LIFE | BODY & MIND – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Wed, 25 Dec 2024 01:34:39 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ควรตั้งคำถามกับตัวเองอย่างไรก่อนสิ้นปี 2024? https://thestandard.co/life/self-reflection-questions-end-2024 Wed, 25 Dec 2024 01:34:39 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1023485 self-reflection-questions-end-2024

ก่อนจะเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านของปี หลายคนมักจ […]

The post ควรตั้งคำถามกับตัวเองอย่างไรก่อนสิ้นปี 2024? appeared first on THE STANDARD.

]]>
self-reflection-questions-end-2024

ก่อนจะเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านของปี หลายคนมักจะนั่งทบทวนตัวเองว่าปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง แต่รู้หรือไม่ว่าการตั้งคำถามกับตัวเองแบบไร้ทิศทางอาจทำให้เราหลงทางในการพัฒนาตัวเองได้ ศ. ดร.แครอล ดเว็ค จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ผู้เขียนหนังสือ Mindset: The New Psychology of Success เสนอแนวคิดที่น่าสนใจว่า การตั้งคำถามที่ถูกต้องจะนำไปสู่ Growth Mindset หรือกรอบความคิดแบบเติบโต ที่จะช่วยให้เราพัฒนาตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ มาดูกันว่าเราควรถามอะไรกับตัวเองบ้าง…

 

สิ่งที่เราควรถามตัวเองก่อนสิ้นปี 2024 มีดังนี้



“ฉันได้เรียนรู้อะไรจากความผิดพลาดบ้าง?”
การเรียนรู้จากความผิดพลาดเป็นสิ่งที่ดีมากๆ แทนที่จะถามตัวเองว่า “ทำไมฉันถึงล้มเหลว?” ลองเปลี่ยนมาเป็น “ฉันได้เรียนรู้อะไรจากความผิดพลาดบ้าง?” ดร.คริสติน เนฟฟ์ ผู้เชี่ยวชาญด้าน Self-Compassion จากมหาวิทยาลัยรัฐเท็กซัส อธิบายว่า คำถามแบบนี้จะทำให้สมองของเราติดอยู่ในวงจรความคิดลบ เหมือนเราเปิดเพลงเศร้าซ้ำไปซ้ำมา จนทำให้อารมณ์แย่ลงเรื่อยๆ แต่ถ้าเราเปลี่ยนเป็น “ฉันได้เรียนรู้อะไรจากความผิดพลาดบ้าง?” จะเหมือนเราเปิดประตูให้สมองได้คิดต่อ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราเคยตั้งเป้าออมเงิน 100,000 บาท แต่ทำได้แค่ 50,000 บาท แทนที่จะโทษตัวเองว่าใช้เงินฟุ่มเฟือยจนทำให้การออมเงินไม่สำเร็จ ลองถามว่า “เดือนไหนที่ฉันออมเงินได้ดีที่สุด และทำไมถึงทำได้?”

 

 

“ใครคือคนที่สร้างแรงบันดาลใจให้ฉันในปีนี้?”

การศึกษาจาก Harvard Business Review พบว่า คนที่มี Role Model หรือแบบอย่างที่ดี มีโอกาสประสบความสำเร็จในเป้าหมายสูงขึ้นถึง 45% เพราะฉะนั้นลองนึกถึงเพื่อนที่ชวนคุณไปวิ่งทุกเช้าวันอาทิตย์ หรือหัวหน้าคนเก่งที่สอนงานคุณอย่างชาญฉลาด พวกเขาทำให้คุณเป็นคนที่ดีขึ้นอย่างไรบ้าง?

 

 

“ฉันทำอะไรที่ท้าทายตัวเองบ้าง?”

การออกจาก Comfort Zone คือกุญแจสำคัญของการเติบโต ลองนึกดู ปีนี้คุณกล้าพรีเซนต์งานเป็นภาษาอังกฤษครั้งแรก? เริ่มเรียนเต้นที่เคยกลัวว่าจะเขิน? หรือกล้าบอกรักใครสักคน? สิ่งเหล่านี้คือความกล้าที่ทำให้คุณแข็งแกร่งขึ้น เมื่อเราท้าทายตัวเอง สมองจะหลั่งสารโดพามีน ซึ่งไม่เพียงทำให้เรารู้สึกดี แต่ยังช่วยเพิ่มความสามารถในการเรียนรู้และจดจำ ดังนั้นทำสิ่งที่คุณคิดว่าทำไม่ได้ทุกวันกันเถอะ 

 

 

“อะไรคือสิ่งที่ฉันภูมิใจที่สุดในปีนี้?”

ศ.ซอนย่า ลูโบมีร์สกี นักจิตวิทยา จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย พบว่า การจดจำความสำเร็จแม้เพียงเล็กน้อย จะช่วยเพิ่มความมั่นใจและความสุขในชีวิต บางทีมันอาจเป็นแค่การที่คุณเริ่มทำอาหารกินเองแทนสั่งเดลิเวอรี หรือกล้าปฏิเสธงานที่ไม่ใช่หน้าที่ของตัวเอง การเป็นตัวแทนของทีมในการพูดสรุปผลงานของทีม หรือแม้แต่การหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพด้วยการนอนให้เป็นเวลามากขึ้น สิ่งเหล่านี้ล้วนมีค่าและน่าภูมิใจทั้งนั้น

 

 

“ฉันจะทำให้ปีหน้าแตกต่างจากปีนี้อย่างไร?”

แต่ระวัง! อย่าเพิ่งรีบตั้งเป้าหมายใหญ่โต ดร.บีเจ ฟ็อกก์ ผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด แนะนำให้เริ่มจากสิ่งเล็กๆ ที่ทำได้จริง เช่น แทนที่จะบอกว่า “ฉันจะออกกำลังกายทุกวัน” ลองเปลี่ยนเป็น “ฉันจะเริ่มด้วยการวิ่งเบาๆ 10 นาทีตอนเช้าวันจันทร์และพุธ” จำไว้ว่าการตั้งคำถามกับตัวเองไม่ใช่การไต่สวนหรือตำหนิ แต่เป็นการสำรวจเพื่อเข้าใจและพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น เหมือนที่โสกราตีสเคยกล่าวไว้ว่า “ชีวิตที่ไม่ได้ตั้งคำถาม คือชีวิตที่ใช้ได้ไม่คุ้มค่าเลย”

 

 

“ทำไมการตั้งคำถามกับตัวเองมีความสำคัญ?”

“ฉันได้เรียนรู้อะไรจากความผิดพลาดบ้าง?”

“ใครคือคนที่สร้างแรงบันดาลใจให้ฉันในปีนี้?”

“ฉันทำอะไรที่ท้าทายตัวเองบ้าง?”

“อะไรคือสิ่งที่ฉันภูมิใจที่สุดในปีนี้?”

“ฉันจะทำให้ปีหน้าแตกต่างจากปีนี้อย่างไร?”

 

ภาพประกอบ: พิชามญชุ์ วรรณสาร

The post ควรตั้งคำถามกับตัวเองอย่างไรก่อนสิ้นปี 2024? appeared first on THE STANDARD.

