips-quality-rest

การนอนหลับอย่างมีคุณภาพช่วยให้เราสุขภาพดีอย่างไม่น่าเชื […]

The post 8 เคล็ดลับแก้ปัญหาการนอน ตื่นและหลับอย่างไรให้มีคุณภาพ appeared first on THE STANDARD.

]]>
sleep-tips-quality-rest

การนอนหลับอย่างมีคุณภาพช่วยให้เราสุขภาพดีอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ว่าจะช่วยลดความเครียด ช่วยให้กล้ามเนื้อทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระบบเผาผลาญและการเต้นของหัวใจทำงานได้ดี ฯลฯ แต่ในสภาวะที่บ้านเมืองเต็มไปด้วยความเครียด ฝุ่นควัน มลภาวะ และกิจกรรมอันแสนวุ่นวาย การนอนหลับให้สนิทตลอดคืนจึงเป็นเรื่องยาก บางคนปวดแขน ปวดบ่า มีอาการตึงเครียดตามร่างกาย ลองนำเคล็ดลับเหล่านี้ไปใช้ดู รับรองว่าการนอนของคุณจะมีคุณภาพและยาวนานขึ้นกว่าเดิม

 

ปวดไหล่  ปวดหลัง  ปวดคอ

นอนไม่หลับ

งัวเงีย ไม่ยอมตื่น

กรดไหลย้อน

นอนกรน

ปวดขา

 

ภาพประกอบ: ฉัตรชัย เฉยชิต

 

อ้างอิง:

   

The post 8 เคล็ดลับแก้ปัญหาการนอน ตื่นและหลับอย่างไรให้มีคุณภาพ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ใจยังไม่พร้อมออกกำลังกาย? เริ่มจากการนั่งขำวันละ 15 นาทีก็ได้นะ https://thestandard.co/life/15-min-laughter-daily-exercise Tue, 21 Jan 2025 10:45:09 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1032783

“รู้…แต่มันทำไม่ได้” แม้เราจะรู้ว่าการออกกำลังกายให้ประ […]

The post ใจยังไม่พร้อมออกกำลังกาย? เริ่มจากการนั่งขำวันละ 15 นาทีก็ได้นะ appeared first on THE STANDARD.

]]>

“รู้…แต่มันทำไม่ได้” แม้เราจะรู้ว่าการออกกำลังกายให้ประโยชน์ดีแสนดีต่อร่างกายแค่ไหน แต่หัวใจเราก็ยังไม่พร้อมอยู่ดี หากคุณกำลังรู้สึกแบบนี้อยู่ เราขอตบบ่าด้วยความเข้าใจ การฝืนใจทำในสิ่งที่ไม่ใช่ทางมักเป็นเรื่องที่ท้าทายเสมอ

 

ถ้าการลุกขึ้นมาขยับเขยื้อนตัวรีดเหงื่อดูจะยากเกินไปในช่วงแรก ลองเริ่มจากการหัวเราะวันละ 15 นาทีดูก่อนก็ได้นะ ฟังดูอาจเป็นเรื่องน่าขัน แต่วิธีนี้ช่วยเบิร์นแคลอรีได้!

 

ผลวิจัยจากมหาวิทยาลัย Vanderbilt University เผยว่า การหัวเราะสามารถเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจได้ 10-20% และการหัวเราะ 15 นาทีต่อวัน ยังสามารถเบิร์นได้ถึง 40 แคลอรี ฟังดูอาจจะน้อย แต่ก็ยังดีกว่ากิน นอน ไม่ทำอะไรเลย จริงไหม

 

นอกจากนี้ การหัวเราะยังเป็นยาวิเศษชั้นดีที่ทำให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน (Endorphin) สารที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสารแห่งความสุข ช่วยในการลดระดับความเครียด เสริมภูมิคุ้มกันร่างกาย แถมยังมีส่วนช่วยในการควบคุมน้ำหนักอีกด้วย 

 

เห็นได้ชัดว่าการหัวเราะถือเป็นวิธีง่ายๆ ที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพกายและใจที่ดีอย่างยิ่งเลยทีเดียว 

