LIFE | BODY & MIND – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Thu, 23 Oct 2025 06:02:33 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 Manifest ไม่ใช่เรื่องไร้สาระ แต่มีรากฐานมาจากวิทยาศาสตร์ Neuroscience https://thestandard.co/life/manifestation-brain-science-positive-psychology/ Thu, 23 Oct 2025 06:02:33 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1134512 manifestation-brain-science-positive-psychology

หากพูดถึงการ Manifest หลายคนก็จะนึกถึงกูรูที่ชอบพูดเรื่ […]

The post Manifest ไม่ใช่เรื่องไร้สาระ แต่มีรากฐานมาจากวิทยาศาสตร์ Neuroscience appeared first on THE STANDARD.

]]>
manifestation-brain-science-positive-psychology

หากพูดถึงการ Manifest หลายคนก็จะนึกถึงกูรูที่ชอบพูดเรื่องพลังจิต หรือเหล่าไลฟ์โค้ชที่สอนให้ฝึกจินตนาการถึงสิ่งที่เราอยากได้แล้วมันจะเป็นจริง มีทั้งคนที่เข้าใจหลักการและทำได้จริง แต่บางคนอาจมองว่าการ Manifest ฟังดูงมงายนิดๆ แต่จริงๆ แล้ว Manifestation ไม่ใช่เรื่องงมงายอย่างที่คิด เพราะมันมีรากฐานมาจากวิทยาศาสตร์สมองที่แข็งแกร่งมาก 


การ Manifest คือการตั้งเป้าหมายที่มีรากฐานทางวิทยาศาสตร์ มันคือการสร้างภาพในใจแล้วตามด้วยแผนที่ชัดเจน มันคือจิตวิทยาเชิงบวกที่นำไปใช้จริง ไม่ใช่แค่นั่งฝัน คุณจะเรียกมันว่าเรื่องไร้สาระต่อไป หรือจะเริ่มใช้มันเป็นเครื่องมือในการสร้างชีวิตที่คุณอยากได้ ทางเลือกอยู่ที่คุณ แต่จำไว้ว่า สมองของคุณกำลังฟังทุกอย่างที่คุณพูด ทุกอย่างที่คุณคิด และมันกำลังสร้างตัวเองขึ้นมาใหม่ทุกวันตามนั้น คำถามคือ วันนี้คุณจะป้อนอะไรให้มัน? 

 

เมื่อเราเริ่ม Manifest สร้างภาพในใจว่ากำลังทำอะไรสักอย่าง สมองของคุณจะเปิดใช้งานเส้นทางประสาทเดียวกันกับตอนที่คุณทำของจริง สมองมันแยกไม่ออกว่าอันไหนจินตนาการ อันไหนของจริง ทำไมถึงเป็นแบบนี้ เพราะมันมีกลไกที่เรียกว่า Neuroplasticity คือความสามารถของสมองที่จะปรับโครงสร้างตัวเองได้ตลอดเวลา นี่คือเหตุผลที่นักกีฬาโอลิมปิกใช้เทคนิคการจินตนาการก่อนแข่ง ว่าพวกเขาทำได้ พวกเขายอดเยี่ยม และแน่นอนว่าพวกเขารู้ว่ามันได้ผลจริง ตัวอย่างที่น่าสนใจเช่น คริสเตียโน โรนัลโด เป็นตัวอย่างที่ดีมาก เขาใช้เทคนิค visualization ก่อนยิงจุดโทษและฟรีคิกเสมอ โดยเขาจะสร้างภาพในใจว่าลูกบอลเข้าประตูตรงไหนก่อนจะยิงทุกครั้ง

 

ในสมองเรายังมีระบบหนึ่งชื่อว่า RAS ย่อมาจาก Reticular Activating System ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวกรองข้อมูล มันตัดสินใจว่าอะไรควรเข้ามาในจิตสำนึกของเรา อะไรไม่ควร เคยสังเกตไหมว่าพอคุณคิดจะซื้อรถสักคัน ทันใดนั้นคุณก็จะเห็นรถรุ่นนั้นทุกที่ มันไม่ใช่เพราะรถคันนั้นเพิ่งเกิดขึ้นมาใหม่ มันอยู่ตรงนั้นมาตลอด แต่สมองของคุณไม่เคยให้ความสำคัญ พอคุณเริ่มโฟกัส RAS มันก็เริ่มทำงาน มันก็เลยดูเหมือนว่าโอกาสต่างๆ กำลังโผล่มาหาคุณ ทั้งที่จริงๆ แล้วมันอยู่ตรงนั้นมาตลอด แค่คุณไม่เคยสังเกตเห็น

 

ความเชื่อของคุณมันสร้างเส้นทางประสาทจริงๆ ในสมอง ถ้าคุณเชื่อว่าอะไรสักอย่างเป็นไปได้ สมองจะเริ่มหาทางทำให้มันเกิด ถ้าคุณเชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ สมองจะกรองโอกาสออกไปหมด มันไม่ใช่เรื่องจิตวิทยาเบาๆ นะ มันเป็นเรื่องของโครงสร้างทางชีววิทยาจริงๆ ความคิดของคุณมันเปลี่ยนเคมีในสมอง เปลี่ยนเส้นทางประสาท และท้ายที่สุดก็เปลี่ยนพฤติกรรม นี่คือเหตุผลที่คนมองโลกในแง่ดีมักจะ “โชคดี” กว่า ไม่ใช่เพราะจักรวาลหวังดี แต่เพราะสมองของพวกเขามองเห็นโอกาสที่คนอื่นมองไม่เห็น

 

เรื่อง Affirmations หรือคำยืนยันเชิงบวก หลายคนคิดว่ามันคือการโกหกตัวเอง แต่จริงๆ มันคือการสร้างเส้นทางประสาทใหม่ แค่ว่ามันจะได้ผลก็ต่อเมื่อคุณทำอะไรสักอย่างด้วย นี่คือจุดที่คนส่วนใหญ่พลาด พวกเขาคิดว่าแค่นั่งพูดว่า “ฉันรวย” ทุกเช้า แล้วเงินจะโผล่มาเอง มันไม่ได้ work แบบนั้น สมองต้องการหลักฐาน มันต้องเห็นว่าคุณกำลังทำอะไรสักอย่างที่สอดคล้องกับสิ่งที่คุณพูด ถ้าคุณบอกว่า “ฉันกำลังสร้างความมั่งคั่ง” แล้วคุณก็เรียนรู้เรื่องการลงทุน เริ่มออม พัฒนาสกิล สมองมันจะเริ่มเชื่อ แล้วมันก็จะเริ่มช่วยคุณ

 

สรุปแล้ว Manifestation ไม่ใช่เรื่องหลอกลวง แต่มันก็ไม่ใช่เวทมนตร์ มันคือการตั้งเป้าหมายที่มีรากฐานทางวิทยาศาสตร์ มันคือการสร้างภาพในใจแล้วตามด้วยแผนที่ชัดเจน มันคือจิตวิทยาเชิงบวกที่นำไปใช้จริง ไม่ใช่แค่นั่งฝัน คุณจะเรียกมันว่าเรื่องไร้สาระต่อไป หรือจะเริ่มใช้มันเป็นเครื่องมือในการสร้างชีวิตที่คุณอยากได้ ทางเลือกอยู่ที่คุณ แต่จำไว้ว่า สมองของคุณกำลังฟังทุกอย่างที่คุณพูด ทุกอย่างที่คุณคิด และมันกำลังสร้างตัวเองขึ้นมาใหม่ทุกวันตามนั้น คำถามคือ วันนี้คุณจะป้อนอะไรให้มัน?

The post Manifest ไม่ใช่เรื่องไร้สาระ แต่มีรากฐานมาจากวิทยาศาสตร์ Neuroscience appeared first on THE STANDARD.

