LIFE | BODY & MIND – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Thu, 21 Nov 2024 04:34:42 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ทำไมเปปไทด์คือกุญแจสำคัญแห่งผิวอ่อนเยาว์ https://thestandard.co/life/pepticology-no7-future-renew Thu, 21 Nov 2024 04:34:42 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1011031 เปปไทด์

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาวงการความงามได้เห็นการเติบโตอย่า […]

The post ทำไมเปปไทด์คือกุญแจสำคัญแห่งผิวอ่อนเยาว์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เปปไทด์

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาวงการความงามได้เห็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของนวัตกรรมการย้อนวัยผิว สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในพฤติกรรมผู้บริโภคและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ความงาม การที่ประชากรทั่วโลกมีอายุเฉลี่ยสูงขึ้น ประกอบกับความต้องการที่จะดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้ผู้บริโภคมองหาทางเลือกใหม่ๆ ในการดูแลผิว โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพสูงแต่ไม่ต้องผ่านการทำทรีตเมนต์ที่รุกล้ำ

 

ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์เผยให้เห็นการค้นพบใหม่ๆ อย่างเทคโนโลยี Pepticology™ ของ No7 Future Renew ที่ใช้เปปไทด์ธรรมชาติในการฟื้นฟูผิว สะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นเกี่ยวกับกลไกการทำงานของผิว การที่ผลิตภัณฑ์สามารถแสดงผลลัพธ์ที่ชัดเจนภายใน 4 สัปดาห์ พร้อมแก้ปัญหาผิว 5 ด้านในคราวเดียว ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการเห็นผลลัพธ์ที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

 

 

รู้จักนวัตกรรม Pepticology™

สิ่งที่น่าสนใจของ No7 Future Renew คือการนำเสนอโซลูชันการดูแลผิวแบบครบวงจร ตั้งแต่เซรั่ม เดย์ครีม ไนต์ครีม อายครีม ไปจนถึงครีมกันแดด ที่ทุกไอเท็มได้รับการพัฒนาด้วยนวัตกรรม Pepticology™ ซึ่งเป็นการผสานพลังของเปปไทด์ 2 ชนิด ได้แก่ คอลลาเจนเปปไทด์ และอีลาสติกไฟเบอร์เปปไทด์ ซึ่งมีอยู่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ No7 Future Renew ที่ตอบโจทย์ทั้งการป้องกันและการแก้ไขปัญหาผิว

 

ทำไมเปปไทด์จึงเป็นกุญแจสำคัญแห่งผิวอ่อนเยาว์

 

เภสัชกรหญิงณญาตา ลาภอาภารัตน์ อธิบายว่า เปปไทด์เป็นกรดอะมิโนที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในผิวหนัง เป็นส่วนประกอบสำคัญของโปรตีนที่ผิวต้องการ โดยเฉพาะคอลลาเจน เมื่อเราอายุมากขึ้นการผลิตคอลลาเจนจะลดลง ส่งผลให้เกิดริ้วรอยและสัญญาณแห่งวัย การนำเปปไทด์มาใช้ในสกินแคร์จึงเป็นการเติมเต็มสิ่งที่ผิวขาดหายไป



 

เปปไทด์คือสารประกอบโปรตีนขนาดเล็กที่มีบทบาทสำคัญในการดูแลผิว โดยจะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของเซลล์ผิวให้ผลิตคอลลาเจนและอีลาสติน ซึ่งเป็นโปรตีนที่ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นและเต่งตึง นอกจากนี้ เปปไทด์ยังช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวที่ถูกทำลายจากมลภาวะและแสงแดด ปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระ ช่วยให้ผิวดูสว่างใสขึ้น ลดเลือนรอยดำ รอยแดง และยังมีคุณสมบัติในการลดการอักเสบของผิวอีกด้วย ด้วยคุณสมบัติอันหลากหลายทำให้เปปไทด์กลายเป็นส่วนผสมสำคัญในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ช่วยชะลอวัยและฟื้นฟูผิวให้กลับมาแข็งแรง


 

เปปไทด์เหมาะกับผิวแบบไหน


เปปไทด์เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ริ้วรอย ผิวแพ้ง่าย หรือต้องการฟื้นฟูผิวให้ดูอ่อนเยาว์ อย่างไรก็ตาม ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีเปปไทด์หลายชนิด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ครอบคลุม และควรปรึกษาเภสัชกรหรือผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวของตนเอง



ทิศทางของนวัตกรรมย้อนวัยผิว

หากมองไปข้างหน้า แนวโน้มของนวัตกรรมย้อนวัยผิวจะยิ่งเติบโตและพัฒนาต่อไป โดยเน้นการผสมผสานระหว่างวิทยาศาสตร์และธรรมชาติ มุ่งเน้นทั้งการป้องกันและการแก้ไข พร้อมพัฒนาเทคโนโลยีที่ให้ผลลัพธ์รวดเร็วและยั่งยืนมากขึ้น การเปิดตัวของ No7 Future Renew จึงไม่เพียงเป็นการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ แต่ยังเป็นการตอกย้ำถึงทิศทางของวงการความงามที่กำลังก้าวไปสู่ยุคใหม่ของการดูแลผิวที่ทั้งล้ำสมัยและเข้าถึงได้

 

 

 

การที่ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงนวัตกรรมระดับโลกในราคาที่จับต้องได้ผ่านช่องทางที่สะดวกทั้งร้านค้าและออนไลน์ ยิ่งตอกย้ำว่าอนาคตของการดูแลผิวจะเป็นการผสมผสานระหว่างนวัตกรรมล้ำสมัยและความสะดวกในการเข้าถึง ทำให้การมีผิวสวยอ่อนเยาว์ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป ผู้ที่สนใจสามารถหาซื้อได้ที่ร้าน Boots ทุกสาขา หรือช้อปออนไลน์ผ่าน Boots App, Lazada และ Shopee เพื่อสัมผัสประสบการณ์การดูแลผิวในระดับพรีเมียมที่ทุกคนเข้าถึงได้

 

ภาพ: Courtesy of Brand, Shutterstock

 

The post ทำไมเปปไทด์คือกุญแจสำคัญแห่งผิวอ่อนเยาว์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทะเลาะกันแล้วเงียบ ตกลงเป็นวิธีที่ดีหรือทำลาย? https://thestandard.co/life/silent-treatment-in-relationships Wed, 20 Nov 2024 09:13:47 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1010773

คู่รักล้วนมีวันที่ดีและมีวันที่เผลอร้ายใส่กัน โดยเฉพาะใ […]

The post ทะเลาะกันแล้วเงียบ ตกลงเป็นวิธีที่ดีหรือทำลาย? appeared first on THE STANDARD.