 

อย่างไรก็ตาม ต้องไม่ลืมว่าการออกกำลังกายยังคงเป็นสิ่งที่ดีต่อร่างกายเสมอ ไม่ต้องรีบกดดันตัวเอง ไม่ต้องแข่งกับคนอื่น แค่ได้ลองขยับตัวให้มากขึ้นทีละนิด จาก 5 นาที เป็น 10 นาที จาก 10 นาที เป็น 15 นาที ทำเป็นประจำ แค่นี้ร่างกายคุณก็แข็งแรงขึ้นกว่าเมื่อวานแล้ว 

 

ภาพ: Getty Images

อ้างอิง:

The post ใจยังไม่พร้อมออกกำลังกาย? เริ่มจากการนั่งขำวันละ 15 นาทีก็ได้นะ appeared first on THE STANDARD.

]]>
21 มกราคม เป็นวันกอดสากล อย่าลืมไปกอดคนที่คุณรัก https://thestandard.co/life/21-jan-national-hug-day Tue, 21 Jan 2025 09:51:42 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1032721 วันกอดสากล

ย้อนกลับไปในปี 1986 เควิน ซาบอร์นีย์ ได้ริเริ่มให้วันที […]

The post 21 มกราคม เป็นวันกอดสากล อย่าลืมไปกอดคนที่คุณรัก appeared first on THE STANDARD.

]]>
วันกอดสากล

ย้อนกลับไปในปี 1986 เควิน ซาบอร์นีย์ ได้ริเริ่มให้วันที่ 21 มกราคมของทุกปีเป็น ‘วันกอดสากล’ หรือ ‘National Hug Day’ เพราะเขาเชื่อว่าบางครั้งคำพูดก็ไม่จำเป็น ใช้แค่อ้อมกอดที่เป็นดั่งภาษากายอันทรงพลังก็สามารถเยียวยาใจกันได้แล้ว

 

วันนี้ (21 มกราคม) ตรงกับวันกอดสากล (National Hug Day) THE STANDARD LIFE จึงอยากชวนผู้อ่านมาลองทบทวนดูว่าวันนี้คุณกอดใครแล้วหรือยัง? ได้กอดแม่ตอนออกจากบ้านไหม ได้กอดปลอบใจเพื่อนที่กำลังเครียดเรื่องงานอยู่หรือเปล่า? หรือการกอดคนรักก่อนออกเดินทางไปทำหน้าที่ของใครของมัน รู้ไหมว่าทุกอ้อมกอดล้วนมีความหมาย และบางครั้งก็เป็นยาใจที่ดีที่สุดโดยที่เราไม่รู้ตัว

 


 

ต่อให้เป็นคนที่ไม่กล้าแสดงออก ขี้อาย และไม่ได้กอดใครในครอบครัวบ่อยๆ อยากให้ลองเริ่มดูสักครั้ง แรกๆ อาจจะเขินๆ หน่อย แต่เชื่อเถอะว่าคนที่ได้รับอ้อมกอดสุดพิเศษนี้จะสัมผัสได้ถึงพลังบวกที่ฮีลใจ และขยายพื้นที่ของความสุขในใจให้มากขึ้น ให้การกอดกลายเป็นเครื่องมือเยียวยาจิตใจที่ทรงพลัง งานวิจัยหลายชิ้นยืนยันว่าการกอดช่วยลดความเครียด เพิ่มความสุข และสร้างความรู้สึกปลอดภัย เพราะเมื่อเรากอดกัน ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุขอย่างออกซิโทซินออกมา นอกจากนี้ยังช่วยลดระดับฮอร์โมนความเครียดอย่างคอร์ติซอล ส่งผลให้หัวใจเต้นช้าลง ความดันโลหิตลดลง และรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น

 

วันนี้ลองมอบอ้อมกอดให้ใครสักคน อาจเป็นแม่ที่เหนื่อยจากการทำงาน เพื่อนที่กำลังท้อ หรือแม้แต่ตัวเองในวันที่รู้สึกโดดเดี่ยว หรือกอดหมาแมวที่คุณรัก เพราะบางทีแค่กอดเดียวก็อาจเปลี่ยนวันธรรมดาๆ ให้กลายเป็นวันที่อบอุ่นและมีความหมายได้มากกว่าที่คิด