]]>
ผลวิจัยชี้ วัยรุ่นยุคนี้ เหงา เศร้า แต่อายที่จะขอความช่วยเหลือ https://thestandard.co/life/who-ama-loneliness-public-health-crisis/ Wed, 22 Oct 2025 07:00:53 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1131998 who-ama-loneliness-public-health-crisis

น่าแปลกที่เราอยู่ในโลกยุคดิจิทัลที่สามารถเชื่อมต่อกับทุ […]

The post ผลวิจัยชี้ วัยรุ่นยุคนี้ เหงา เศร้า แต่อายที่จะขอความช่วยเหลือ appeared first on THE STANDARD.

]]>
who-ama-loneliness-public-health-crisis

น่าแปลกที่เราอยู่ในโลกยุคดิจิทัลที่สามารถเชื่อมต่อกับทุกคนบนโลกได้ง่ายๆ อยากคุยกับใคร เห็นหน้าใครก็ทำได้ แต่ ‘คนเหงา’ กลับเพิ่มจำนวนมากขึ้น



ถ้าให้นิยาม ‘ความเหงา’ แบบเข้าใจง่าย มันก็คือความรู้สึกลบๆ ที่เกิดขึ้นในใจ เมื่อพบว่าเราไม่สามารถเชื่อมโยงกับคนอื่นได้ มันจึงเกิดขึ้นได้แม้เวลานั้นเราจะอยู่ท่ามกลางเพื่อนมากมาย



สมาคมการแพทย์อเมริกัน (AMA – American Medical Association) ประกาศให้ ‘ความเหงา’ เป็นหนึ่งในปัญหาสาธารณสุขระดับเร่งด่วน และ องค์การอนามัยโลก (WHO) เองก็คิดเห็นเช่นเดียวกันว่า นี่คือวิกฤตด้านสาธารณสุขที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนทุกช่วงอายุ ทุกประเทศ และทุกฐานะทางการเงิน

 

WHO/AMA ประกาศ 'ความเหงา

 

 ปัญหาสุขภาพจิตในคนรุ่นใหม่ไม่ได้เกิดจากความอ่อนไหวเกินเหตุ แต่ความรู้สึกถูกแยกออกจากสังคม และความเหงา ต่างหากที่เป็นปัญหากัดกินใจ เมื่อเชื่อมโยงกับใครไม่ได้ ก็ทำให้หลายคนรู้สึกว่าไม่มีใครเข้าใจอย่างแท้จริง



‘NIVEA CONNECT COMPASS 2025’ งานวิจัยที่จัดทำโดย นีเวีย แบรนด์สกินแคร์ระดับโลกที่เราคุ้นเคย ได้ทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่างกว่า 30,000 คน ใน 13 ประเทศ ใน 5 ทวีปทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย เกี่ยวกับปัญหาความเหงาและความรู้สึกโดดเดี่ยวในสังคม พบว่า กว่า 56% ยอมรับว่ามีความรู้สึกเหงาอย่างน้อยเป็นบางครั้ง 57% บอกว่ามีช่วงเวลาที่รู้สึกว่าตนเองอยู่ลำพัง และ 54% เผชิญกับความรู้สึกถูกแยกออกจากผู้อื่น และ 47% รู้สึกว่าบางครั้งก็ถูกทอดทิ้ง
 

กว่าหนึ่งในสามของผู้ที่รู้สึกเหงาและโดดเดี่ยว เคยเผชิญภาวะเครียดและรู้สึกหมดหนทาง กว่า 60% มีภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวล ความเหงาสำหรับบางคน ไม่ใช่เพียงอารมณ์ชั่ววูบ แต่คือความเจ็บปวดเงียบๆ ที่ฝังลึกและกัดกินพวกเขาโดยไม่รู้ตัว



ดร.จูเลียนน์ ฮอลต์-ลันสตัด ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาและประสาทวิทยาศาสตร์ และที่ปรึกษาโครงการ NIVEA CONNECT บอกว่า ความเหงาส่งผลต่อร่างกายและจิตใจไม่ต่างจากการสูบบุหรี่วันละ 15 มวน หรือการเผชิญมลพิษทางอากาศในทุกๆ วัน และยังกระตุ้นความเสี่ยงอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจเพิ่มขึ้น 29% และโรคหลอดเลือดสมอง 32%

 

WHO/AMA ประกาศ 'ความเหงา

 

จากงานวิจัยพบว่า กลุ่มวัยรุ่นอายุระหว่าง 16–24 ปี เป็นกลุ่มที่เผชิญความโดดเดี่ยวมากที่สุดเมื่อเทียบกับช่วงวัยอื่น แม้จะมีการเชื่อมต่อออนไลน์มากที่สุด แต่ในแง่ความสัมพันธ์กลับตื้นเขิน และการใช้โซเชียลที่มากเกินไปยังทำให้เกิดความรู้สึกเปรียบเทียบกับผู้อื่นจนรู้สึกไม่เพียงพอ นำไปสู่ความเหงาที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น บวกกับปัจจัยอื่นๆ เช่น ความกดดันทางเศรษฐกิจ การแข่งขันด้านการศึกษาและการทำงาน


ความเหงาของคนกลุ่มนี้แสดงออกชัดตอนกลางคืน 41% วันเกิด 33% และช่วงที่เพื่อนๆ ฉลองกัน 26% อย่างไรก็ตาม หลายคนเลือกที่จะปกปิดปัญหา และ 62% ยอมรับว่าอายที่จะขอความช่วยเหลือ เพราะกลัวเป็นภาระหรือกลัวถูกมองแปลก กลัวถูกปฏิเสธ กลัวถูกมองว่าอ่อนแอ และแย่กว่านั้นคือ ไม่รู้จะขอความช่วยเหลือจากใคร ทำให้ความเหงากลายเป็น ‘วิกฤตเงียบ’ ที่ยังซ่อนตัวอยู่

 

WHO/AMA ประกาศ 'ความเหงา

 

ย้อนกลับมามองประเทศไทย WHO ระบุว่า 5–15% ของวัยรุ่นไทยกำลังเผชิญภาวะเหงาเรื้อรัง (chronic loneliness) ผลวิจัยจาก NIVEA CONNECT COMPASS 2025 พบว่า 69% ของคนไทยเคยรู้สึกเหงา ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่การศึกษากลุ่มนักเรียนมัธยมในกรุงเทพฯ 13% มีอาการเครียดทางจิตใจในระดับสูง สอดคล้องกับรายงานจาก UNICEF ชี้ว่า 1 ใน 7 ของเยาวชนไทยมีปัญหาสุขภาพจิต

ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนชัดว่าความเหงาไม่ใช่เพียงความรู้สึกชั่วคราวแต่คือความเปราะบางที่กำลังกัดกินอนาคตของสังคมไทย


นีเวีย จึงเดินหน้ารณรงค์ผ่านโครงการ ‘NIVEA CONNECT’ ให้สังคมหันมาตระหนักถึงปัญหาความเหงาและการแยกตัวออกจากสังคม เตือนให้เราทุกคนหันมาใส่ใจคนรอบตัว เพราะเขาอาจกำลังเผชิญความเหงาอยู่เงียบๆ โดยที่ไม่รู้ตัว ทุกคนสามารถมีส่วนช่วยได้ เพียงเริ่มจากการใส่ใจ สังเกต ซักถาม และรับฟัง ภารกิจนี้ ตอกย้ำว่า นีเวียไม่ได้ดูแลเพียงแค่ผิวพรรณ แต่ยังใส่ใจคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้คนในทุกมิติ



ในประเทศไทย นีเวียจับมือกับ มูลนิธิเด็กโสสะฯ จัดกิจกรรมเติมเต็มใจเด็กมัธยมกว่า 200 คนจากหมู่บ้านเด็กโสสะทั้ง 5 แห่ง ได้แก่ บางปู, หาดใหญ่, เชียงราย, หนองคาย และภูเก็ต เป้าหมายคือการสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้เด็กๆ ได้พูดคุยถึงความรู้สึกเหงา เรียนรู้วิธีรับมือกับความรู้สึก และฝึกทักษะการสื่อสารและการทำงานเป็นทีม เพื่อช่วยให้พวกเขาได้เข้าใจความรู้สึกตัวเองและเห็นคุณค่าของการเชื่อมโยงกับคนรอบข้างอย่างแท้จริง
 