]]>

คู่รักล้วนมีวันที่ดีและมีวันที่เผลอร้ายใส่กัน โดยเฉพาะในสถานการณ์ทะเลาะกันบางคนเลือกที่จะเงียบ จากการศึกษาของ Dr.John Gottman ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาความสัมพันธ์พบว่า “การเงียบในยามขัดแย้งมีได้ทั้งด้านบวกและลบ ขึ้นอยู่กับวิธีการและจุดประสงค์ของการเงียบนั้น”

 

หลายคนเลือกที่จะเงียบเพื่อ Time out ให้ตัวเอง นี่เป็นการเงียบที่สร้างสรรค์ เพราะเป็นการขอเวลาสงบสติอารมณ์ ทบทวนความคิด และจัดการกับความรู้สึกของตัวเอง แต่สิ่งสำคัญคือต้องบอกคู่สนทนาว่าเราต้องการเวลา และควรกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจน เช่น 30 นาที เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกถูกทอดทิ้งหรือกังวล แต่ในทางกลับกันการเงียบก็อาจกลายเป็นอาวุธทำร้ายความสัมพันธ์ได้เช่นกัน

 


 

ความอันตรายของการสร้างกำแพงด้วยความเงียบ

 

การ Stonewalling หรือการสร้างกำแพงด้วยความเงียบ ซึ่งเป็นการปฏิเสธการสื่อสารโดยสิ้นเชิง หรือ Silent Treatment การเงียบเพื่อลงโทษอีกฝ่าย พฤติกรรมเหล่านี้สามารถสร้างความเจ็บปวดและทำลายความไว้วางใจในความสัมพันธ์ได้อย่างรุนแรง

 

จะรู้ได้อย่างไรว่าเงียบแล้วจะนำไปสู่ด้านบวกหรือลบ

 

สังเกตได้จากพฤติกรรมและผลลัพธ์ การเงียบที่ดีจะนำไปสู่การสื่อสารที่ดีขึ้น มีการกลับมาพูดคุยกันอย่างสร้างสรรค์ ใช้ I message ที่บอกความรู้สึกของตัวเอง แทนที่จะกล่าวโทษอีกฝ่าย

 

ยกตัวอย่างเช่น

 

สมมติว่าแฟนกลับบ้านดึก

❌ แบบกล่าวโทษ: “เธอทำตัวแย่มาก ไม่เคยคิดถึงใจคนรออยู่ที่บ้านเลย”

✅ แบบ I message: “ถ้าเธอกลับดึกดื่นแบบนี้อยากให้บอกล่วงหน้าหน่อยนะ เพราะรู้สึกไม่สบายใจและเป็นห่วง”

 

สมมติว่าแฟนลืมวันสำคัญ

❌ แบบกล่าวโทษ: “สมองจำอะไรไม่ได้เลยนะ! วันสำคัญทั้งทีกลับลืมเฉย ใจร้ายมากๆ”

✅ แบบ I message: “วันนี้เป็นวันครบรอบนะ เรารู้สึกเสียใจที่ไม่ได้ฉลองด้วยกัน หวังว่าครั้งหน้าจะได้ฉลองวันสำคัญนี้ด้วยกันนะ”

 

คู่ความสัมพันธ์ที่ดีควรตกลงกติกาการทะเลาะไว้ล่วงหน้า รวมถึงวิธีจัดการกับช่วงเวลาที่ต้องการความเงียบ เมื่อฝ่ายหนึ่งขอเวลา อีกฝ่ายควรให้เกียรติและเคารพการตัดสินใจนั้นโดยไม่กดดันให้พูดคุยทันที รอจนกว่าทั้งสองฝ่ายพร้อมที่จะสื่อสารอย่างสร้างสรรค์

 

จริงๆ แล้วเราอยากบอกว่าการเงียบก็ไม่ได้เลวร้ายเสมอไป หากเงียบพอดี มีขอบเขต และมีเป้าหมายที่ชัดเจน ก็สามารถเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คู่ความสัมพันธ์เข้าใจกันมากขึ้น แต่ถ้าใช้การเงียบเป็นอาวุธหรือหลบหนีปัญหา ก็อาจกลายเป็นตัวทำลายความสัมพันธ์ในระยะยาวได้ ดังนั้นเมื่อเกิดความขัดแย้ง ลองถามตัวเองก่อนว่าเราเงียบเพื่ออะไร และการเงียบของเราจะนำไปสู่การแก้ปัญหาหรือสร้างปัญหาเพิ่ม

 

The post ทะเลาะกันแล้วเงียบ ตกลงเป็นวิธีที่ดีหรือทำลาย? appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘ปวดตัว’ ทุกวันไม่ใช่เรื่องปกติ! เจาะลึกสาเหตุโรคปวดตัวของคนเมือง https://thestandard.co/life/body-pain Tue, 19 Nov 2024 06:48:08 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1010349 ปวดตัว

อาการปวดเมื่อยเป็นอีกหนึ่งอาการที่ชาวออฟฟิศและชาวคนเมือ […]

The post ‘ปวดตัว’ ทุกวันไม่ใช่เรื่องปกติ! เจาะลึกสาเหตุโรคปวดตัวของคนเมือง appeared first on THE STANDARD.