 

และรู้ไหมว่าคุณไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงวันกอดสากลถึงจะกอดใครได้ ทุกวันคือโอกาสที่จะส่งต่อความรักและความอบอุ่นผ่านอ้อมกอด เพราะบางครั้งการเยียวยาที่ดีที่สุดก็อยู่ในอ้อมกอดที่จริงใจเพียงกอดเดียวนั่นเอง

 

ย้อนกลับไปในปี 1986 เควิน ซาบอร์นีย์ ได้ริเริ่มให้วันที่ 21 มกราคมของทุกปีเป็น ‘วันกอดสากล’ หรือ ‘National Hug Day’ เพราะเขาเชื่อว่าอ้อมกอดเป็นภาษากายอันทรงพลังที่สามารถเยียวยาใจกันได้

 


 

วันนี้คุณกอดใครแล้วหรือยัง ได้กอดแม่ตอนออกจากบ้านไหม ได้กอดปลอบใจเพื่อนที่กำลังเครียดเรื่องงานอยู่หรือเปล่า

 


 

ต่อให้เป็นคนที่ไม่กล้าแสดงออก ขี้อาย และไม่ได้กอดใครในครอบครัวบ่อยๆ อยากให้ลองเริ่มดูสักครั้ง แรกๆ อาจจะเขินๆ หน่อย แต่คนที่ถูกกอดจะมีความสุขแน่นอน

 


 

ให้การกอดกลายเป็นเครื่องมือเยียวยาจิตใจที่ทรงพลัง งานวิจัยหลายชิ้นยืนยันว่าการกอดช่วยลดความเครียด เพิ่มความสุข และสร้างความรู้สึกปลอดภัย

 


 

เมื่อเรากอดกัน ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุขอย่างออกซิโทซินออกมา นอกจากนี้ยังช่วยลดระดับคอร์ติซอลซึ่งเป็นฮอร์โมนความเครียดไปในตัว

 


 

ส่งผลให้หัวใจเต้นช้าลง ความดันโลหิตลดลง และรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น

 


 

วันนี้ลองมอบอ้อมกอดให้ใครสักคน อาจเป็นแม่ที่เหนื่อยจากการทำงาน เพื่อนที่กำลังท้อ หรือแม้แต่ตัวเองในวันที่รู้สึกโดดเดี่ยว หรือกอดหมาแมวที่คุณรัก

 


 

รู้ไหมว่าทุกอ้อมกอดล้วนมีความหมาย คุณไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงวันกอดสากลถึงจะกอดใครได้ เพราะทุกวันคุณส่งต่อความรักและความอบอุ่นผ่านอ้อมกอดได้เลยทันที

The post 21 มกราคม เป็นวันกอดสากล อย่าลืมไปกอดคนที่คุณรัก appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชวนรู้จัก Orveda แบรนด์ที่ดูแลผิวด้วย French-Biotech สุดล้ำ https://thestandard.co/life/orveda-french-biotech Mon, 20 Jan 2025 05:13:46 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1032084 Orveda

Orveda เปิดตัว Le Studio แห่งแรกในไทยที่โรงแรม W Bangko […]

The post ชวนรู้จัก Orveda แบรนด์ที่ดูแลผิวด้วย French-Biotech สุดล้ำ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Orveda