เพราะวันนี้ “ความเหงา” กำลังกลายเป็นภัยเงียบที่คุกคามชีวิตของเราโดยไม่รู้ตัว นีเวีย แบรนด์ที่เข้าใจและดูแลผู้คนในทุกมิติของชีวิต จึงเดินหน้ารณรงค์ชวนคนไทยลองหันกลับมาสำรวจตนเองและคนรอบข้าง ว่า “มีใครใกล้ตัวคุณที่กำลังรู้สึกโดดเดี่ยวอยู่หรือไม่” เพียงแค่เราใส่ใจ สังเกต และรับฟัง ก็สามารถสร้างพื้นที่เล็กๆ ที่เชื่อมโยงถึงกัน และ ความเหงาเบาลงได้ แค่ยอมรับและเปิดใจสร้างสัมพันธ์ที่มีความหมายกับผู้อื่น นีเวียพร้อมส่งกำลังใจ อยู่เคียงข้างทุกคนให้ก้าวผ่านทุกความเดียวดาย

The post ผลวิจัยชี้ วัยรุ่นยุคนี้ เหงา เศร้า แต่อายที่จะขอความช่วยเหลือ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Aesop เปิดสาขาใหม่ พร้อมกับคอลเล็กชัน Gift Kits 2025 https://thestandard.co/life/aesop-new-store-gift-kits-2025/ Wed, 22 Oct 2025 01:36:28 +0000 https://thestandard.co/?p=1133641 COVER - Aesop New Store Gift Kits 2025

Aesop เปิดสาขาใหม่ที่ Emporium โชว์เสน่ห์พื้นที่ที่แสดง […]

The post Aesop เปิดสาขาใหม่ พร้อมกับคอลเล็กชัน Gift Kits 2025 appeared first on THE STANDARD.

]]>
COVER - Aesop New Store Gift Kits 2025

Aesop เปิดสาขาใหม่ที่ Emporium โชว์เสน่ห์พื้นที่ที่แสดงถึงความแข็งแกร่งของคอนกรีตเข้ากับความอ่อนโยนของเส้นโค้งเว้า ถ่ายทอดผ่านเทอร์ราซโซและเพบเบิลวอชในเฉดชมพูอ่อนละมุน เป็นอีกหนึ่งดีไซน์ที่สะท้อนเอกลักษณ์กรุงเทพฯ ออกมาได้อย่างน่าสนใจ สร้างมิติที่มีชีวิตชีวาผ่านเส้นโค้งเว้าที่อ่อนโยนและพื้นผิวที่หลากหลาย สองมุมเว้าพิเศษได้รับแรงบันดาลใจจากเรซินสีอำพันจากแมลงครั่งที่เคลือบผิวไม้จนเกิดประกายแวววาวราวกับแก้ว

นอกจากจะเปิดพิกัดใหม่แล้ว ยังเปิดตัว Gift Kits 2025 ภายใต้แนวคิด From our home to yours ถ่ายทอดความอบอุ่นจากบ้านของเรา…สู่บ้านของคุณ ประกอบด้วยชุดของขวัญทั้งหมด 9 แบบ ตั้งแต่ชุดขนาดเล็กไปจนถึงชุดขนาดใหญ่ที่รวมผลิตภัณฑ์ไอคอนิก อาทิ ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวกาย กลุ่มผลิตภัณฑ์ Geranium Leaf และผลิตภัณฑ์ดูแลมือยอดนิยม กล่องของขวัญผลิตจากวัสดุที่ได้รับการรับรอง FSC ที่สามารถรีไซเคิลได้

ใครที่อยากสัมผัสบรรยากาศแห่งความสงบและอยากเลือกของขวัญสวยๆ สามารถแวะไปเลือกชมได้ที่ Aesop Emporium ชั้น 1 ศูนย์การค้าเอ็มโพเรียมและร้าน Aesop ทุกสาขา

 

 

CONTENT_1 CONTENT_2 CONTENT_3 CONTENT_4

The post Aesop เปิดสาขาใหม่ พร้อมกับคอลเล็กชัน Gift Kits 2025 appeared first on THE STANDARD.

]]>
Bella Hadid เผยเรื่องการต่อสู้กับโรคซึมเศร้าและวิตกกังวล https://thestandard.co/hadid-battles-depression-anxiety/ Tue, 21 Oct 2025 02:42:50 +0000 https://thestandard.co/?p=1133185 Bella Hadid เผยเรื่องการต่อสู้กับโรคซึมเศร้าและวิตกกังวล

เนื่องในวัน World Mental Health Day ที่ตรงกับวันที่ 10 […]

The post Bella Hadid เผยเรื่องการต่อสู้กับโรคซึมเศร้าและวิตกกังวล appeared first on THE STANDARD.

]]>
Bella Hadid เผยเรื่องการต่อสู้กับโรคซึมเศร้าและวิตกกังวล

เนื่องในวัน World Mental Health Day ที่ตรงกับวันที่ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา Bella Hadid นางแบบสาววัย 29 ปี จึงออกมาแชร์ประสบการณ์การต่อสู้กับโรคซึมเศร้าและโรควิตกกังวลที่กลืนกินชีวิตของเธอในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

 

Bella Hadid แชร์ภาพบทกลอนให้กำลังใจคนที่กำลังมีความทุกข์จาก Mark My Words และเขียนข้อความว่า “สิ่งที่ฉันแบกเอาไว้มาตลอดหลายปีก็คือความหนักหนาของความวิตกกังวลและโรคซึมเศร้า บางครั้งมันอาจทำให้รู้สึกเหมือนโดนกลืนกิน สิ้นหวัง และเป็นสิ่งที่โลกภายนอกมองไม่เห็น ทำให้คุณต้องเสียน้ำตาก่อนที่จะเริ่มต้นวันของตัวเอง และสงสัยว่าทำไมจิตใจของคุณถึงขุ่นมัวนักในขณะที่ชีวิตรอบตัวช่างดูสดใส

 

“บ่อยครั้งที่การต่อสู้กับสุขภาพจิตมักจะมาพร้อมกับความรู้สึกละอาย บางครั้งฉันนึกถึงว่าตัวเองมีชีวิตที่โชคดีเพียงใด แต่ร่างกายและจิตใจของฉันกลับเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ความหดหู่ และเหน็ดเหนื่อยกับความวิตกกังวลในทุกๆ วัน”

 

Bella Hadid เขียนข้อความอีกว่า “หลายปีที่ผ่านมา ฉันได้เรียนรู้ว่ามันไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่มันเป็นส่วนหนึ่งของฉัน ทั้งความอ่อนไหว การตระหนักรู้ และความเห็นอกเห็นใจของฉัน ซึ่งมันอาจเป็นพลังวิเศษก็ได้เพราะมันทำให้เราเป็นมนุษย์ และสิ่งเหล่านั้นก็ช่วยให้ฉันเข้าใจตัวเองและผู้อื่นได้อย่างลึกซึ้ง”

 

Bella Hadid ย้ำเตือนคนที่กำลังต่อสู้กับปัญหาสุขภาพจิตว่า พวกเขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว และเธอก็มีโอกาสร่วมงานกับ UNICEF ในการทำให้ผู้คนเข้าถึงการรักษาได้มากขึ้นด้วย ซึ่งเธอเผยด้วยว่า การเข้าถึงการรักษาสุขภาพจิตเป็นสิทธิของทุกคน ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นใคร มาจากไหน หรือมีเรื่องราวชีวิตอย่างไร เพราะการเยียวยารักษาความเจ็บปวดที่มีคือสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างมาก

 

ภาพ: Aitor Rosas Sune/WWD via Getty Images)

 

อ้างอิง:

The post Bella Hadid เผยเรื่องการต่อสู้กับโรคซึมเศร้าและวิตกกังวล appeared first on THE STANDARD.