]]>
Walking Benefits เดินแล้วได้อะไร? https://thestandard.co/life/walking-benefits Tue, 24 Dec 2024 05:11:22 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1022927 Walking Benefits

เทรนด์สุขภาพกำลังมาแรง ผู้คนมองหาวิธีที่ทำให้สุขภาพของต […]

The post Walking Benefits เดินแล้วได้อะไร? appeared first on THE STANDARD.

]]>
Walking Benefits

เทรนด์สุขภาพกำลังมาแรง ผู้คนมองหาวิธีที่ทำให้สุขภาพของตัวเองดีขึ้น สำหรับคนที่อยากเริ่มทำได้เลย การเดินคือคำตอบที่ลงตัวที่สุด ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หัดออกกำลังกาย คนทำงานที่มีเวลาจำกัด หรือผู้ที่ต้องการปรับไลฟ์สไตล์ให้เฮลตี้ขึ้น การเดินคือจุดเริ่มต้นที่เวิร์กสุดๆ

 

จากผลการวิจัยต่างๆ ล้วนพบว่าการเดินไม่เพียงแต่เป็นการออกกำลังกายที่ปลอดภัยและทำได้ทุกเพศทุกวัย แต่ยังเป็นกิจกรรมที่สร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับร่างกายตั้งแต่วินาทีแรกที่ก้าวเท้า ไม่ว่าจะเป็นการกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต การเผาผลาญพลังงาน การลดความเครียด ไปจนถึงการสร้างสมดุลให้ฮอร์โมนในร่างกาย

 

ที่สำคัญการเดินยังเป็นกิจกรรมที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์คนเมืองอย่างแท้จริง คุณสามารถผสมผสานเข้ากับกิจวัตรประจำวันได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นการเดินระหว่างรอรถไฟฟ้า การเดินในห้างสรรพสินค้า หรือการเดินในสวนสาธารณะหลังเลิกงาน ทุกก้าวล้วนมีคุณค่าและสร้างผลลัพธ์ที่ดีให้กับสุขภาพของคุณ

 

มาดูกันว่าการเดินในแต่ละช่วงเวลาสร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรให้กับร่างกายของเราบ้าง และทำไมการเดินจึงได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในวิธีการออกกำลังกายที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดในปัจจุบัน

 

นาทีที่ 1 เลือดเริ่มสูบฉีดดีขึ้นทันที ร่างกายตื่นตัว

 

เมื่อคุณเริ่มก้าวเดินในนาทีแรก กล้ามเนื้อทั่วร่างกายจะเริ่มทำงานทันที โดยเฉพาะกล้ามเนื้อขา สะโพก และแกนกลางลำตัว การเคลื่อนไหวนี้ทำให้หัวใจเต้นแรงขึ้นเล็กน้อย ส่งผลให้เลือดถูกสูบฉีดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ดีขึ้น หลอดเลือดจะขยายตัว ทำให้ออกซิเจนและสารอาหารถูกลำเลียงไปยังเซลล์ต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในสมองและกล้ามเนื้อที่กำลังทำงาน

 

นาทีที่ 5 อารมณ์ดีขึ้นจนรู้สึกได้

 

เมื่อเดินต่อเนื่องถึง 5 นาที สมองเริ่มหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุขตามธรรมชาติ ร่วมกับการเพิ่มขึ้นของสารเซโรโทนิน ส่งผลให้อารมณ์ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ความตึงเครียดในกล้ามเนื้อเริ่มผ่อนคลาย การหายใจที่สม่ำเสมอขณะเดินยังช่วยให้จิตใจสงบและมีสมาธิมากขึ้น นอกจากนี้ การได้เปลี่ยนบรรยากาศ โดยเฉพาะการเดินในที่โล่ง ยังช่วยให้รู้สึกสดชื่นและมีพลังงานเพิ่มขึ้น

 

นาทีที่ 10 ระดับคอร์ติซอล ฮอร์โมนแห่งความเครียดลดลง

 

ที่ 10 นาที ระดับคอร์ติซอลหรือฮอร์โมนความเครียดในร่างกายเริ่มลดลงอย่างมีนัยสำคัญ การเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทพาราซิมพาเทติก ซึ่งช่วยให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะผ่อนคลาย ความดันโลหิตเริ่มปรับสู่ระดับที่เหมาะสม การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น และยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคที่เกี่ยวข้องกับความเครียด เช่น โรคหัวใจ และความดันโลหิตสูง

 

นาทีที่ 15 น้ำตาลในเลือดเริ่มลดลง

 

การเดินต่อเนื่องถึง 15 นาที ร่างกายเริ่มใช้น้ำตาลในเลือดเป็นพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ กล้ามเนื้อที่ทำงานจะดึงกลูโคสจากกระแสเลือดไปใช้มากขึ้น ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มความไวต่ออินซูลิน ทำให้เซลล์สามารถนำน้ำตาลไปใช้ได้ดีขึ้น เป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ที่เป็นเบาหวานหรือผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน

 

นาทีที่ 30 ร่างกายเริ่มเข้าสู่โหมดเผาผลาญไขมัน

 

ที่ 30 นาที ร่างกายเริ่มเข้าสู่ช่วงการเผาผลาญไขมันอย่างจริงจัง เมื่อแหล่งพลังงานจากคาร์โบไฮเดรตถูกใช้ไปในระดับหนึ่ง ร่างกายจะเริ่มดึงไขมันสะสมมาใช้เป็นพลังงาน กระบวนการนี้ไม่เพียงช่วยในการควบคุมน้ำหนัก แต่ยังช่วยปรับสมดุลของเมตาบอลิซึมในร่างกาย เพิ่มการเผาผลาญพลังงานแม้ในยามพัก และช่วยลดไขมันในช่องท้อง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจและเบาหวาน

 

นาทีที่ 45 สมองเข้าสู่ภาวะมีสมาธิ

 

เมื่อเดินต่อเนื่องถึง 45 นาที สมองเข้าสู่สภาวะที่เรียกว่า Walking Meditation โดยธรรมชาติ จังหวะการเดินที่สม่ำเสมอช่วยให้จิตใจจดจ่อกับปัจจุบันขณะ ลดความคิดฟุ้งซ่าน วิตกกังวล และความเครียดสะสม การหลั่งสารสื่อประสาทที่เกี่ยวข้องกับการผ่อนคลายเพิ่มขึ้น ทำให้มีสมาธิดีขึ้น มองเห็นทางออกของปัญหาชัดเจนขึ้น และช่วยในการตัดสินใจได้ดีขึ้น

 

นาทีที่ 60 สมองหลั่งโดพามีน ทำให้รู้สึกความสุข

 

ครบ 1 ชั่วโมงของการเดิน เป็นจุดที่ร่างกายหลั่งโดพามีนในปริมาณที่สูงขึ้นอย่างชัดเจน โดพามีนเป็นสารสื่อประสาทที่เกี่ยวข้องกับระบบรางวัลในสมอง ทำให้รู้สึกมีความสุข กระตือรือร้น และมีแรงจูงใจ นอกจากนี้ยังช่วยปรับปรุงการทำงานของระบบประสาท เพิ่มความจำ และความสามารถในการเรียนรู้ การเดินต่อเนื่องถึง 1 ชั่วโมงยังช่วยสร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อและกระดูก เพิ่มความทนทานของร่างกาย และช่วยให้การทรงตัวดีขึ้น

The post Walking Benefits เดินแล้วได้อะไร? appeared first on THE STANDARD.