]]>
ปวดตัว

อาการปวดเมื่อยเป็นอีกหนึ่งอาการที่ชาวออฟฟิศและชาวคนเมืองแทบทุกคนต้องประสบบ่อยๆ ในบางครั้งไม่มีสาเหตุชัดเจน บางครั้งหายไปเอง แต่ก็กลับมามีอาการแบบไม่เฉพาะเจาะจงอยู่ตลอด โดยเฉพาะอาการปวดเมื่อยไปทั้งตัวที่ทำให้รบกวนการใช้ชีวิต และแม้กระทั่งการพักผ่อนก็ยังไม่สามารถทำได้สบายอย่างที่คิด

 

อาการปวดเมื่อยไปทั้งตัวแบบไม่เฉพาะเจาะจงนั้นโดยทั่วไปมีสาเหตุไม่ชัด โดยที่อาจจะไม่ทราบสาเหตุไปจนถึงเป็นสัญญาณของโรค หรืออาการของโรคต่างๆ ได้ ดังนั้นการรู้จักอาการปวดเมื่อยจึงมีความสำคัญเพื่อให้สามารถจัดการและแก้ไขได้อย่างถูกต้อง อีกทั้งอาจช่วยให้สามารถวินิจฉัยความผิดปกติอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องได้

 


 

ลักษณะของอาการปวดตัวแบบไม่เฉพาะเจาะจงมีอะไรบ้าง

 

อาการปวดตัวที่ไม่เจาะจงนั้นมักจะไม่รุนแรงจนทำให้ใช้ชีวิตไม่ได้ แต่จะสร้างความรำคาญและรบกวนใจในการทำกิจกรรมต่างๆ ทั้งทำงาน, ออกกำลังกาย, เล่นกีฬา, ไปเที่ยว หรือการนอน อาการทางกายเหล่านี้จะแสดงออกได้ตั้งแต่อาการปวดกล้ามเนื้อ, ปวดข้อต่อ, ปวดเส้นเอ็น, ข้อต่อตึงติดขยับไม่คล่อง หรือบางครั้งรู้สึกอ่อนเพลียจนดูเหมือนไม่มีแรง เป็นต้น โดยทั่วไปอาการเหล่านี้หากเกิดที่จุดใดจุดหนึ่งในร่างกายก็มักจะมีสาเหตุที่ชัดเจน แต่เมื่อเกิดในหลายๆ จุดของร่างกายพร้อมๆ กันก็จะทำให้เกิดความไม่ชัดเจนในสาเหตุขึ้น

 

สาเหตุของอาการปวดตัวแบบไม่เฉพาะเจาะจงมีอะไรบ้าง

 

สาเหตุที่พบได้บ่อยของอาการปวดตัวในชาวออฟฟิศและชาวคนเมืองในยุคนี้ มักเกิดจากการใช้ร่างกายที่หักโหมหรือต่อเนื่องยาวนานโดยไม่รู้ตัว เนื่องจากเทรนด์การใช้ชีวิตที่ Productive งานต้องดี กิจกรรมต้องเด่น ครอบครัวก็ต้องดูแล เป็นต้น ทำให้หลายๆ ครั้งเกิดความเคร่งเครียด และการฝืนใช้ร่างกายในการทำงานหรือกิจกรรมต่างๆ โดยไม่มีการหยุดพักที่เพียงพอ เมื่อถึงจุดหนึ่งจึงเกิดความล้าของกล้ามเนื้อ, ข้อต่อ, เส้นเอ็น และระบบต่างๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบของฮอร์โมน เช่น Growth Hormone ซึ่งมีผลต่อนาฬิกาชีวิตที่ให้ร่างกายฟื้นฟูไม่ทัน ทำให้ร่างกายที่ต้องการการหยุดพักแสดงออกด้วยการอ่อนล้า นอนไม่หลับ หัวใจเต้นเร็ว และหลายครั้งก็มีอาการปวดตามตัวเกิดขึ้น ซึ่งเชื่อว่าเกิดจากการที่ร่างกายสะสมของเสียไว้ในร่างกาย และขับออกจากร่างกายในช่วงที่การพักผ่อนไม่เพียงพอนั่นเอง

 

สาเหตุอื่นของอาการปวดตัว

 

สาเหตุอื่นๆ ที่มักทำให้พบอาการปวดตัวร่วมกันได้บ่อย เช่น การออกกำลังกายหนัก การทำกิจกรรมหนักกว่าที่เคยทำ เช่น ไปเที่ยวเดินป่าปีนเขา การเป็นไข้ไม่สบายโดยเฉพาะที่เกิดจากไวรัส เช่น ไข้เลือดออก ไข้หวัดใหญ่ ฯลฯ และที่พบมากขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาก็คือ หลังจากการติดเชื้อ COVID ที่หลายๆ คนมีอาการ Long COVID โดยหากเกิดจากสาเหตุเหล่านี้อาการปวดตัวมักจะเกิดแบบเฉียบพลันหรือกึ่งเฉียบพลันจากสิ่งกระตุ้นดังกล่าว

 

ส่วนของโรคภัยที่รุนแรงและทำให้เกิดอาการปวดตามเนื้อตัวได้ เช่น การติดเชื้อบางชนิด (เช่น วัณโรค ฯลฯ) หรือโรคมะเร็งนั้นมักจะมีอาการอื่นๆ มาเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลดโดยไม่ได้ตั้งใจ บางครั้งอาจมีไข้ต่ำๆ ช่วงกลางคืน และอาจมีอาการอื่นๆ ตามบริเวณของรอยโรคร่วมด้วย เช่น อาการไอมาก อาการถ่ายเป็นเลือด อาการท้องผูกสลับท้องเสีย ฯลฯ ทั้งนี้ลักษณะของอาการปวดตัวจากสาเหตุนี้มักจะค่อยๆ เกิดและเป็นแบบเรื้อรัง