]]>
​​รู้จัก October Theory จังหวะดีของการรีเซ็ตชีวิตใหม่ https://thestandard.co/life/october-theory-life-reset/ Mon, 20 Oct 2025 05:48:53 +0000 https://thestandard.co/?p=1132744 รู้จัก October Theory จังหวะดีของการรีเซ็ตชีวิตใหม่

October Theory เป็นแนวคิดที่ได้รับความนิยมบนโซเชียลมีเด […]

The post ​​รู้จัก October Theory จังหวะดีของการรีเซ็ตชีวิตใหม่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
รู้จัก October Theory จังหวะดีของการรีเซ็ตชีวิตใหม่

October Theory เป็นแนวคิดที่ได้รับความนิยมบนโซเชียลมีเดีย โดยเสนอว่าเดือนตุลาคม รวมถึงช่วงปลายปี เป็นช่วงเวลาที่เหมาะแก่การ ‘รีเซ็ต’ ชีวิตใหม่ เหมือนเป็น mini New Year ก่อนที่ปีจะจบลงจริงๆ แทนที่จะรอไปจนถึง 1 มกราคม ผู้คนที่หลงรักเทรนด์นี้มักจะเริ่มตั้งเป้าหมายใหม่ ปรับพฤติกรรม หรือทำการเปลี่ยนแปลงในชีวิตช่วงนี้ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนงาน เริ่มออกกำลังกาย เรียนรู้สิ่งใหม่ หรือเริ่มความสัมพันธ์ใหม่ เพราะเชื่อว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่เต็มไปด้วยพลังและความหวัง

 

90 วัน มากพอที่จะเห็นความเปลี่ยนแปลง

 

เหตุผลหนึ่งที่ทำให้ October Theory ดูน่าดึงดูด คือมันอยู่ในช่วงประมาณ 90 วันก่อนสิ้นปี ซึ่งเป็นเวลาที่มากพอให้เห็นผลเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง แต่ยังไม่ ‘สาย’ เกินไปสำหรับการตั้งเป้าใหม่ นอกจากนี้ในหลายประเทศที่มีฤดูใบไม้ร่วง การเปลี่ยนของฤดูกาล เช่น อากาศที่เย็นลง ใบไม้ที่เปลี่ยนสีและร่วงหล่น ล้วนเป็นสัญญาณของการ ‘เปลี่ยนแปลง’ ที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกอยากเริ่มต้นใหม่ตามไปด้วย แม้ว่าเราจะอยู่ในประเทศไทยที่ไม่มีใบไม้ร่วง แต่เราก็สามารถใช้ความหมายของช่วงเวลานี้เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงในชีวิตได้เช่นกัน

 

เริ่มต้นในเดือนตุลาคมลดความกดดันได้ดีกว่าที่คิด

 

การเริ่มต้นช่วงปลายปีมีข้อดีที่น่าสนใจ นั่นคือมันไม่ใช่ ‘ต้นปีใหม่’ ซึ่งมักมาพร้อมกับแรงกดดันสูงมาก คุณรู้ไหมว่าหลายคนตั้งเป้าหมายปีใหม่แล้วท้อได้เร็วกว่าที่ตั้งเป้าเดือนมกราคม เพราะความคาดหวังที่สูงเกินไป ในขณะที่การตั้งเป้าหมายเดือนตุลาคมดูเบาและเป็นธรรมชาติกว่า นอกจากนี้ เมื่อคนรับรู้ว่าเวลากำลังจะหมดลงแล้ว มันอาจทำให้เกิดแรงจูงใจที่จะ ‘เร่ง’ ทำสิ่งที่ตั้งใจไว้ แทนที่จะผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ

 

Fact = ไม่ได้เป็นทฤษฎีวิชาการที่มีงานวิจัยยืนยัน

 

แต่เราก็ควรรู้ไว้ด้วยว่า October Theory ไม่ได้เป็นทฤษฎีวิชาการที่มีงานวิจัยยืนยันอย่างเป็นระบบว่า ‘ตุลาคมคือเวลาที่ดีที่สุด’ สำหรับทุกคน ส่วนใหญ่มันเป็นเทรนด์บนโซเชียลมีเดียและบทความส่งเสริมตนเอง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร แต่หมายความว่าเราไม่ควรกดดันตัวเองมากเกินไป สำหรับบางคน ตุลาคมอาจเป็นช่วงที่เหนื่อยหรือมีแรงกดดัน เช่น การเตรียมรับเทศกาลปลายปี งานครอบครัว หรือการปรับตัวกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนไป ดังนั้น ‘รีเซ็ต’ แทนที่จะเป็นการพักผ่อน อาจกลายเป็นภาระได้ถ้าเราไม่ระวัง การตั้งเป้าหมายที่ใหญ่เกินไป หรือตั้งโดยแรงกดดัน ‘ต้องเปลี่ยนทันที’ อาจทำให้ล้มเหลวได้เหมือนกับการตั้งเป้าหมายแบบอื่นๆ เพราะสิ่งที่สำคัญจริงๆ คือ ‘ความยั่งยืน’ มากกว่าแค่การเริ่มต้น

 

จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง

 

ถ้าคุณสนใจที่จะลองใช้ October Theory เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง นี่คือแนวทางที่อาจช่วยให้คุณทำได้อย่างอ่อนโยนและยั่งยืน เริ่มจากการเลือกเป้าหมายเพียงเดียวหรือสองเป้าหมายที่มีความหมายจริงๆ กับคุณ และสามารถทำได้ภายในประมาณ 90 วัน ตั้งแต่ตุลาคมถึงธันวาคม เช่น ‘ออกกำลังกาย 3 ครั้งต่อสัปดาห์’ หรือ ‘อ่านหนังสือเดือนละเล่ม’ อย่าตั้งเป้าที่ยิ่งใหญ่จนเกินไป เพราะการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ที่ทำได้จริง มีค่ามากกว่าความตั้งใจใหญ่ๆ ที่ทำไม่ได้

The post ​​รู้จัก October Theory จังหวะดีของการรีเซ็ตชีวิตใหม่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
แค่พอดีหรือต้องดีที่สุด? เปิดมุมมองคนไทยต่างวัยต่อ Longevity https://thestandard.co/life/milieu-insight-thai-longevity-by-age-survey/ Mon, 20 Oct 2025 01:00:12 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1129660 milieu-insight-thai-longevity-by-age-survey

ยุคนี้ หันไปทางไหนก็เจอแต่คำว่า ‘Longevity’ คุณเคยถามตั […]

The post แค่พอดีหรือต้องดีที่สุด? เปิดมุมมองคนไทยต่างวัยต่อ Longevity appeared first on THE STANDARD.