]]>
สำรวจ 7 เทรนด์ความงามที่อาจมาแรงแห่งปี 2025 https://thestandard.co/life/future-beauty-trends-in-2025 Mon, 23 Dec 2024 08:07:15 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1022558

ถ้าให้สรุปเกี่ยวกับเทรนด์สกินแคร์ตลอดปี 2024 ต้องบอกว่า […]

The post สำรวจ 7 เทรนด์ความงามที่อาจมาแรงแห่งปี 2025 appeared first on THE STANDARD.

]]>

ถ้าให้สรุปเกี่ยวกับเทรนด์สกินแคร์ตลอดปี 2024 ต้องบอกว่าค่อนข้างเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน แม้ที่ผ่านมาจะมีกระแสของครีมฟื้นฟูผิวดังๆ มากมายในเชิงเสริมเกราะป้องกันผิว (Barrier Cream) และอุปกรณ์ดูแลผิวสำหรับใช้ที่บ้านซึ่งมาแรง แต่โดยรวมแล้วก็ยังไม่มีอะไรที่สั่นสะเทือนวงการความงามมากนัก

 

แต่ปี 2025 เราคาดว่าจะแตกต่างออกไป เพราะจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวิธีการดูแลและพูดคุยเกี่ยวกับผิวหน้าและร่างกายของเรา มาดูกันว่าอะไรกำลังจะ ‘อิน’ และอะไรกำลังจะ ‘เอาต์’ ในปีหน้าที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่วันนี้

 


 

สิ่งที่กำลังจะ ‘เอาต์’ ในปี 2025

 

1. การฉีดฟิลเลอร์จนเกินงาม หากสังเกตจากกระแสในปี 2024 จะพบว่าไม่ใช่ปีทองของการฉีดสารเติมเต็มในแง่ของผลลัพธ์ที่แนบเนียน โดยเฉพาะหลังจากมีกระแส ‘การเคลื่อนที่ของฟิลเลอร์ที่ไม่ได้รูปทรง’ และ ‘การสลายฟิลเลอร์’ ที่ระบาดใน TikTok ซึ่ง David Shafer ศัลยแพทย์ตกแต่ง ออกมาให้ความเห็นว่า “ถ้าเห็นชัดว่ามีการฉีดฟิลเลอร์นั่นหมายถึงงานที่ไม่ดี” ปี 2025 จะเป็นปีแห่งความพอดีในการเสริมความงาม จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่ดูเกินจริงอีกต่อไป เพราะนวัตกรรมฟีลเลอร์จะล้ำและแนบเนียนยิ่งขึ้น

 

2. การใช้สกินแคร์มากเกินจำเป็น ต้องยอมรับว่าไม่มีใครจำเป็นต้องใช้สกินแคร์ถึง 12 ขั้นตอนตามเทรนด์เดิมๆ ที่เป็นกระแส Heather Rogers แนะนำว่า ผู้คนยุคใหม่กำลังมองหาความเรียบง่ายในการดูแลผิว เน้นเลือกผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการในระยะยาวมากกว่าการตามกระแส

 

3. การโฆษณาสกินแคร์เกินจริง สกินแคร์ที่ดีเป็นกุญแจสำคัญสู่ผิวที่เปล่งปลั่งและแข็งแรง แต่ไม่ได้หมายความว่าสกินแคร์เพียงอย่างเดียวจะทำให้คุณมีการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกโฉม เซเลบริตี้และศัลยแพทย์เริ่มเปิดเผยมากขึ้นว่า ใบหน้าที่สมบูรณ์แบบนั้นต้องพึ่งพาการรักษาแบบมืออาชีพหลากหลายวิธี รวมถึงการเข้าคลินิกเสริมความงามด้วย

 

สิ่งที่กำลังจะ ‘อิน’ ในปี 2025

 

1. ความโปร่งใสเรื่องศัลยกรรม ปี 2025 จะเป็นปีที่ทุกคนเปิดเผยเรื่องศัลยกรรมมากขึ้น ผู้บริโภคจะเข้าใจแล้วว่าลำพังสกินแคร์อย่างเดียวไม่อาจเปลี่ยนแปลงใบหน้าได้ทุกมิติ จำเป็นต้องพึ่งพาการรักษาแบบมืออาชีพหลากหลายวิธี และการพูดคุยเรื่องความงามไม่ใช่เรื่องต้องห้ามอีกต่อไป

 

2. การสะสมคอลลาเจนจะกลายเป็นเทรนด์หลักในวงการความงาม ทั้งการทำทรีตเมนต์กระตุ้นคอลลาเจนอย่าง Morpheus8 และ Emface รวมถึงการใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของเปปไทด์ เพื่อเตรียมผิวให้พร้อมสำหรับอนาคต

 

3. สกินแคร์จาก DNA แซลมอน เตรียมทำความรู้จักกับ PDRN (Polydeoxyribonucleotide) สารสกัดจาก DNA แซลมอน โดยแบรนด์ REJURAN กำลังเป็นที่จับตามอง ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ช่วยปรับปรุงความยืดหยุ่นของผิว เพิ่มความชุ่มชื้น และลดริ้วรอย

 

4. การยกระดับการดูแลผิวกาย การดูแลผิวกายจะได้รับความสนใจมากขึ้นในปี 2025 โดยเฉพาะจากแบรนด์ใหม่ๆ ที่นำเสนอผลิตภัณฑ์ในบรรจุภัณฑ์สวยงาม มีส่วนผสมจากธรรมชาติ และกลิ่นหอม ที่ช่วยให้การอาบน้ำเป็นช่วงเวลาที่พิเศษมากขึ้น

 

5. ผลิตภัณฑ์กันแดดจะถูกยกระดับ โดยสูตรกันแดดในปี 2025 จะพัฒนาให้เนื้อสัมผัสบางเบา ใช้งานง่าย และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งตอนนี้แบรนด์ต่างๆ กำลังพัฒนาเนื้อสัมผัสให้เหมือนเซรั่มและมอยส์เจอไรเซอร์มากขึ้น นอกจากนี้จะมีกันแดดเฉดสีที่หลากหลายขึ้นสำหรับผู้มีสีผิวเข้ม รวมถึงสูตรไฮบริดที่ผสมผสานการปกปิดและการป้องกันแสงแดดเข้าด้วยกัน

 