 

อีกหนึ่งสาเหตุที่ลืมไม่ได้ที่ทำให้เกิดอาการปวดตัวแบบเรื้อรังก็คือสาเหตุทางจิตใจอย่าง ภาวะเครียด, วิตกกังวล, นอนไม่หลับ หรือมีอาการของโรคซึมเศร้า ก็สามารถทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยตามเนื้อตัวแบบไม่เฉพาะเจาะจงได้ ผ่านกลไกทางสารสื่อประสาทที่มีผลทั้งทางใจและแสดงออกทางร่างกาย

 

ทำไมจึงพบอาการปวดตัวได้บ่อยในคนวัยทำงาน

 

เนื่องจากการทำงานกินเวลาเป็นส่วนมากของชีวิต และทำให้แทบทุกคนต้องอยู่ในท่าทางเดิมๆ ซ้ำๆ วันละหลายๆ ชั่วโมงติดต่อกันหลายวัน ไม่ค่อยได้ขยับไปไหน หรือทำกิจกรรมอื่นๆ เพื่อผ่อนคลาย เมื่อเลิกงานก็ต้องออกไปเจอมลภาวะมากมายที่เสริมความตึงเครียดของระบบร่างกายอื่นๆ อีกด้วย

 

ไม่เพียงแค่พนักงานออฟฟิศ แต่รวมถึงเจ้าของกิจการ, พนักงานขาย, คนขับรถ หรือผู้ที่ทำงานค้าขายโดยเฉพาะทางออนไลน์ที่มีพฤติกรรมเดิมๆ ทุกวัน หากตัดเรื่องความเครียดในการทำงานแล้ว ก็มีสิ่งที่เหมือนกันคือกล้ามเนื้อและข้อต่อจะต้องรับภาระเป็นเวลานานมากกว่าปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าท่าทางการนั่ง ยืน เดินไม่เหมาะสมตามหลักการยศาสตร์ซึ่งยิ่งทำให้เกิดความล้าของโครงสร้างจนติดต่อลามไปทั่วๆ ตัว และทำให้เกิดอาการปวดตามตัวได้ไม่ยาก

 

ทั้งนี้ หากทำงานเป็นกะซึ่งทำให้เวลาในการกินและนอนพักผ่อนไม่แน่นอนจะยิ่งส่งผลกระทบต่อนาฬิกาชีวิต และทำให้ระบบฮอร์โมนในร่างกายเกิดความผิดปกติ จนทำให้เกิดอาการต่างๆ รวมถึงทำให้อาการปวดตามตัวชัดและเรื้อรังมากขึ้น

 

จะทำอย่างไรเมื่อมีอาการ ปวดตัว แบบไม่เจาะจงนี้

 

เมื่อเริ่มมีอาการปวดตามตัวทั่วๆ เกิดขึ้นมีคำแนะนำดังนี้

 

  1. หยุดพักและสำรวจกิจกรรมของตัวเอง โดยเฉพาะกิจวัตรประจำวันซึ่งหากแน่นมากเกินไป อาจลองปรับให้มีเวลาในการพักผ่อนมากขึ้น หรือแม้เพียงให้มีการขยับร่างกายมากขึ้นก็สามารถช่วยได้ หากล้ามากก็ไม่ต้องรู้สึกผิดกับการลาป่วยหรือลาพักผ่อนเพื่อชาร์จแบตเตอรี่ของร่างกายกลับมา

 

  1. สำรวจร่างกายว่ามีความผิดปกติร่วมด้วยหรือไม่ โดยเฉพาะอาการเบื่ออาหาร, น้ำหนักลด, กิจวัตรการกิน-นอน, การขับถ่าย และอาการอื่นๆ ในระบบต่างๆ เช่น ระบบทางเดินหายใจ, ระบบผิวหนัง (ผื่นผิดปกติ ผมร่วง), ระบบทางเดินอาหาร และในเพศหญิงอย่าลืมสังเกตลักษณะของรอบเดือน ฯลฯ หากพบความผิดปกติเหล่านี้ควรพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง

 

หากอาการปวดนั้นเป็นมากในบางบริเวณ เช่น ปวดหลังและมีอาการร้าวลงขา หรือเป็นตามข้อต่อต่างๆ ที่จับจุดได้ค่อนข้างชัด ควรพบแพทย์เฉพาะทางกระดูกและข้อ แพทย์อายุรกรรมโรคข้อ หรือแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูเพื่อให้ตรวจอย่างละเอียดและให้การรักษาที่ถูกต้อง อีกทั้งไม่ให้เกิดความเรื้อรังในระยะยาว

 

หากอาการปวดรบกวนการพักผ่อน หรือปวดจนนอนไม่ได้ หรือต้องตื่นมาเพราะปวด และมีอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อจนเดินไม่ได้ อาการปวดร่วมกับอาการเหล่านี้มักจะมีสาเหตุที่ควรได้รับการวินิจฉัยอย่างทันที เพราะมักเกี่ยวข้องกับโรคที่ร้ายแรง

 

การออกกำลังกายสามารถช่วยลดอาการปวดตามตัวได้อย่างไร

 

หากอาการปวดตัวนั้นไม่รุนแรงและไม่มีลักษณะที่ควรพบแพทย์อย่างเร่งด่วนนั้น นอกเหนือจากการจัดตารางชีวิตให้สมดุลและมีการพักผ่อนมากขึ้นแล้ว การออกกำลังกายก็สามารถช่วยรักษาอาการปวดตามตัวที่เกิดจากพฤติกรรมหรือความเครียดได้ ทั้งนี้ ต้องทำอย่างถูกต้องพอดีเพื่อไม่ให้เกิดอาการปวดตัวมากขึ้น การออกกำลังกายเพื่อการรักษาอาการปวดตามตัวสามารถแบ่งออกได้ ดังนี้