Orveda เปิดตัว Le Studio แห่งแรกในไทยที่โรงแรม W Bangkok ยกระดับประสบการณ์ดูแลผิวด้วย French-Biotech สุดล้ำ พร้อมทรีตเมนต์เฉพาะบุคคลเพื่อผิวสุขภาพดีอย่างยั่งยืน ภายใต้แนวคิด ‘Works with your skin, not against it™’ หากคุณยังไม่รู้จัก นี่คือแบรนด์สกินแคร์ระดับพรีเมียมที่การันตีด้วยรางวัลความงามระดับโลก และได้รับการแนะนำจากศัลยแพทย์และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านความงาม โดดเด่นด้วยการผสานเทคโนโลยีชีวภาพล้ำสมัยจากฝรั่งเศส ที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างสุขภาพผิวอย่างยั่งยืนแทนการใช้สารที่รุนแรงเพื่อผลลัพธ์เร่งด่วน มาพร้อม Signature Complex ที่ทำงานลึกถึง 3 ระดับของระบบนิเวศผิว ด้วยพลังของพรีไบโอติกจากงานวิจัยกว่า 30 ปี เอนไซม์จากทะเลที่เพิ่มการสร้างเซราไมด์ได้ถึงสองเท่า และคอมบูชาสกัดจากชาดำหมักชีวภาพ THE STANDARD LIFE จะพาทุกคนไปรู้จักกับแบรนด์นี้ให้มากขึ้น

 

 

What is it?

Orveda แบรนด์สกินแคร์ระดับพรีเมียมที่โดดเด่นด้วย French-Biotech จากประเทศฝรั่งเศส ก่อตั้งขึ้นในปี 2017 โดย Sue Nabi และ Nicolas Vu ด้วยวิสัยทัศน์ในการปฏิวัติวงการดูแลผิว ผ่านการผสานเทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์และส่วนผสมจากธรรมชาติ เพื่อเสริมสร้างสุขภาพผิวอย่างยั่งยืน

 

ล่าสุด Orveda ได้เปิดตัว Le Studio แห่งแรกในประเทศไทยอย่างเป็นทางการที่ The House on Sathorn โรงแรม W Bangkok นำเสนอทรีตเมนต์เฉพาะบุคคลที่ผสานความเชี่ยวชาญด้านการดูแลผิวและเทคโนโลยีล้ำสมัย

 

 

 

The Ingredients & Products

หัวใจสำคัญของผลิตภัณฑ์ Orveda คือ Signature Complex ที่ทำงานลึกถึง 3 ระดับของระบบนิเวศผิว ประกอบด้วยส่วนผสมหลัก 3 ชนิด

 

  • พรีไบโอติก จากงานวิจัยไมโครไบโอมกว่า 30 ปี ช่วยบำรุงแบคทีเรียชนิดดีในผิว
  • เอนไซม์จากทะเล ช่วยเพิ่มการสร้างเซราไมด์ได้ถึงสองเท่าภายใน 7 วัน
  • คอมบูชา สกัดจากชาดำหมักชีวภาพ ช่วยชะลอวัยและเพิ่มความยืดหยุ่นผิว

 

ผลิตภัณฑ์เด่นของแบรนด์คือ Omnipotent Concentrate เซรั่มแรกของโลกที่ดูแลผิวครบทุกมิติ ทั้งการชะลออายุ บำรุงลึก และเพิ่มความกระจ่างใส

 

 

The Sustainability Efforts

Orveda มุ่งมั่นสร้างมาตรฐานใหม่ให้วงการสกินแคร์ด้วยผลิตภัณฑ์ที่สะอาด ปลอดภัย และปราศจากส่วนผสมจากสัตว์ (Vegan Skincare) ภายใต้แนวคิด ‘Works with your skin, not against it™’ ที่เน้นการทำงานร่วมกับผิวอย่างอ่อนโยน แทนการใช้สารที่รุนแรงเพื่อผลลัพธ์เร่งด่วน

 

 

 

What’s Next?

Le Studio by Orveda พร้อมมอบประสบการณ์การดูแลผิวระดับพรีเมียม ด้วยทรีตเมนต์เฉพาะบุคคล 3 รูปแบบ โดยผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการรับรองจาก Orveda พร้อมสิทธิพิเศษในการใช้บริการสิ่งอำนวยความสะดวกของโรงแรม W Bangkok ทั้งฟิตเนส ซาวน่า และสระว่ายน้ำ เพื่อการผ่อนคลายที่ครบครัน

 

 

ภาพ: Courtesy of Orveda

The post ชวนรู้จัก Orveda แบรนด์ที่ดูแลผิวด้วย French-Biotech สุดล้ำ appeared first on THE STANDARD.

]]>