]]>
milieu-insight-thai-longevity-by-age-survey

ยุคนี้ หันไปทางไหนก็เจอแต่คำว่า ‘Longevity’ คุณเคยถามตัวเองไหมว่า ชีวิตที่ดีและยืนยาวสำหรับคุณเป็นแบบไหน? ผลสำรวจล่าสุดของ Milieu Insight ที่สำรวจความคิดเห็นคนไทยกว่า 7,000 คน ในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา พบข้อมูลที่น่าสนใจว่า นิยามความสุขและสุขภาพของเราอาจถูกกำหนดด้วย ‘วัย’ มากกว่าที่คิด

 

แค่พอดีหรือต้องดีที่สุด? เปิดมุมมองคนไทยต่างวัยต่อ Longevity

 

วัย 16-24: เรียบง่าย แต่กันไว้ดีกว่าแก้

 

แม้ความเรียบง่ายจะเป็นคำตอบอันดับหนึ่งของคนรุ่นใหม่ แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาแตกต่างจากรุ่นอื่นอย่างแท้จริง คือการเป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับ ‘การป้องกันไว้ดีกว่าแก้’ สูงที่สุดถึง 22% ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงกว่าทุกเจเนอเรชัน 

 

พวกเขามองว่าการลงทุนดูแลตัวเองตั้งแต่อายุน้อย คือวิธีที่ดีที่สุดในการออกแบบชีวิตยืนยาวอย่างมีคุณภาพ

 

วัย 35-44: โฟกัสที่ความสุขของวันนี้

 

ท่ามกลางภาระรอบด้านไม่ว่าจะการงานหรือความกดดันอื่นๆ คนวัยนี้โดดเด่นขึ้นมาในฐานะกลุ่มที่ ‘อยู่กับปัจจุบัน’ มากที่สุดถึง 27.5% ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุดสำหรับคำตอบนี้โดยเฉพาะ 

 

พวกเขามองว่าการหาความสมดุลและความสุขให้ได้ในวันนี้ สำคัญกว่าการกังวลถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง

 

วัย 45+: ขอแค่ความเรียบง่ายที่ยั่งยืน

 

35.9% ให้คำตอบว่า ‘กินอิ่ม นอนพอ ออกกำลังกายพอดี’ คือนิยามของสุขภาพที่ดี ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงกว่ากลุ่มวัยอื่นในคำตอบข้อเดียวกันนี้ สิ่งนี้สะท้อนมุมมองจากประสบการณ์ว่า ความสมดุลคือหัวใจของความสุขที่แท้จริง ไม่ใช่การหักโหม 

 

สุดท้ายแล้ว Longevity ในแบบฉบับคนไทยอาจไม่ใช่เรื่องของนวัตกรรมล้ำสมัยหรือการมีอายุ 100 ปี แต่คือการค้นหานิยาม ‘ชีวิตที่ดี’ ในจังหวะของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นความสงบเรียบง่ายของวัยเก๋า การหาสมดุลในวัยทำงาน หรือการลงทุนเพื่ออนาคตของคนรุ่นใหม่

 

แล้วนิยาม Longevity ในแบบของคุณล่ะเป็นแบบไหน?

 

ภาพ: AI-generated

อ้างอิง:

The post แค่พอดีหรือต้องดีที่สุด? เปิดมุมมองคนไทยต่างวัยต่อ Longevity appeared first on THE STANDARD.

]]>
ปัญญ์ปุริ เวลเนส เปิดตัวทรีตเมนต์สุดว้าว! แช่ Ice Bath สลับ Onsen แล้วไปนวด Body Massage สุดฟิน https://thestandard.co/life/panpuri-ice-bath-onsen-massage/ Sat, 18 Oct 2025 09:23:09 +0000 https://thestandard.co/?p=1132287 ปัญญ์ปุริ เวลเนส

ปัญญ์ปุริ เวลเนส (PAÑPURI WELLNESS) เปิดตัวทรีตเมนต์ใหม […]

The post ปัญญ์ปุริ เวลเนส เปิดตัวทรีตเมนต์สุดว้าว! แช่ Ice Bath สลับ Onsen แล้วไปนวด Body Massage สุดฟิน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ปัญญ์ปุริ เวลเนส

ปัญญ์ปุริ เวลเนส (PAÑPURI WELLNESS) เปิดตัวทรีตเมนต์ใหม่ล่าสุด ผสานพลังความร้อน-เย็น คืนความสมดุลให้ผิวและจิตใจ นับว่าเป็นอีกขั้นของการยกระดับประสบการณ์การดูแลตัวเองแบบองค์รวม ด้วยทรีตเมนต์สุดพิเศษ Guided Thermal & Ice Bath Ritual ร่วมกับ Body Massage โปรแกรมการฟื้นฟูร่างกายและจิตใจที่ผสานเทคนิคการบำบัดด้วยอุณหภูมิและการนวดผ่อนคลาย พร้อมมอบประสบการณ์แห่งความผ่อนคลายที่ครบทุกมิติ

 

เดินทางสู่ความสงบภายใน 105 นาที

 

ขั้นตอนเริ่มต้นด้วย Grounding Aromatic Breath Flow การปรับคลื่นสมองด้วยเสียงกังวาน Sound Bath ควบคู่กับเทคนิคการหายใจที่ถูกต้อง นำโดยผู้เชี่ยวชาญ เพื่อสร้างสมาธิและเปิดรับพลังแห่งการบำบัด เป็นการวอร์มอัปเบาๆ ก่อนไปแช่ Ice Bath และ Onsen

 

เราสามารถเลือกโปรแกรมตามความต้องการของเรา เช่น Sleep Serenity สำหรับผู้ที่ต้องการผ่อนคลายและพักผ่อนอย่างลึกซึ้ง หรือ Deep Renewal เหมาะกับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูและเติมพลังให้ร่างกาย ซึ่งการเลือกในขั้นตอนนี้จะมีรูปแบบของจำนวนนาทีที่แช่ Ice Bath และ Onsen ในเวลาที่ไม่เหมือนกัน

 

จากนั้นจะเข้าสู่ขั้นตอนไฮไลต์หลักของทรีตเมนต์ ด้วยการแช่สลับอุณหภูมิระหว่างอ่างน้ำร้อน (40-42°C) และอ่างน้ำเย็น (0-5°C) เทคนิคที่ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือด ลดการอักเสบของกล้ามเนื้อ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และปลุกพลังชีวิตจากภายใน ในขั้นตอนนี้จะใช้เวลาประมาณ 25 นาที แล้วปิดท้ายด้วย Aromatherapy Massage การนวดผ่อนคลายด้วยน้ำมันหอมระเหย ที่จะคืนความสมดุลให้กับร่างกาย จิตใจ และผิวพรรณอย่างลงตัว

 

รายละเอียดการบริการ ระยะเวลา 105 นาที ราคา 4,500 บาท/ท่าน หรือ 8,200 บาท/คู่, สถานที่: ปัญญ์ปุริ เวลเนส ชั้น 12 เกษร ทาวเวอร์ เวลาทำการ: ทุกวัน 10.00-22.00 น. จองล่วงหน้า โทร 0 2253 8899

 

ภาพ: PAÑPURI

The post ปัญญ์ปุริ เวลเนส เปิดตัวทรีตเมนต์สุดว้าว! แช่ Ice Bath สลับ Onsen แล้วไปนวด Body Massage สุดฟิน appeared first on THE STANDARD.

]]>
Lancôme x Thank You Cup คอลแลบสุดปัง! ชวน Eat Your Skincare https://thestandard.co/life/lancome-thank-you-cup-skincare-collab/ Sat, 18 Oct 2025 09:11:14 +0000 https://thestandard.co/?p=1132283 Lancôme x Thank You Cup คอลแลบสุดปัง ชวน Eat Your Skincare

ครั้งแรกในประเทศไทย Lancôme จับมือร้าน Thank You Cup สร […]

The post Lancôme x Thank You Cup คอลแลบสุดปัง! ชวน Eat Your Skincare appeared first on THE STANDARD.