 

  1. การออกกำลังกายขยับข้อต่อและการยืดกล้ามเนื้อ (Joint Mobility and Stretching Exercise) เพื่อให้ระบบไหลเวียนในร่างกายโดยเฉพาะกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และข้อต่อคล่องมากขึ้น ซึ่งทำให้สารอาหารและออกซิเจนในเลือดส่งไปยังโครงสร้างต่างๆ ได้ไม่ติดขัด และเกิดการคลายตัวของโครงสร้างดังกล่าว ทำให้ไม่ติดตึงจนเกิดอาการปวดตามร่างกาย การขยับร่างกายทุก 20 นาทีขณะทำงานยังคงช่วยลดอาการปวดตัวได้ดีในทุกกรณี

 

  1. การออกกำลังกายคาร์ดิโอ คือมีการขยับร่างกายอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ 30 นาทีขึ้นไป หากได้ทำอย่างต่อเนื่อง 3-5 วันต่อสัปดาห์ในระยะเวลาหนึ่งจะช่วยให้สารสื่อประสาทและฮอร์โมนที่ช่วยผ่อนคลายจะหลั่งอย่างสม่ำเสมอ และทำให้อาการปวดตามตัวลดลง การออกกำลังกายเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ หรือการเวตเทรนนิ่งก็สามารถช่วยทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงมากขึ้น และคงทนต่อการใช้งานในเทรนด์ Productive Life ได้ แต่ควรออกแต่พอดีไม่หนักเกินไปและมีการยืดเหยียดหลังออกกำลังกายเสมอ

 

  1. การออกกำลังกายเพื่อการผ่อนคลาย หรือ Relaxation Exercise เช่น การฝึกหายใจกึ่งการทำสมาธิก็สามารถช่วยลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ และลงไปถึงระดับจิตใจได้

 

อาการปวดทั้งตัวแบบไม่เฉพาะเจาะจงนั้นสามารถเกิดได้จากการใช้ชีวิตในมลภาวะและการทำงานที่เคร่งเครียดได้ แต่หากลองปรับและออกกำลังกายแล้วยังไม่ดีขึ้น มีอาการรุนแรงหรือมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย ก็ควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้ได้รับการตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริงและให้การรักษาอย่างถูกต้องต่อไป

 

The post ‘ปวดตัว’ ทุกวันไม่ใช่เรื่องปกติ! เจาะลึกสาเหตุโรคปวดตัวของคนเมือง appeared first on THE STANDARD.

]]>
เทรนด์ดื่มชาจีนมาแรง นี่คือ 5 สุดยอดชาจีนเพื่อผิวสวยผ่อง https://thestandard.co/life/chinese-tea-skin-benefits Mon, 18 Nov 2024 05:55:22 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1009931 ชาจีน

กระแสการดื่ม ชาจีน เพื่อความงามกำลังมาแรงและเป็นกระแสรี […]

The post เทรนด์ดื่มชาจีนมาแรง นี่คือ 5 สุดยอดชาจีนเพื่อผิวสวยผ่อง appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชาจีน

กระแสการดื่ม ชาจีน เพื่อความงามกำลังมาแรงและเป็นกระแสรีวิวที่ดังมากใน TikTok ด้วยความเชื่อที่ว่าจะช่วยให้ผิวพรรณสดใส สุขภาพดี แต่จริงๆ แล้วการดื่มชาจีนส่งผลต่อผิวพรรณอย่างไรและมีข้อควรระวังอะไรบ้าง มาหาคำตอบกัน

 

จากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์พบว่าชาจีนอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) โดยเฉพาะสารกลุ่มโพลีฟีนอล และ EGCG (Epigallocatechin Gallate) ที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระซึ่งทำลายเซลล์ผิว นอกจากนี้ ยังมีวิตามินซีที่กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน วิตามินอีที่บำรุงผิว รวมถึงแร่ธาตุต่างๆ ที่จำเป็นต่อการทำงานของเซลล์ผิว

 

ประโยชน์ที่อาจได้รับจากการดื่มชาจีนคือช่วยชะลอวัย เพราะสารต้านอนุมูลอิสระช่วยลดการเสื่อมของเซลล์ อาจช่วยลดริ้วรอยและจุดด่างดำ ทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้น เนื่องจากสารในชาช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดและขับสารพิษ อีกทั้งยังช่วยลดการอักเสบ ทำให้ลดปัญหาสิวและอาการผิวแดงระคายเคืองได้

 

จากการศึกษาพบว่าชาจีนที่ได้รับความนิยมในด้านการบำรุงผิวพรรณมี 5 ชนิด ได้แก่ 

 

  1. ชาอู่หลง (Oolong Tea) ที่อุดมไปด้วยสาร EGCG และโพลีฟีนอลสูง ช่วยต้านอนุมูลอิสระและเผาผลาญไขมัน ทำให้ผิวกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผิวกระจ่างใสและควบคุมน้ำหนัก
  2. ชาเขียวหลงจิ่ง (Longjing (Dragon Well) Green Tea) ซึ่งเป็นชาเขียวระดับพรีเมียมของจีน มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงและวิตามินซีที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน อีกทั้งยังช่วยลดการอักเสบของผิว
  3. ชาขาวไป๋หมูตาน (White Peony/Bai Mu Dan) มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงที่สุดในบรรดาชาจีน ด้วยกระบวนการผลิตแบบธรรมชาติทำให้คงคุณค่าสารอาหาร ช่วยให้ผิวพรรณกระจ่างใส และมีคาเฟอีนต่ำ เหมาะสำหรับผู้ที่ไวต่อคาเฟอีน
  4. ชาดำผู่เอ๋อ (Pu’erh Tea) ช่วยในการขับสารพิษและมีสารที่ช่วยย่อยไขมัน ทำให้ผิวเปล่งปลั่ง สดใส เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหมองคล้ำ
  5. ชาดอกเก๊กฮวย (Chrysanthemum Tea) มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ช่วยลดความร้อนในร่างกาย เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาสิว ผิวแพ้ง่าย และไม่มีคาเฟอีนจึงสามารถดื่มก่อนนอนได้