6. นวัตกรรม Exosome ที่ยังคงเป็นที่ถกเถียง Exosome หรืออนุภาคนาโนที่ปล่อยออกมาจากเซลล์ในร่างกายมนุษย์ กำลังได้รับความสนใจอย่างมากในวงการความงาม แม้จะยังไม่มีผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองจาก FDA แต่คาดว่าจะมีผลิตภัณฑ์ที่ได้แรงบันดาลใจจาก Exosome วางจำหน่ายในปี 2025 อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อถกเถียงเกี่ยวกับความปลอดภัยและประสิทธิภาพของ Exosome โดย Corey L. Hartman เผยว่า “ยังมีประเด็นที่ต้องพิจารณาอีกมากเกี่ยวกับการใช้ Exosome ก่อนที่ผู้คนจะรู้สึกสบายใจที่จะใช้” นอกจากนี้ Ava Perkins นักเคมีเครื่องสำอาง ยังแสดงความกังวลเกี่ยวกับจริยธรรมในการใช้ส่วนผสมที่มาจากมนุษย์ในผลิตภัณฑ์สกินแคร์ และยังต้องการหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อถือมากขึ้น

 

7. วงการความงามในปี 2025 จะเห็นการนำ AI มาใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้น โดยเฉพาะในด้านการวิเคราะห์สภาพผิวแบบเฉพาะบุคคล เช่น เทคโนโลยี AI-Powered Skin Analysis จะช่วยวิเคราะห์สภาพผิวได้แม่นยำมากขึ้น โดยสามารถระบุปัญหาผิว ประเมินความชุ่มชื้น วัดระดับความยืดหยุ่น และติดตามการเปลี่ยนแปลงของผิวได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังช่วยพัฒนาสูตรสกินแคร์ที่ตอบโจทย์ผิวของแต่ละบุคคล รวมถึงการติดตามและปรับปรุงผลลัพธ์ของผิวด้วย

 

ภาพ: Courtesy of Shutterstock 

The post สำรวจ 7 เทรนด์ความงามที่อาจมาแรงแห่งปี 2025 appeared first on THE STANDARD.

]]>
Laufásborg โรงเรียนอนุบาลที่เปลี่ยนโลก: สอนเด็กผู้หญิงให้เข้มแข็ง สอนเด็กผู้ชายให้อ่อนโยน https://thestandard.co/life/laufasborg-kindergarten-teaching-gender-equality Thu, 19 Dec 2024 05:33:33 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1021359 laufasborg

ในขณะที่หลายประเทศทั่วโลกยังคงดิ้นรนกับความไม่เท่าเทียม […]

The post Laufásborg โรงเรียนอนุบาลที่เปลี่ยนโลก: สอนเด็กผู้หญิงให้เข้มแข็ง สอนเด็กผู้ชายให้อ่อนโยน appeared first on THE STANDARD.

]]>
laufasborg

ในขณะที่หลายประเทศทั่วโลกยังคงดิ้นรนกับความไม่เท่าเทียมทางเพศ มีโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่งในเรคยาวิก (Reykjavík) เมืองหลวงของไอซ์แลนด์ ที่กำลังปฏิวัติการศึกษาปฐมวัยด้วยแนวคิดที่กล้าหาญ

 

Laufásborg คือชื่อของโรงเรียนอนุบาลที่มีวิธีการสอนแหวกแนว พวกเขาแยกเด็กชายและเด็กหญิงออกจากกันเกือบทั้งวัน แต่ไม่ใช่เพื่อตอกย้ำความแตกต่าง กลับกันคือเพื่อทลายกำแพงของการกำหนดบทบาททางเพศแบบดั้งเดิม 

 

ในห้องเรียนของเด็กผู้หญิง พวกเธอได้รับการสอนให้เป็นคนเข้มแข็ง เด็กๆ สนุกกับการใช้พลังทุ่มท่อนไม้แล้วตะโกนว่า “ฉันเป็นคนแข็งแกร่ง!” พวกเขาสอนให้เด็กผู้หญิงกล้าแสดงออก และไม่ต้องขอโทษโดยไม่จำเป็น ส่วนในห้องเรียนของเด็กผู้ชาย พวกเขาได้เรียนรู้ทักษะที่แตกต่างออกไป เช่น การดูแลเอาใจใส่ผู้อื่น การแสดงความชื่นชม และแม้กระทั่งการนวดเพื่อผ่อนคลาย วิธีการนี้มีเป้าหมายให้เด็กๆ ได้พัฒนาบุคลิกภาพโดยปราศจากกรอบความคิดเดิมๆ ที่สังคมมักกำหนดไว้

 

ความขัดแย้งระหว่างภาพลักษณ์ภายนอกที่ดูสมบูรณ์แบบของประเทศไอซ์แลนด์กับความจริงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง นำมาสู่คำถามที่น่าสนใจว่า อะไรคือรากเหง้าที่แท้จริงของปัญหาความไม่เท่าเทียมระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย และทำไมแม้แต่ประเทศที่ก้าวหน้าที่สุดในด้านนี้ก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างสมบูรณ์

 

ที่โรงเรียนอนุบาล Laufásborg ในกรุงเรคยาวิก พวกเขาเชื่อว่าพบคำตอบว่าการเปลี่ยนแปลงต้องเริ่มตั้งแต่วัย 2 ขวบ ก่อนที่กรอบความคิดเรื่องเพศแบบดั้งเดิมจะฝังรากลึกเกินกว่าจะแก้ไข นี่คือเรื่องราวของโรงเรียนที่กล้าท้าทายขนบธรรมเนียมการสอนเด็กด้วยความเชื่อที่ว่า หนทางสู่สังคมที่เท่าเทียมอย่างแท้จริง อาจเริ่มต้นได้จากห้องเรียนอนุบาล

 

“เราต้องเริ่มตั้งแต่อายุ 2 ขวบ” ครูท่านหนึ่งอธิบาย “เพราะนั่นคือช่วงที่เด็กๆ เริ่มสร้างความเข้าใจว่าการเป็นเด็กชายหรือเด็กหญิงหมายถึงอะไร หากเราไม่แทรกแซงตั้งแต่ตอนนี้ ความคิดแบบตายตัวเหล่านี้จะจำกัดพวกเขาไปอีกหลายปี” แนวคิดนี้กำลังได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันมีโรงเรียนที่ใช้วิธีการสอนแบบนี้ถึง 17 แห่งทั่วประเทศ และมีเด็กไอซ์แลนด์ 8% ที่ได้เข้าเรียนในโรงเรียนลักษณะนี้ ซึ่งตัวเลขกำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ

 

ความสำเร็จของ Laufásborg สะท้อนให้เห็นภาพใหญ่ของไอซ์แลนด์ ประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้นำด้านความเท่าเทียมทางเพศของโลก โดยเป็นประเทศเดียวที่สามารถปิดช่องว่างทางเพศได้มากกว่า 90% ทั้งในด้านการศึกษา การดูแลเด็ก และค่าตอบแทน

 

แต่เบื้องหลังภาพลักษณ์ ‘สวรรค์แห่งสตรีนิยม’ ไอซ์แลนด์ยังมีความท้าทายที่ซ่อนอยู่ โดยเฉพาะปัญหาความรุนแรงและการเลือกปฏิบัติในพื้นที่ส่วนตัว นี่คือจุดที่โรงเรียน Laufásborg กำลังพยายามแก้ไขปัญหาที่รากเหง้า ด้วยการปลูกฝังให้เด็กผู้ชายเรียนรู้เรื่องการดูแลเอาใจใส่และเคารพผู้อื่น ขณะที่สอนให้เด็กผู้หญิงมีความมั่นใจและกล้าแสดงออก ซึ่งจะช่วยสร้างผู้หญิงรุ่นใหม่ที่พร้อมลุกขึ้นปกป้องสิทธิของตนเอง