]]>
Lancôme x Thank You Cup คอลแลบสุดปัง ชวน Eat Your Skincare

ครั้งแรกในประเทศไทย Lancôme จับมือร้าน Thank You Cup สร้างปรากฏการณ์ใหม่ของวงการบิวตี้ กับคอนเซ็ปต์ Eat Your Skincare ที่จะให้ทุกคนได้สัมผัสความงามจากภายในสู่ภายนอกอย่างแท้จริง ด้วยเมนูซอฟต์เสิร์ฟสูตรพิเศษ BETA-GLUCANS-The Ultimate Skin Repair ที่ได้แรงบันดาลใจจากผลิตภัณฑ์ขายดีระดับตำนาน LANCÔME Génifique Ultimate ที่มี 98% Pure Beta-Glucans ส่วนผสมสำคัญในการฟื้นฟูผิวล้ำลึก และจัดการสัญญาณแห่งวัยตั้งแต่จุดเริ่มต้น ถ่ายทอดสู่ซอฟต์เสิร์ฟที่ให้ทั้งความอร่อยและบำรุงผิวพรรณไปพร้อมกัน

 

พิเศษสำหรับลูกค้าที่สั่งเมนูคอลแลบบอเรชัน หรือมียอดซื้อครบ 350 บาทขึ้นไป จะได้รับทันที Lancôme Génifique Ultimate Repair Gift Set มูลค่า 2,690 บาท ประกอบด้วย Génifique Ultimate Repair Serum 1 ml., Génifique Ultimate Repair Treatment และ Gift Voucher มูลค่า 500 บาท พบกันได้ตั้งแต่วันนี้จนถึง 14 พฤศจิกายน 2568 ที่ Thank You Cup ทุกสาขา ได้แก่ สยามพารากอน, เซ็นทรัลเวิลด์, เซ็นทรัลลาดพร้าว, เซ็นทรัลเมกาบางนา, วัน แบงค็อก, ชาน ดิอเวนิว แจ้งวัฒนะ 14 และคิงส์แควร์ คอมมูนิตี้มอลล์ อย่าพลาดโอกาสพิเศษนี้ที่จะได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ของการดูแลผิว ที่ให้คุณได้ทั้งความอร่อยและความงามในเวลาเดียวกัน#LancomexThankYouCup

 

ภาพ: Lancôme

The post Lancôme x Thank You Cup คอลแลบสุดปัง! ชวน Eat Your Skincare appeared first on THE STANDARD.

]]>
Cloud Skin หรือ Glow Skin คุณเหมาะกับเทรนด์ผิวแบบไหน? https://thestandard.co/life/cloud-skin-vs-glow-skin/ Fri, 17 Oct 2025 06:15:08 +0000 https://thestandard.co/?p=1131825 COVER - Cloud Skin Versus Glow Skin

เทรนด์ผิวสวย 2 แบบที่กำลังครองใจสาวๆ ทั่วโลกในขณะนี้ก็ค […]

The post Cloud Skin หรือ Glow Skin คุณเหมาะกับเทรนด์ผิวแบบไหน? appeared first on THE STANDARD.

]]>
COVER - Cloud Skin Versus Glow Skin

เทรนด์ผิวสวย 2 แบบที่กำลังครองใจสาวๆ ทั่วโลกในขณะนี้ก็คือเทรนด์ใหม่มาแรงอย่าง Cloud Skin และเทรนด์ผิวยอดนิยม Glow Skin แต่ละแบบก็มีเอกลักษณ์และเสน่ห์ที่แตกต่างกัน วันนี้ LIFE จะพาสาวๆ มาทำความรู้จักกับทั้งสองเทรนด์อย่างละเอียด เพื่อช่วยคุณค้นหาว่าลุคไหนเหมาะกับคุณมากที่สุด

 

Cloud Skin คืออะไร? 

 

Cloud Skin เป็นเทรนด์ผิวที่เน้นความนุ่มละมุน เนียนเรียบ เหมือนกับการสัมผัสเมฆที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า ลุคนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากผิวที่ดูมีสุขภาพดีตามธรรมชาติ โดยไม่ต้องการความเงางามมากเกินไป แต่ก็ไม่แห้งเกินไปเช่นกัน จุดเด่นของ Cloud Skin คือผิวจะดูมีเนื้อสัมผัสที่ละเอียดอ่อน ไม่มีรูขุมขนหยาบ หรือความไม่สม่ำเสมอของผิว สัมผัสได้ถึงความเนียนนุ่ม เปรียบเหมือนก้อนเมฆที่บางเบา

 

ทั้งนี้ Cloud Skin ความสมดุลระหว่างแมตต์และดิวอี้ จะไม่ใช่ผิวแมตต์ที่แห้งด้าน แต่เป็นการผสมผสานระหว่างฟินิชแมตต์กับความชุ่มชื้น ทำให้ผิวดูมีมิติ มีชีวิตชีวา แต่ไม่มันวาวจนเกินไป ช่วยให้เผยความเปล่งประกายจากภายใน แม้จะไม่มีความมันวาวบนผิว แต่ Cloud Skin จะมีความเปล่งประกายที่แผ่ออกมาจากชั้นผิวภายใน ทำให้ดูสุขภาพดีอย่างเป็นธรรมชาติ

 

ใครเหมาะกับ Cloud Skin? 

 

Cloud Skin เหมาะกับคุณถ้า

 

  • ชอบลุคธรรมชาติที่ไม่หวือหวา
  • มีผิวมันหรือผิวผสมที่ต้องการควบคุมความมัน
  • ทำงานในสภาพแวดล้อมที่เป็นทางการ ต้องการลุคสุภาพเรียบร้อย
  • ชอบเมกอัพแบบ Soft Makeup ที่ดูเป็นธรรมชาติ
  • อาศัยอยู่ในสภาพอากาศที่ร้อนชื้น ไม่อยากให้หน้ามัน

 

ผลิตภัณฑ์หลักสำหรับ Cloud Skin 

 

ครีมบำรุงผิวที่ให้ความชุ่มชื้น เลือกเนื้อครีมที่ซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ดี ไม่หนักหน้า ให้ความชุ่มชื้นแต่ไม่ทิ้งความมันบนผิว แนะนำเนื้อ Gel-Cream หรือ Lotion เบาบางส่วนรองพื้นเลือกแบบเนื้อเบาที่มอบการปกปิดปานกลางถึงสูง (Medium to Full Coverage) แต่ยังคงให้ผิวดูเป็นธรรมชาติ ไม่หนาเกินไป

 

แป้งฝุ่นแบบโปร่งแสง (Soft Powder) ใช้เซ็ตเมกอัพให้คงทน โดยไม่ทำให้ผิวดูแห้งหรือหนาเกินไป เลือกแป้งที่มีคุณสมบัติควบคุมความมันเล็กน้อย

 

เทคนิคการแต่งหน้าแบบ Cloud Skin 

 

เริ่มต้นด้วยการเตรียมผิวให้ชุ่มชื้นด้วยสกินแคร์ที่เหมาะสมกับสภาพผิว จากนั้นใช้ไพรเมอร์ที่ช่วยปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน ทารองพื้นแบบบางเบาด้วยฟองน้ำหรือแปรงผสมด้วยมือเบาๆ เพื่อให้ได้ฟินิชที่เป็นธรรมชาติ สุดท้ายเซ็ตด้วยแป้งฝุ่นเฉพาะบริเวณ T-zone หรือบริเวณที่มันง่าย

 

Glow Skin คืออะไร? 

 

Glow Skin เป็นเทรนด์ผิวที่เน้นความเปล่งประกาย สดใส ดูฉ่ำแบบมีชีวิตชีวา เหมือนผิวที่มีสุขภาพดีที่ได้รับการบำรุงอย่างดี ลุคนี้ได้รับอิทธิพลมาจาก K-Beauty โดยเฉพาะเทรนด์ Glass Skin หรือผิวใสดั่งกระจกที่เป็นที่นิยมในเกาหลีใต้

 

จุดเด่นของ Glow Skin 

 

จะเป็นลักษณะผิวดิวอี้ชุ่มชื้นอย่างเห็นได้ชัดเจน ผิวจะดูเปียกฉ่ำวาว เหมือนเพิ่งทาสกินแคร์เสร็จใหม่ๆ ให้ความรู้สึกสดชื่น อิ่มน้ำ

 

ใครเหมาะกับ Glow Skin? Glow Skin เหมาะกับคุณถ้า

 

  • ชอบลุคสดใส เปล่งประกาย
  • มีผิวแห้งหรือผิวปกติที่ต้องการเพิ่มความชุ่มชื้น
  • อยากให้ผิวดูอ่อนเยาว์ สดชื่น
  • ชอบเทรนด์ K-Beauty และลุค Glass Skin
  • ต้องการลุคที่เหมาะกับการถ่ายภาพ โดยเฉพาะในงานพิเศษต่างๆ
  • อาศัยอยู่ในสภาพอากาศที่แห้งหรือหนาวเย็น