 

แม้การดื่มชาจีนจะมีประโยชน์ที่หลากหลาย แต่ก็มีข้อควรระวังที่สำคัญคือปริมาณคาเฟอีนในชา ไม่ควรดื่มเกิน 3-4 ถ้วยต่อวัน เพราะอาจทำให้นอนไม่หลับ ใจสั่น และสารแทนนินในชาอาจรบกวนการดูดซึมธาตุเหล็ก จึงควรดื่มห่างจากมื้ออาหาร 1-2 ชั่วโมง นอกจากนี้ อาจมีผลข้างเคียง เช่น อาการท้องไส้ปั่นป่วน กรดไหลย้อนโดยเฉพาะเมื่อดื่มตอนท้องว่าง และอาจทำให้ปัสสาวะบ่อย

 

คำแนะนำในการดื่มชาจีนอย่างปลอดภัย ควรเลือกชาคุณภาพดีจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ สังเกตลักษณะและกลิ่นของชา ชงด้วยน้ำร้อนที่อุณหภูมิเหมาะสม (70-85 องศาเซลเซียส) ไม่ควรชงนานเกินไปเพราะจะทำให้รสชาติขม และควรดื่มในช่วงเช้าหรือบ่าย หลีกเลี่ยงการดื่มก่อนนอน

 

การดื่มชาจีนอาจมีประโยชน์ต่อผิวพรรณ แต่ไม่ใช่ยาวิเศษที่จะทำให้ผิวสวยได้เพียงอย่างเดียว ควรดื่มร่วมกับการดูแลสุขภาพด้านอื่นๆ เช่น รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ และดูแลผิวพรรณด้วยวิธีที่เหมาะสม

 

ภาพ: Shutterstock

The post เทรนด์ดื่มชาจีนมาแรง นี่คือ 5 สุดยอดชาจีนเพื่อผิวสวยผ่อง appeared first on THE STANDARD.

]]>
เดินมาก-น้ำหนักตัวเยอะ ระวัง ‘รองช้ำ’ https://thestandard.co/life/walking-weight-plantar-fasciitis-care Sun, 17 Nov 2024 02:51:57 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1009537 รองช้ำ

ปวดส้นเท้าตอนเช้า เดินนานๆ แล้วเจ็บ หรือใส่รองเท้าส้นสู […]

The post เดินมาก-น้ำหนักตัวเยอะ ระวัง ‘รองช้ำ’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
รองช้ำ

ปวดส้นเท้าตอนเช้า เดินนานๆ แล้วเจ็บ หรือใส่รองเท้าส้นสูงแล้วรู้สึกไม่สบายเท้า หลายคนอาจคิดว่านี่เป็นเรื่องปกติของคนทำงานออฟฟิศ แต่รู้หรือไม่ว่านี่อาจเป็นสัญญาณของ ‘โรครองช้ำ’ ที่หากปล่อยไว้นานอาจลุกลามจนกลายเป็นปัญหาเรื้อรัง เมื่อรองช้ำเป็นโรคที่ไม่ได้เกิดกับนักกีฬาหรือนักวิ่งอย่างที่เราเข้าใจ แต่ใครๆ ก็สามารถเป็นโรคนี้ได้หากว่าคุณเดินมากและมีน้ำหนักตัวเยอะ

 

วันนี้เรามาที่ Bangkok Physiotherapy Center หรือ BPC สาขาศุภาลัย ไอคอน สาทร เพื่อพูดคุยกับ นพ.ภานุ กรเณศ ผู้ก่อตั้ง เพื่อสอบถามถึงสาเหตุ วิธีป้องกัน และการรักษาโรครองช้ำอย่างถูกวิธี

 

นพ.ภานุ กรเณศ 

 

ต้องบอกว่าที่เราเลือกที่นี่เพราะ Bangkok Physiotherapy Center เป็นคลินิกกายภาพบำบัดระดับพรีเมียมที่ได้รับความไว้วางใจมาอย่างยาวนาน ด้วยทีมนักกายภาพบำบัดมืออาชีพ มีอุปกรณ์ที่ทันสมัยได้มาตรฐานสากล ซึ่งไม่ได้รักษาแค่อาการบาดเจ็บจากเกมกีฬาเท่านั้น แต่ยังเชี่ยวชาญด้านออฟฟิศซินโดรม ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของคนยุคนี้ 

 

Bangkok Physiotherapy Center หรือ BPC สาขาศุภาลัย ไอคอน สาทร

 

มาดูกันว่าโรครองช้ำที่หลายคนมองข้ามนั้นอาจส่งผลร้ายแรงกว่าที่คิด และเราจะดูแลป้องกันได้อย่างไรบ้าง

 

ก่อนอื่นเลยอยากให้คุณหมออธิบายว่าโรครองช้ำเกิดจากสาเหตุอะไรบ้าง

 

นพ.ภานุ: รองช้ำ (Plantar Fasciitis) เกิดจากการอักเสบของพังผืดบริเวณส้นเท้าและอุ้งเท้า ถ้าเราเดินบนพื้นแข็ง มีน้ำหนักตัวเยอะ หรือรองเท้าไม่มีการรองรับที่ดีพอ มันก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะผู้หญิงที่ใส่รองเท้าส้นสูงบ่อยๆ หรือเดินเยอะๆ ยิ่งถ้าน้ำหนักเยอะด้วยก็ยิ่งเสี่ยง ถ้าเป็นมากๆ อาการจะลามไปที่เส้นเอ็น อาจทำให้เกิดการอักเสบ บาดเจ็บ หรือฉีกขาดได้

 

ส่วนนักกีฬาเกิดจากการใช้งานเท้ามากเกินไป อย่างนักวิ่งมาราธอนจะมีการกระแทกซ้ำๆ นอกจากนี้รูปร่างเท้าก็มีผลด้วย อย่างเช่น คนเท้าแบนจะมีความเสี่ยงมากกว่า และที่สำคัญคือเรื่องน้ำหนักตัว ถ้าค่า BMI 25 ขึ้นไปถือว่าเสี่ยงแล้ว

 

แสดงว่าไม่ใช่นักกีฬาก็เป็นได้ใช่ไหม คนทำงานออฟฟิศก็สามารถเป็นโรคนี้ได้เช่นกัน?