 

หากมองในมุมนี้ โรงเรียน Laufásborg ไม่ได้เป็นเพียงสถานศึกษา แต่เป็นห้องทดลองทางสังคมที่กำลังพยายามแก้ไขปัญหาความไม่เท่าเทียมตั้งแต่จุดเริ่มต้น แทนที่จะรอให้เด็กๆ เติบโตขึ้นมาพร้อมอคติและต้องมาแก้ไขในภายหลัง พวกเขาเลือกที่จะป้องกันไม่ให้อคติเหล่านั้นหยั่งรากตั้งแต่แรก 

 

แม้จะยังมีความท้าทายอีกมาก แต่โรงเรียนเล็กๆ แห่งนี้กำลังแสดงให้โลกเห็นว่า การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่สามารถเริ่มต้นได้จากจุดเล็กๆ และบางทีการสร้างโลกที่เท่าเทียมกว่าอาจต้องเริ่มจากห้องเรียนอนุบาลก็เป็นได้

 

อ้างอิง: 

The post Laufásborg โรงเรียนอนุบาลที่เปลี่ยนโลก: สอนเด็กผู้หญิงให้เข้มแข็ง สอนเด็กผู้ชายให้อ่อนโยน appeared first on THE STANDARD.

]]>
Life Lessons for 2025 ที่สุดของข้อคิดฮีลใจ https://thestandard.co/life/life-lessons-2025-healing-insights Wed, 18 Dec 2024 14:26:09 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1021153

ในทุกๆ ก้าวของปี 2024 แม้จะมีรอยแผลและความผิดพลาด แต่นั […]

The post Life Lessons for 2025 ที่สุดของข้อคิดฮีลใจ appeared first on THE STANDARD.

]]>

ในทุกๆ ก้าวของปี 2024 แม้จะมีรอยแผลและความผิดพลาด แต่นั่นคือบทเรียนล้ำค่าที่หล่อหลอมให้เราเข้มแข็งขึ้น การฮีลใจไม่ใช่เพียงแค่การเยียวยา แต่คือการเรียนรู้ที่จะรักและเข้าใจตัวเองอย่างลึกซึ้ง ทุกความล้มเหลวคือโอกาสที่จะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้งด้วยมุมมองที่ชัดเจนกว่าเดิม เส้นทางสู่การเป็นเวอร์ชันที่ดีที่สุดของตัวเองนั้นไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ แต่ต้องเต็มไปด้วยความเมตตาต่อตนเอง จงภูมิใจในทุกก้าวที่ผ่านมา และเชื่อมั่นว่าปีหน้าจะเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่จะได้เติบโตและพัฒนาตัวเองอย่างงดงาม เพราะคุณคู่ควรกับสิ่งที่ดีที่สุด

 

Life Lessons for 2025

Life Lessons for 2025

Life Lessons for 2025

Life Lessons for 2025

Life Lessons for 2025

Life Lessons for 2025

Life Lessons for 2025

Life Lessons for 2025

Life Lessons for 2025

Life Lessons for 2025

Life Lessons for 2025

Life Lessons for 2025

Life Lessons for 2025

Life Lessons for 2025

Life Lessons for 2025

Life Lessons for 2025

Life Lessons for 2025

Life Lessons for 2025

Life Lessons for 2025

Life Lessons for 2025

 

ภาพประกอบ: พิชามญชุ์ วรรณสาร

The post Life Lessons for 2025 ที่สุดของข้อคิดฮีลใจ appeared first on THE STANDARD.

]]>
สมการปรับแพสชันจากความท้อในวันนี้สู่ความสำเร็จในปีหน้า https://thestandard.co/life/discouragement-to-next-years-success-equation Wed, 18 Dec 2024 07:28:07 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1020991 ความสำเร็จ

ช่วงเวลาที่สดใสที่สุดของใครหลายคนมักเป็นวันแรกของปีใหม่ […]

The post สมการปรับแพสชันจากความท้อในวันนี้สู่ความสำเร็จในปีหน้า appeared first on THE STANDARD.

]]>
ความสำเร็จ

ช่วงเวลาที่สดใสที่สุดของใครหลายคนมักเป็นวันแรกของปีใหม่ เมื่อทุกอย่างดูเป็นไปได้ และความฝันทุกอย่างดูเหมือนจะอยู่แค่เอื้อมมือ เราเริ่มต้นปีด้วยสมุดโน้ตเล่มใหม่ ปากกาด้ามโปรด และรายการเป้าหมายที่เขียนด้วยลายมือประณีต แต่แล้วทำไมเมื่อเวลาผ่านไป ความฝันเหล่านั้นกลับค่อยๆ จางหายไปพร้อมกับแรงบันดาลใจที่เคยลุกโชน

 

เหมือนเปลวไฟที่ค่อยๆ มอดดับ แพสชันของเราก็เช่นกัน มันไม่ได้ดับวูบในคราวเดียว แต่ค่อยๆ อ่อนแรงลงทีละน้อย บางทีเริ่มจากการผัดวันประกันพรุ่งเพียงวันเดียวแล้วกลายเป็นสัปดาห์ จนท้ายที่สุดเราก็พบว่าตัวเองห่างไกลจากเป้าหมายที่เคยตั้งใจไว้เสียแล้ว ต่อไปนี้เป็นไอเดียการจุดไฟแพสชันของคุณให้กลับมาลุกโชนอีกครั้ง เพื่อเป้าหมายสู่ความสำเร็จในปีหน้าที่ดีกว่าเดิม

 

แพสชันที่จางหายเป็นเรื่องธรรมชาติ

รู้ไว้เถอะว่าคุณไม่ได้เป็นคนเดียวที่เผชิญกับสถานการณ์นี้ การที่แพสชันจางหายไปเป็นเรื่องธรรมชาติ เหมือนกับที่เราไม่สามารถรู้สึกมีความสุขได้ตลอดเวลา หรือโกรธได้ไม่มีวันสิ้นสุด อารมณ์และแรงบันดาลใจของเราล้วนมีจังหวะขึ้น-ลงของมันเอง

 

สิ่งสำคัญไม่ใช่การพยายามรักษาแพสชันให้ลุกโชนอยู่ตลอดเวลา แต่เป็นการเรียนรู้ที่จะสร้างระบบที่ช่วยพยุงเราในวันที่แรงบันดาลใจหายไป เหมือนกับนักวิ่งมาราธอนที่ไม่ได้วิ่งด้วยความรู้สึกฮึกเหิมตลอดทั้ง 42 กิโลเมตร แต่มีวินัยและระบบการซ้อมที่ช่วยให้พวกเขาก้าวต่อไปได้แม้ในวันที่ไม่อยากวิ่ง

 