 

ผลิตภัณฑ์หลักสำหรับ Glow Skin 

 

ไฮไลท์เตอร์ เป็นผลิตภัณฑ์สำคัญที่สุดสำหรับการสร้าง Glow Skin เลือกไฮไลท์เตอร์ที่ให้ความเงางามแบบ Radiant ไม่เป็นกากเกินไป Glow Oil หรือ Facial Oil น้ำมันบำรุงผิวจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและความเงางามให้กับผิว สามารถผสมกับรองพื้นหรือทาทับหน้าเมกอัพได้ Dewy Setting Spray สเปรย์เซ็ตเมกอัพแบบดิวอี้จะช่วยให้เมกอัพคงทนและรักษาความเปล่งประกายไว้ตลอดวัน Hydrating Primer ไพรเมอร์ที่เน้นความชุ่มชื้นจะช่วยเตรียมผิวให้พร้อมสำหรับเมกอัพแบบโกลว

 

เทคนิคการแต่งหน้าแบบ Glow Skin 

 

เริ่มต้นด้วยการบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นสุดๆ ด้วยเซรั่มและครีมบำรุงที่เน้นไฮยาลูโรนิกแอซิด ใช้ไพรเมอร์แบบดิวอี้ก่อนทารองพื้น เลือกรองพื้นสูตรน้ำหรือคุชชั่นที่ให้ความชุ่มชื้น ทาไฮไลท์เตอร์บนโหนกแก้ม สันจมูก และคาง สุดท้ายพ่นดิวอี้เซ็ตติ้งสเปรย์เพื่อล็อกความเงางามไว้
คุณเหมาะกับสไตล์ไหน?

 

ทั้ง Cloud Skin และ Glow Skin ล้วนเป็นเทรนด์ที่สวยงามในแบบของตัวเอง การเลือกขึ้นอยู่กับ

 

  • สภาพผิวของคุณ
  • ไลฟ์สไตล์และงานที่ทำ
  • สภาพอากาศในพื้นที่ที่อาศัยอยู่
  • ความชอบส่วนบุคคล

 

สิ่งสำคัญที่สุดคือการมีผิวที่สุขภาพดีเป็นพื้นฐาน ไม่ว่าจะเลือกเทรนด์ไหน การดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ กินอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำเพียงพอ และพักผ่อนให้เพียงพอ จะช่วยให้คุณได้ผิวสวยที่ต้องการ

 

ภาพ: Shutterstock

The post Cloud Skin หรือ Glow Skin คุณเหมาะกับเทรนด์ผิวแบบไหน? appeared first on THE STANDARD.

]]>
Living Quality ของแตงโม-กิตติพร โรจน์วณิช ความสุขคือการ ‘พอใจ’ ในทุกการเดินทางของชีวิต https://thestandard.co/life/living-quality-tangmo-kittiporn/ Thu, 16 Oct 2025 10:00:40 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1131608 Living Quality ของ แตงโม-กิตติพร โรจน์วณิช ความสุขคือการ ‘พอใจ’ ในทุกการเดินทางของชีวิต

ในจังหวะชีวิตที่ผู้คนต่างพยายามวิ่งหาความมั่นคงและ ‘ควา […]

The post Living Quality ของแตงโม-กิตติพร โรจน์วณิช ความสุขคือการ ‘พอใจ’ ในทุกการเดินทางของชีวิต appeared first on THE STANDARD.

]]>
Living Quality ของ แตงโม-กิตติพร โรจน์วณิช ความสุขคือการ ‘พอใจ’ ในทุกการเดินทางของชีวิต

ในจังหวะชีวิตที่ผู้คนต่างพยายามวิ่งหาความมั่นคงและ ‘ความสำเร็จ’ ตามกรอบของสังคม มีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่เลือกที่จะสนุกกับการเดินทางของชีวิตที่ไร้ขีดจำกัด โดยไม่จำเป็นต้องมีเส้นทางอาชีพที่ชัดเจน แต่ใช้สกิลที่รักในการขับเคลื่อนชีวิตและความฝันของตัวเอง LIFE จะชวนผู้อ่านมาสำรวจมุมมองของผู้หญิงที่ชื่อ แตงโม-กิตติพร โรจน์วณิช เธอคนนี้เป็นทั้งนักแสดง ผู้ชนะ Stand-Up Comedy และเป็นยูทูบเบอร์ ผู้ที่นิยามตัวเองเป็น ‘นักเล่าเรื่อง’ ที่รักอิสระและเป็นตัวของตัวเอง 100% โดยค้นพบว่าความพอใจในชีวิตคือ Living Quality ที่ดีที่สุด

 

นิยามของ ‘นักเล่าเรื่อง’ และการเป็น ‘เป็ด’ ที่สร้างสรรค์

 

ครั้งหนึ่งแตงโม เคยนิยามตัวเองว่าเป็น ‘เป็ดที่ยังไม่แน่ใจว่าชีวิตจะไปทางไหน’ และชอบทำอะไร 100 อย่าง ไม่ชอบทำอะไรซ้ำๆ นิยามของ ‘ความเป็นเป็ด’ นี้ได้สะท้อนตัวตนและวิธีการใช้ชีวิตของเธอได้อย่างชัดเจน แม้จะอยู่ในหลายบทบาทก็ตาม
“สำหรับตัวเองก็อาจจะไม่ได้มีชื่อของ career ชัดเจนในแง่ที่ว่า ถูกเรียกเป็นคุณครู หรือเป็นหมออะไรอย่างนี้ แต่เราก็รู้สึกว่าเราเหมือนเป็นนักเล่าเรื่อง เพราะว่าสำหรับเรา พอเราเป็นนักเล่าเรื่องใช่ไหม สิ่งที่เราทำได้ก็มีหลายอย่าง แล้วทุกงานที่เราทำเกือบทุกงานที่เราทำ เรารู้สึกว่ามันดู random มาก แต่ทุกงานที่เรากระโจนเข้าไป
ก็คือ Element ของการเล่าเรื่องทั้งนั้น เราเคยทำคอลัมนิสต์ เคยเป็นคนสัมภาษณ์ เคยทำงานเบื้องหลัง เป็นครีเอทีฟ เป็นทีมสร้างสตอรี่ในเกมโชว์ เรียกว่าทุกอันเราต้องใช้สกิลเล่าเรื่องหมดเลย การเป็นนักแสดง เป็นคอเมเดียน หรือยูทูบเบอร์ มันก็คือการเล่าเรื่องหมด และมันเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนของเรา”

 

การเดินทางสู่ Living Quality เหรียญสองด้านของชีวิตในอเมริกา

 

การได้ออกเดินทางไปใช้ชีวิตในต่างแดนเพียงลำพัง ได้ให้อิสระและความรับผิดชอบที่หลากหลาย ทำให้มุมมองต่อชีวิตของแตงโมเปลี่ยนไป
“การไปอยู่ที่อเมริกา มันเป็นการไปอยู่เมืองนอกด้วยตัวคนเดียวครั้งแรก ก็มีความตื่นเต้น มีความแปลกใหม่ มีอิสระอะไรอย่างนี้ แต่ก็มีอีกอันหนึ่งก็คือก็เหมือนต้องมีความรับผิดชอบ มีภาระมากขึ้น เราต้องดูแลตัวเองให้ได้ด้วยค่ะ ที่นั่นทำให้เราได้เจอเพื่อนใหม่ มี culture shock อะไรต่างๆ มากมาย ทั้งเรื่องที่อยู่อาศัย ที่เราต้องไปอยู่หอพัก ในห้องมีหน้าต่าง เล็กๆ ทำให้เราชอบที่จะออกไปข้างนอก ไปเสพชีวิตแบบเอาต์ดอร์ พอเรียนจบก็ต้องย้ายออกมา ต้องหาวีซ่า ต้องหางาน เพื่อรองรับค่าใช้จ่ายต่างๆ ช่วงเปลี่ยนผ่านตรงนี้มันทำให้เราเคว้งเหมือนกัน ช่วงแรกๆ ไม่ได้เลยก็พยายามอย่างหนัก”