 

นพ.ภานุ: ใช่ครับ สำหรับคนทำงานออฟฟิศ โดยเฉพาะผู้หญิงที่ต้องใส่รองเท้าส้นสูง รองเท้าส้นสูงจะทำให้ปลายเท้ารับน้ำหนักมากกว่าปกติ ซึ่งเพิ่มแรงกดที่ฝ่าเท้า ทำให้พังผืดที่ฝ่าเท้าอยู่ในความยาวที่ไม่เหมาะสม ทำให้เกิดแรงกระแทกสะสมจนเกิดการอักเสบหรือฉีกขาดเล็กๆ ในที่สุด ซึ่งพังผืดพวกนี้ใช้เวลาในการหายนาน

 

 

สำหรับผู้ชายที่ใส่รองเท้าหนังพื้นแข็งก็มีความเสี่ยงด้วย? 

 

นพ.ภานุ: มีครับ โดยเฉพาะรองเท้าหนังที่พื้นแข็ง ไม่มีการรองรับแรงกระแทกที่ดี เวลาใส่เดินนานๆ ก็มีโอกาสเกิดอาการได้ โดยเฉพาะอาชีพที่ต้องเดินมากๆ เช่น วิศวกรที่ต้องเดินตรวจไซต์งาน

 

แล้วเราจะสังเกตได้อย่างไรเมื่อเริ่มมีอาการรองช้ำ

 

นพ.ภานุ: สัญญาณที่ชัดเจนที่สุดคือ เวลาตื่นนอนตอนเช้า ก้าวแรกที่ลงพื้นจะรู้สึกเจ็บที่ส้นเท้าชัดเจน นี่เป็นสัญญาณเริ่มต้นของโรค เพราะตอนกลางคืนร่างกายมีกระบวนการซ่อมแซมตัวเอง หรือที่เราเรียกว่า Night Time Healing ทำให้กล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อหดตัว พอตื่นเช้ามาก้าวแรกเนื้อเยื่อจะถูกยืดออกทันที ก็เลยรู้สึกเจ็บ

 

ถ้าอาการแรกมาแล้ว เราควรเริ่มการรักษาอย่างไรไม่ให้ลุกลามต่อไป

 

นพ.ภานุ: เราต้องดูก่อนว่าคนไข้มีเป้าหมายอะไร ถ้าเป็นนักกีฬาที่ต้องแข่งใน 2 เดือนเราก็ต้องวางแผนการรักษาแบบ Pain Management เราใช้เครื่อง Shock Wave ที่จะสร้าง Micro Injury ที่ส้นเท้า เพื่อกระตุ้นให้เลือดไปเลี้ยงบริเวณนั้นมากขึ้นและช่วยเร่งกระบวนการซ่อมแซมของร่างกายนอกเหนือจาก Night Time Healing ที่ร่างกายทำอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นคนทั่วไปที่อยากหายขาดเราจะเริ่มจากการจัดการความเจ็บปวดด้วยยาแก้อักเสบ แช่น้ำร้อน ใช้เครื่องอัลตราซาวด์ช่วยลดการอักเสบ แล้วก็มาดูเรื่องการใช้ชีวิต ทั้งลักษณะเท้า การใช้รองเท้า และวิธีการเดิน เพราะถ้ายังใช้ชีวิตแบบเดิมมันก็จะกลับมาเป็นซ้ำ

 

 

ส่วนใหญ่ใช้เวลารักษานานขนาดไหน

 

นพ.ภานุ: โดยทั่วไปประมาณ 8 สัปดาห์ครับ แต่สิ่งที่เราพบคือคนไข้มักอยากหายเร็วๆ บางคนเป็นมา 4-5 ปี แต่หวังจะหายใน 1-2 ครั้ง ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เราต้องได้รับความร่วมมือจากคนไข้ด้วย ทั้งการทำตามคำแนะนำและทำการบ้านที่ให้ไป ถ้าคนไข้มาทำกายภาพอย่างเดียว แต่กลับบ้านไม่ทำตามที่แนะนำ อาทิ ไม่ยืดเหยียดตอนเช้า อาการก็อาจกลับมาเป็นซ้ำได้

 

แล้วคนที่เป็นมานาน 4-5 ปี เขาทนกับอาการได้อย่างไร

 

นพ.ภานุ: ส่วนใหญ่จะมีอาการปวดทุกวัน แต่ความรุนแรงไม่เท่ากัน บางวันปวดน้อย บางวันปวดมาก จนกลายเป็นความเคยชิน หลายคนจะเดินกะเผลกข้างที่ปวด ไม่อยากลงน้ำหนักเป็นปีๆ ซึ่งการรักษาในกรณีที่เป็นเรื้อรังจะยากกว่ากรณีที่เพิ่งเริ่มมีอาการมาก

 

หากมาที่ Bangkok Physiotherapy Center กระบวนการรักษาจะเป็นอย่างไร

 