ลองเริ่มต้นจากการสร้างนิสัยเล็กๆ ที่ดีสู่เป้าหมายที่ใหญ่ขึ้น

ลองมาเริ่มต้นด้วยการมองความจริงที่ว่า การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนไม่ได้เกิดจากช่วงเวลาที่เรารู้สึกกระตือรือร้นที่สุด แต่เกิดจากการสร้างนิสัยเล็กๆ ที่ทำได้แม้ในวันที่แย่ที่สุด แทนที่จะตั้งเป้าอ่านหนังสือวันละ 2 ชั่วโมง ลองเริ่มจาก 5 นาทีก่อนนอนทุกคืน แทนที่จะพยายามเขียนบล็อกยาวๆ ทุกวัน ลองเริ่มจากการจดโน้ตความคิดสั้นๆ วันละ 1 ย่อหน้า

 

สิ่งสำคัญอีกประการคือการสร้างสภาพแวดล้อมที่เกื้อหนุน เหมือนต้นไม้ที่ต้องการดินดี น้ำ และแสงแดดที่เหมาะสม แพสชันของเราก็ต้องการการดูแล หาเพื่อนที่มีเป้าหมายคล้ายกัน เข้าร่วมชุมชนที่สนับสนุนกัน และที่สำคัญ อย่าลืมฉลองความสำเร็จเล็กๆ ระหว่างทาง

 

จงสร้างระบบเพื่อก้าวไปข้างหน้า

สำหรับปีหน้า แทนที่จะเริ่มต้นด้วยการเขียนรายการเป้าหมายยาวเหยียด ลองเริ่มด้วยการสร้างระบบที่จะช่วยให้เราก้าวไปข้างหน้าได้แม้ในวันที่ไม่มีแรงบันดาลใจ วางแผนรับมือกับอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้น และที่สำคัญที่สุด ให้อภัยตัวเองเมื่อพลาดพลั้ง เพราะเส้นทางสู่ความสำเร็จไม่ได้เป็นเส้นตรง แต่เป็นการเรียนรู้และปรับตัวอย่างต่อเนื่อง


จำไว้ว่าแพสชันไม่ใช่เชื้อเพลิงที่จะต้องลุกโชนตลอดเวลา แต่เป็นแสงเทียนที่เราต้องคอยปกป้องและรักษาให้สว่างไสวอย่างสม่ำเสมอ บางครั้งมันอาจจะริบหรี่ แต่ตราบใดที่เรายังไม่ยอมให้มันดับสนิท โอกาสที่จะกลับมาลุกโชนอีกครั้งก็ยังคงมีอยู่เสมอ ปีหน้าอาจไม่ใช่ปีที่สมบูรณ์แบบ แต่จะเป็นปีที่เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น รู้จักจังหวะของชีวิตดีขึ้น และมีเครื่องมือที่จะรับมือกับช่วงเวลาที่ยากลำบากได้ดีกว่าเดิม นั่นต่างหากคือความสำเร็จที่แท้จริง

The post สมการปรับแพสชันจากความท้อในวันนี้สู่ความสำเร็จในปีหน้า appeared first on THE STANDARD.

]]>
5 เทคนิคใช้ Apple Watch รักษาสุขภาพไม่ให้พังในช่วงวันหยุดยาว https://thestandard.co/life/5-apple-watch-tips-to-stay-healthy Tue, 17 Dec 2024 08:58:49 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1020529

ช่วงเทศกาลหยุดยาวแบบนี้ หลายคนคงกำลังเตรียมตัวพักผ่อน ท […]

The post 5 เทคนิคใช้ Apple Watch รักษาสุขภาพไม่ให้พังในช่วงวันหยุดยาว appeared first on THE STANDARD.

]]>

ช่วงเทศกาลหยุดยาวแบบนี้ หลายคนคงกำลังเตรียมตัวพักผ่อน ท่องเที่ยว หรือกลับบ้านต่างจังหวัด แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องทิ้งเป้าหมายสุขภาพไว้ที่บ้าน วันนี้เราเลยอยากนำเสนอ 5 เทคนิคเด็ดในการใช้ Apple Watch ให้เป็นผู้ช่วยดูแลสุขภาพของคุณแม้ในช่วงวันหยุดมาฝากกัน

 

1. ปรับเป้าหมายให้เข้ากับตารางวันหยุด

 

รู้ไหมว่า Apple Watch สามารถตั้งเป้าหมายกิจกรรมแยกรายวันได้ ลองนึกภาพดูว่าวันจันทร์คุณอาจกำลังนั่งเครื่องบิน แต่วันอังคารอาจเดินอยู่แถวชินจูกุทั้งวัน การตั้งเป้าหมายเดียวกันทุกวันอาจไม่เหมาะสมเท่าไรนัก

 

วิธีการง่ายๆ แค่เข้าไปที่แอปพลิเคชัน Activity แล้วกดปุ่ม +/- ที่มุมขวาล่าง คุณก็สามารถปรับแต่งเป้าหมายการเคลื่อนไหว การออกกำลังกาย และการยืน ให้สอดคล้องกับกิจกรรมในแต่ละวันได้แล้ว!

 

2. เริ่มวันใหม่ด้วยการเช็กสัญญาณชีพ

 

 

แอป Vitals บน Apple Watch เป็นฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจมาก ลองนึกถึงตอนที่คุณปาร์ตี้สังสรรค์กับเพื่อนๆ หรือครอบครัวจนดึกดื่น พอตื่นเช้ามาแอปนี้จะช่วยบอกคุณได้ว่าร่างกายเป็นอย่างไรบ้าง ทั้งอัตราการเต้นของหัวใจ การหายใจ และอุณหภูมิร่างกาย

 

ที่เจ๋งไปกว่านั้นคือ มันจะเรียนรู้พื้นฐานร่างกายของคุณและแจ้งเตือนเมื่อมีค่าผิดปกติ พร้อมบอกสาเหตุที่เป็นไปได้ เช่น อาจเกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปหรือพักผ่อนไม่เพียงพอ ทำให้คุณปรับพฤติกรรมได้ทันท่วงที

 

3. ออกกำลังกายอุ่นใจด้วย Check In

 

สำหรับคนที่ชอบวิ่งหรือปั่นจักรยานคนเดียว ฟีเจอร์ Check In จะช่วยให้คุณรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น โดยสามารถแชร์สถานะการออกกำลังกายให้เพื่อนหรือครอบครัวรู้ได้

 

ถ้าระหว่างออกกำลังกายมีอะไรผิดปกติ เช่น ความเร็วเปลี่ยนแปลงกะทันหัน Apple Watch จะถามเช็กกับคุณก่อน และถ้าคุณไม่ตอบก็จะแจ้งเตือนไปยังคนที่คุณเลือกไว้ให้ช่วยเช็ก คุณจึงออกกำลังกายได้อย่างอุ่นใจแม้ไม่ได้มีใครไปด้วย

 

 

4. เช็กฟอร์มง่ายๆ ด้วยกล้องรีโมต

 

ใครที่ชอบเช็กท่าทางการออกกำลังกายของตัวเองต้องลองใช้ฟีเจอร์นี้ แทนที่จะต้องวิ่งไปวิ่งมาระหว่างตั้งกล้อง iPhone คุณสามารถควบคุมทุกอย่างผ่าน Apple Watch ได้เลย ทั้งดูภาพพรีวิว ถ่ายภาพ และคุมการบันทึกวิดีโอ

 