 

พื้นที่ที่น่าอยู่ที่สุด บางครั้งมันก็แค่ความธรรมดาที่มีความสุข



แตงโมยอมรับว่าแม้จะเคยใฝ่ฝันอยากจัดบ้านให้สวยงามเหมือนในนิตยสาร อยากออกแบบเอง อยากเลือกของทุกอย่างมาวางด้วยตัวเอง แต่ในที่สุดเธอก็ค้นพบความหมายที่แท้จริงของบ้านที่สุขที่สุดในแบบของเธอ
“ตอนแรกเราก็เคยเป็นคนหนึ่งที่อยากจัดบ้านให้ดูดี อยากมีบ้านสวยๆ ตามใจเรา แต่ด้วยความที่บ้านอยู่กันเยอะ ตอนนั้นมีทั้งพ่อ แม่ พี่สาว อะไรอย่างนี้ ฝันของเราเลยทำได้ยาก แต่สุดท้ายก็ค้นพบว่า จริงๆ แล้ว บ้านที่น่าอยู่ที่สุดคือบ้านที่มีพ่อของเราอยู่ ปัจจุบันคุณพ่อเสียแล้ว เราก็คงสภาพบ้านของเราไว้เหมือนเดิม ทุกอย่างมันมีเรื่องราว มีคุณค่า มีร่องรอยทุกอย่างของพ่อเราอยู่ตรงนั้น นั่นเป็นครั้งแรกที่เราค้นพบว่าความธรรมดาที่เคยเป็น นั่นต่างหากคือความสุขของเราจริงๆ ทุกวันนี้เราแบบไม่ได้แคร์เลยนะว่าบ้านจะมีหน้าตาเป็นยังไง มันจะรกไหม มันจะตกแต่งสวยไหม สุดท้ายเราก็พอใจกับบ้านของเราที่อยู่มาตั้งแต่เกิด”

 

ช่วงเวลา Living Quality ฉบับแตงโม


“เวลานึกถึงคำว่า Living Quality มักจะย้อนไปคิดถึงเป็นช่วงวัยเด็ก ซึ่งมันชัดเจนมาก เราจำได้ว่าบ้านเรามีบรรยากาศที่คึกคักนะ แบบว่าคุณพ่อ คุณแม่ มีพี่สาวเรา มีน้องหมา เรารู้สึกก็รู้สึกว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีมากเลย เราใช้ชีวิตอยู่บนบ้านชั้นสอง อยู่ๆ นึกจะวิ่งลงบันไดมาส่องดูพ่อแม่ที่นั่งเล่นอยู่ข้างล่างแวบหนึ่ง มันก็มีความสุขแล้วอะ แค่ได้ลงมากินข้าวเย็นด้วยกันทุกวันอะไรอย่างนี้ นึกออกไหม สำหรับเรามันคือความธรรมดาที่มีความสุข”

 

Activities to Inspire การเคลื่อนไหวในพื้นที่ที่เป็นอิสระ


ในฐานะนักสร้างสรรค์ที่ไม่ชอบความหยุดนิ่ง แตงโมชอบที่จะใช้พื้นที่รอบตัวในการสร้างแรงบันดาลใจและเป็นแหล่งพักใจ
“เราเป็นคนไม่หยุดนิ่ง ชอบแสดงออก ชอบที่จะแบบเคลื่อนไหว บางทีตอนเราทำงาน มันจะเป็นแบบ Improvise ตลอดเวลา เราเป็นคนที่ทำงานได้ทุกที่เลยนะ ไม่ว่าจะเป็นระหว่างการเดินทาง อยู่นอกบ้าน ระหว่างนั่งรอรถ หรือยืนรอ BTS ทุกที่เราสามารถใช้เวลาที่มีในการคิดงาน หรือทำงานไปด้วยได้ อาจจะเพราะเราชินเวลาอยู่เมืองนอก รอบตัวมันจะมีเสียงรายล้อมปนเปกันไปหมด ถ้าเราโฟกัสหรือตั้งใจจดจ่อกับงานตรงหน้า แม้คนข้างๆ จะคุยกับเราก็จะไม่ได้ยินเสียงเขาเลย”

 

กิจกรรมที่ช่วยเยียวยาใจในวันที่เหนื่อยล้า


เราก็แปลกใจตัวเองเหมือนกันนะ ที่เวลานึกย้อนไปถามตัวเองว่าเวลาเครียดๆ มักจะทำอะไร ปรากฏว่าเราเห็นตัวเองแบบอยู่ในครัว เอาจานชามมาล้าง มันเป็นสิ่งหนึ่งที่เรารู้สึกว่าที่อเมริกา เราอาศัยอยู่บ้านเพื่อน เราก็อยากทำอะไรที่เป็นประโยชน์เพื่อตอบแทนคนอื่นได้ด้วยไง แค่รู้สึกว่า เออ ไปเห็นจานชามกองอยู่แล้วก็ไปจัดการมันซะแบบอัตโนมัติ อีกพื้นที่ที่เราชอบคือชีวิตนอกบ้าน ที่ที่มีคนเยอะๆ”

 

 

พื้นที่ส่วนตัวที่แท้จริง อาจไม่ต้องสมบูรณ์แบบ

 

“พื้นที่อยู่อาศัยที่ตรงกับใจเราที่สุด มันอาจจะหมายถึงพื้นที่เป็นไปตามกาลเวลา ประกอบกับการใช้ชีวิตของเราด้วย เช่น มันอาจจะมีช่วงที่รกรุงรัง แล้วมันก็จะมีช่วงที่สะอาด คือหมายถึงว่าห้องมันจะเป็นไปตามการใช้ชีวิตและทำกิจกรรมของเรา ไม่ใช่ว่าตรงนั้นห้ามรก ห้ามวางโน่นวางนี่ เราจะไม่พารานอยด์จนเกินไป เพราะนี่คือพื้นที่ของเราจริงๆ ในวันนี้ แม้ชีวิตจะไม่ได้สมบูรณ์แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็พบความสุขและคำจำกัดความของ Living Quality ในแบบของตัวเองแล้วว่าเราแค่พอใจกับสิ่งที่เราเลือกได้ พอใจกับสิ่งที่เราเลือกที่จะเป็น แค่ทุกวันนี้ได้ลองทำและเป็นนักเล่าเรื่องหลายๆ แบบ มีความตื่นเต้น มีความสนุกที่จะลองอะไรใหม่ๆ โดยที่ไม่ต้องมานั่งคิดเยอะ เราก็แค่ใช้ชีวิตไป แค่นี้ทุกวันก็มีความสุขแล้วค่ะ เราอาจจะเรียกว่า Living Quality ในแบบของเราคือความพอใจในชีวิตที่เป็น ถ้าเราเลือกแล้วก็แสดงว่าก็ต้องพอใจเราสิ แล้วมันจะไม่ดีได้ยังไงล่ะ?”
การมีพื้นที่ที่ช่วยส่งเสริมการค้นหาความสุขในแบบของคุณเอง ไม่ว่าจะเป็นมุมสงบๆ สำหรับการพักผ่อนหรือพื้นที่สำหรับทำกิจกรรมที่คุณรัก ลองสร้าง Living Quality ในแบบของคุณเอง ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่แบบไหน เงียบ หรือวุ่นวาย แต่ถ้ามันตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่ใช่สำหรับคุณ นั่นก็อาจเป็นความธรรมดาที่นำความสุขมาให้ก็ได้นะ

 

 

The post Living Quality ของแตงโม-กิตติพร โรจน์วณิช ความสุขคือการ ‘พอใจ’ ในทุกการเดินทางของชีวิต appeared first on THE STANDARD.

]]>