ข่าวดี ตอนนี้คุณสามารถกดหยุดและเล่นวิดีโอจากนาฬิกาได้แล้ว ทำให้การบันทึกวิดีโอการออกกำลังกายเป็นเรื่องง่ายขึ้นมาก

 

5. ติดตามความฟิตด้วย Cardio Fitness

 

สุดท้ายแต่สำคัญไม่แพ้กัน การติดตามสมรรถภาพหัวใจและปอดผ่าน Cardio Fitness ในแอป Health จะช่วยให้คุณรู้ว่าร่างกายใช้ออกซิเจนได้ดีแค่ไหน ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสุขภาพโดยรวมที่สำคัญมาก แต่ก่อนการวัดค่านี้ต้องไปทำในห้องแล็บพิเศษ แต่ตอนนี้ Apple Watch วัดให้คุณได้แล้ว ลองติดตามดูว่าช่วงหยุดยาวนี้ค่า Cardio Fitness ของคุณจะเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง

 

สรุปแล้ว แม้จะเป็นช่วงพักผ่อน แต่ Apple Watch ก็พร้อมเป็นผู้ช่วยดูแลสุขภาพของคุณได้อย่างครบครัน ลองเอาเทคนิคเหล่านี้ไปใช้กันดู รับรองว่าหลังหยุดยาวกลับมาคุณจะยังคงความฟิตได้เหมือนเดิมแน่นอน

 

ภาพ: Apple

The post 5 เทคนิคใช้ Apple Watch รักษาสุขภาพไม่ให้พังในช่วงวันหยุดยาว appeared first on THE STANDARD.

]]>
รู้จัก 2 แพทย์จาก Reals Aesthetic Center: พญ.ชาลินี เพียรธนภาคย์ และ อ. นพ.พีรศักดิ์ ฉอตระการกิจ https://thestandard.co/life/reals-aesthetic-center-doctors Mon, 16 Dec 2024 14:18:26 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1020234 reals-aesthetic-center-doctors

การเลือกคลินิกความงามในปัจจุบันไม่ใช่เพียงแค่ดูชื่อเสีย […]

The post รู้จัก 2 แพทย์จาก Reals Aesthetic Center: พญ.ชาลินี เพียรธนภาคย์ และ อ. นพ.พีรศักดิ์ ฉอตระการกิจ appeared first on THE STANDARD.

]]>
reals-aesthetic-center-doctors

การเลือกคลินิกความงามในปัจจุบันไม่ใช่เพียงแค่ดูชื่อเสียงของสถานที่เท่านั้น แต่ยังต้องคำนึงถึงความเชี่ยวชาญของแพทย์ผู้ให้บริการ ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการรักษา เพราะแพทย์คือผู้ที่จะเข้าใจความต้องการ วิเคราะห์ปัญหา และออกแบบการรักษาให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล หลายคนที่กำลังมองหาคลินิกความงามที่ได้มาตรฐานมักให้ความสำคัญกับประวัติการศึกษาและประสบการณ์ของแพทย์ผู้ให้การรักษา เพราะนั่นคือความมั่นใจว่าพวกเขาจะได้รับการดูแลอย่างมืออาชีพและปลอดภัย

วันนี้ LIFE จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับ 2 แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามระดับแนวหน้าของเมืองไทย แอนนา-พญ.ชาลินี เพียรธนภาคย์ และ พี-อ. นพ.พีรศักดิ์ ฉอตระการกิจ ที่มีทั้งความรู้ ประสบการณ์ และวิสัยทัศน์ในการดูแลคนไข้ ณ Reals Aesthetic Center ศูนย์ศัลยกรรมตกแต่งเฉพาะทางและการดูแลผิวพรรณเพื่อความงามแบบครบวงจรแห่งหนึ่งของเมืองไทย

 

แอนนา-พญ.ชาลินี เพียรธนภาคย์

 

ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามที่คุ้นหน้าคุ้นตาจากช่อง TikTok: khunmhoranna ด้วยวุฒิการศึกษาจาก American Board of Aesthetic Medicine ปัจจุบันเป็นทั้งแพทย์ Speaker และ KOL ให้กับบริษัทยาและเครื่องมือแพทย์ชั้นนำมากมาย มีความเชี่ยวชาญในการดูแลผิวพรรณ การยกกระชับ และการปรับรูปหน้า จนได้รับความไว้วางใจจากเหล่าดาราและศิลปินชั้นนำของเมืองไทย

โดยไฮไลต์อยู่ที่โปรแกรมยกกระชับใบหน้าด้วยเทคนิค Vector Lift ที่พัฒนาโดย พญ.ชาลินี ซึ่งให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน ยาวนาน และเจ็บน้อย ผ่านการรักษาด้วยเครื่องมือมาตรฐานอย่างโปรแกรม Ultherapy, Volnewmer และ Oligio นอกจากนี้ยังมีโปรแกรมปรับรูปหน้า และโปรแกรมงานผิว Reals Cocktail Skin Booster ที่ออกแบบเฉพาะบุคคล เพื่อแก้ปัญหาผิวที่แตกต่างกัน

 

ด้านศัลยกรรมตกแต่งดูแลโดย อ. นพ.พีรศักดิ์ แพทย์ผู้มีประสบการณ์การเป็นศัลยแพทย์ตกแต่งทั้งทางด้านเสริมสร้างและเสริมสวยมามากกว่า 12 ปี มีประสบการณ์การทำงานมากมาย โดยเฉพาะการผ่าตัดเคสจมูกแบบปรับโครงสร้าง การผ่าตัดแก้ไขขากรรไกรและการปรับรูปหน้าด้วยเทคนิคเฉพาะบุคคล นอกจากความเชี่ยวชาญทางการแพทย์ อ. นพ.พีรศักดิ์ยังใส่ใจในผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและตรงกับความต้องการของผู้รับบริการ

 

ทั้ง 2 ท่านมีความเชื่อร่วมกันว่า ความสวยงามสามารถสร้างความมั่นใจและแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต จึงร่วมกันก่อตั้ง Reals Aesthetic Center ศูนย์ศัลยกรรมตกแต่งเฉพาะทางและการดูแลผิวพรรณเพื่อความงามแบบครบวงจร เพื่อสนับสนุนให้ทุกคนได้ดูแลและพัฒนาตัวเองสู่เวอร์ชันที่ดีที่สุด ด้วยประสบการณ์อันยาวนานและความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของทั้ง 2 ท่าน Reals Aesthetic Center จึงเป็นจุดหมายปลายทางของผู้ที่ต้องการยกระดับความงามอย่างมีมาตรฐานและปลอดภัยภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญตัวจริง

สำหรับผู้ที่สนใจปรึกษาคุณหมอสามารถทำนัดปรึกษาได้ที่ Reals Aesthetic Center สาขาร่วมฤดี อาคาร Woodbury Common (ชั้น 4), สาขาเจริญกรุง (หน้าโรงแรม Ramada Plaza by Wyndham Bangkok Menam Riverside)

 

ช่องทางการติดต่อ

  • LINE: @reals
  • Facebook: Reals Aesthetic Center
  • Instagram: realsaesthetic
  • โทร.: 09 0323 6266

 

reals-aesthetic

reals-aesthetic

reals-aesthetic

reals-aesthetic

reals-aesthetic

reals-aesthetic

reals-aesthetic

 

ภาพ: Courtesy of Reals Aesthetic Center

The post รู้จัก 2 แพทย์จาก Reals Aesthetic Center: พญ.ชาลินี เพียรธนภาคย์ และ อ. นพ.พีรศักดิ์ ฉอตระการกิจ appeared first on THE STANDARD.

]]>
รู้จัก Waterless Beauty เทรนด์อนาคตของความงามที่ยั่งยืน https://thestandard.co/life/waterless-beauty-sustainable-beauty-trend Mon, 16 Dec 2024 05:34:08 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1019972 Waterless Beauty

Waterless Beauty หรือผลิตภัณฑ์ความงามที่ไม่ต้องใช้น้ำเป […]

The post รู้จัก Waterless Beauty เทรนด์อนาคตของความงามที่ยั่งยืน appeared first on THE STANDARD.

]]>
Waterless Beauty

Waterless Beauty หรือผลิตภัณฑ์ความงามที่ไม่ต้องใช้น้ำเป็นส่วนผสม (หรือใช้น้อยที่สุด) กำลังเป็นที่จับตามองในวงการความงาม ไม่ใช่แค่เพราะกระแสรักษ์โลก แต่ยังมีประโยชน์ต่อผิวที่น่าสนใจ 

 

จากการเปิดเผยของ Dr.Shuting Hu ผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องสำอางและผู้ร่วมก่อตั้ง Acaderma ระบุว่า ผลิตภัณฑ์ความงามทั่วไปมีน้ำเป็นส่วนผสมถึง 70-80% ซึ่งแม้น้ำจะช่วยให้ผลิตภัณฑ์มีเนื้อสัมผัสที่ดี แต่ก็อาจเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรีย ทำให้ต้องเพิ่มสารกันเสีย ซึ่งอาจก่อให้เกิดการระคายเคือง 

 

ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ Waterless Beauty หลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่แชมพูก้อน สบู่ก้อน เซรั่มแบบแท่ง ไปจนถึงผลิตภัณฑ์แบบผง เช่น ผงล้างหน้าต่างๆ ที่น่าสนใจคือแบรนด์ Plus ที่พัฒนาเจลอาบน้ำแบบแผ่นละลายน้ำ ช่วยลดการใช้พลาสติกได้ถึง 80% เมื่อเทียบกับขวดแบบดั้งเดิม

 

นอกจากนี้ยังมีแบรนด์อย่าง Ethique ที่นำเสนอผลิตภัณฑ์แบบก้อนครบวงจร ตั้งแต่แชมพู ครีมนวดผม โลชั่น ไปจนถึงสกินแคร์ โดยทุกชิ้นปราศจากบรรจุภัณฑ์พลาสติก สอดคล้องกับเป้าหมายการลดขยะพลาสติกในมหาสมุทร ที่น่าสนใจคือข้อมูลจาก Zero Waste Week ที่ระบุว่า อุตสาหกรรมความงามสร้างขยะพลาสติกกว่า 1.2 แสนล้านชิ้นต่อปี การหันมาใช้ผลิตภัณฑ์ Waterless Beauty จึงไม่เพียงช่วยประหยัดน้ำ แต่ยังช่วยลดปริมาณขยะพลาสติกได้อย่างมีนัยสำคัญ

 

แม้ราคาของผลิตภัณฑ์ Waterless Beauty อาจสูงกว่าแบบทั่วไป แต่ด้วยความเข้มข้นสูง ทำให้ใช้ได้นานกว่า คุ้มค่าในระยะยาว และที่สำคัญคือเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่า สะท้อนให้เห็นว่านี่ไม่ใช่แค่เทรนด์ชั่วคราว แต่อาจเป็นอนาคตของวงการความงามที่ยั่งยืน

 

ภาพ: Courtesy of Ethique

อ้างอิง:

The post รู้จัก Waterless Beauty เทรนด์อนาคตของความงามที่ยั่งยืน appeared first on THE STANDARD.

]]>
Le Labo เปิดบูติกสตรีทโลเคชันแห่งแรกในไทย ณ ย่านอารีย์ https://thestandard.co/life/le-labo-first-boutique-ari-thailand Sat, 14 Dec 2024 09:20:15 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1019608 Le Labo

แบรนด์น้ำหอมสุดเท่อย่าง Le Labo (เลอ ลาโบ) ประกาศเปิดบู […]

The post Le Labo เปิดบูติกสตรีทโลเคชันแห่งแรกในไทย ณ ย่านอารีย์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Le Labo

แบรนด์น้ำหอมสุดเท่อย่าง Le Labo (เลอ ลาโบ) ประกาศเปิดบูติกสตรีทโลเคชันแห่งแรกของประเทศไทยอย่างเป็นทางการแล้ว ณ ย่านอารีย์ ใจกลางกรุงเทพมหานคร โดยเลือกทำเลที่ตั้งในย่านไลฟ์สไตล์สุดฮิปที่เต็มไปด้วยเสน่ห์เฉพาะตัว บูติกแห่งใหม่นี้ได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิดวาบิ-ซาบิ (Wabi-Sabi) ปรัชญาที่ยกย่องความงามอันไม่สมบูรณ์แบบซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ ผสานการตกแต่งที่เน้นผนังสีแดงหม่น (Ashy Red) เฟอร์นิเจอร์ไม้ และสีเทาอ่อน พร้อมไฮไลต์สำคัญคือต้นสนเกรวิลเลียที่ตั้งตระหง่านกลางร้านใต้แสงธรรมชาติที่สาดส่องผ่านช่องแสง

 

ภายในบูติกนำเสนอผลิตภัณฑ์ครบครันจาก Le Labo ทั้งน้ำหอมจาก Classic Collection ครบ 18 กลิ่น ผลิตภัณฑ์เครื่องหอมสำหรับบ้าน ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและกรูมมิ่ง รวมถึงไอเท็มคอลเล็กชันพิเศษ นอกจากนี้ยังมีบริการสลักชื่อบนฉลากน้ำหอมและเทียนหอมสูงสุด 23 ตัวอักษร เพื่อสร้างความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

 

การเปิดบูติกในย่านอารีย์ถือเป็นการขยายฐานแบรนด์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดย Le Labo เลือกทำเลนี้เพราะเป็นย่านที่มีความหลากหลายทางไลฟ์สไตล์ เต็มไปด้วยคาเฟ่ ร้านอาหาร และชุมชนคนรักความงาม อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของพาร์ตเนอร์หลายแห่งที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ เช่น SALT AREE, Bay.aree และ Club Luminaries

 

ผู้ที่สนใจสามารถแวะมาเยี่ยมชมและสัมผัสประสบการณ์ Le Labo ได้แล้ววันนี้ที่ 46/1 ซอยอารีย์ ถนนพหลโยธิน กรุงเทพฯ

 

ภาพ: Courtesy of Le Labo

The post Le Labo เปิดบูติกสตรีทโลเคชันแห่งแรกในไทย ณ ย่านอารีย์ appeared first on THE STANDARD.

]]>