นพ.ภานุ: เริ่มจากการวินิจฉัยก่อนครับ นักกายภาพบำบัดจะซักประวัติอย่างละเอียดก่อน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเป็นนักวิ่งก็จะถามเกี่ยวกับรูปแบบการวิ่ง พฤติกรรมการใช้ชีวิต หลังจากนั้นจะตรวจร่างกายแบบองค์รวม ไม่ได้ดูแค่เท้าอย่างเดียว แต่ดูตั้งแต่หัวจรดเท้า เพราะบางทีปัญหาอาจมาจากสะโพกหรือขาไม่เท่ากัน ทำให้ลงน้ำหนักที่เท้าไม่สมดุล

 

เมื่อวินิจฉัยได้ว่าเป็นรองช้ำก็จะดูว่าสาเหตุหลักมาจากอะไร แล้วค่อยวางแผนการรักษา เริ่มจากการจัดการความเจ็บปวด แล้วค่อยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต การเลือกรองเท้า การออกกำลังกาย และการดูแลตัวเองที่เหมาะสมกับสภาพเท้าของแต่ละคน

 

 

ที่นี่ดูแลรักษากันแบบส่วนตัวเลยใช่ไหม เหมือนมีนักกายภาพบำบัดส่วนตัว?

 

นพ.ภานุ: ใช่ครับ เราดูแลคนไข้แบบเฉพาะบุคคล ไม่มีสูตรตายตัวว่าทุกคนต้องรักษาเหมือนกัน เพราะแต่ละคนมีปัญหาและความต้องการไม่เหมือนกัน หลายคนเลยกลายเป็นเพื่อนกันไปเลย เพราะเราเน้นการดูแลระยะยาว ไม่ใช่แค่รักษาให้หายแล้วจบ แต่ยังต้องมีการติดตามผลและดูแลอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันไม่ให้อาการกลับมาเป็นอีก

 

จริงๆ แล้วผมอยากให้ทุกคนเข้าใจว่ากายภาพบำบัดไม่ใช่แค่การรักษาอาการเจ็บป่วย แต่เป็นการป้องกันด้วย คนที่จะได้ประโยชน์จากการกายภาพมากที่สุดคือคนที่มาปรึกษาตั้งแต่ยังไม่มีอาการ โดยเฉพาะคนที่ต้องยืนหรือเดินเยอะๆ หรือคนที่ชอบวิ่ง ควรมาตรวจดูลักษณะเท้าของตัวเอง เข้าใจโครงสร้างร่างกาย และทดสอบความสมดุลของร่างกาย เพื่อที่จะได้ปรับการใช้ชีวิตให้เหมาะสม

 

 

สำหรับคนที่ไม่สามารถมาที่คลินิกได้ อยากให้คุณหมอแนะนำวิธีดูแลตัวเองเบื้องต้นที่สามารถทำได้เองที่บ้าน

 

นพ.ภานุ: สำหรับการดูแลตัวเองที่บ้าน แนะนำให้แช่น้ำร้อนเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และที่สำคัญคือการยืดเหยียดกล้ามเนื้อก่อนลงน้ำหนักตอนเช้า ส่วนการนวดก็ทำได้ แต่ต้องระวังไม่ใช้แรงมากเกินไป เพราะอาจทำให้อาการแย่ลง การยืดเหยียดและการแช่น้ำร้อนจะช่วยบรรเทาอาการได้ โดยเฉพาะในระยะแรกที่อาการยังไม่มาก

 

ที่ว่าการนวดต้องระวังเป็นพิเศษคืออะไรบ้าง และการกินอาหารเสริมช่วยได้ไหม

 

นพ.ภานุ: ตอนนวดไม่ควรใช้แรงกดมากเกินไป ส่วนพวกอาหารเสริมหรือสเตียรอยด์ไม่แนะนำเลย เพราะอาจมีผลข้างเคียงที่ไม่คาดคิด สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องเข้าใจสภาพร่างกายของตัวเองก่อน เพราะแต่ละคนมีโครงสร้างเท้าไม่เหมือนกัน บางคนเท้าแบน บางคนเท้าโก่ง วิธีการดูแลก็ต้องแตกต่างกันไป แม้แต่เท้าซ้ายกับเท้าขวาของคนเดียวกันยังไม่เหมือนกันเลย

 

ส่วนเรื่องการป้องกัน เราจะป้องกันไม่ให้เกิดอาการรองช้ำได้อย่างไรบ้าง

 

นพ.ภานุ: สิ่งสำคัญคือต้องระวังการใช้เท้า หลังวิ่งเสร็จควรหมั่นยืดเหยียด เลือกรองเท้าที่มีการรองรับที่ดี ถ้าใส่รองเท้าส้นสูงก็ไม่ควรใส่นานเกินไป และที่สำคัญคือเรื่องน้ำหนักตัว เพราะยิ่งน้ำหนักมาก แรงกระแทกก็ยิ่งมากตามไปด้วย และถ้าเป็นก็อย่าปล่อยไว้นาน เพราะอาการเรื้อรังจะรักษาหายได้ยากมาก 

 

รีวิวประสบการณ์ที่ได้รับ

 

 

สิ่งที่สัมผัสได้จากที่นี่คือความพรีเมียมทั้งสถานที่และเครื่องมือต่างๆ มีความเป็นส่วนตัว เราชอบที่มีนักกายภาพส่วนตัวคอยดูแลทุกครั้งที่มา ซึ่งทำให้มั่นใจว่านักกายภาพที่กำลังดูแลเราอยู่นั้นรู้ถึงปัญหาและทางแก้ของเราจริงๆ ทุกครั้งหลังจบ Session นักกายภาพที่ดูแลเราอยู่จะส่งข้อความมารีแคปปัญหาที่พบและคำแนะนำไว้ให้ เพื่อให้เราย้อนกลับมาอ่านได้เรื่อยๆ มาแค่ครั้งแรกอาการก็บรรเทาได้แล้ว

 

 

บทสรุป

 

โรครองช้ำอาจดูเป็นปัญหาเล็กน้อยที่หลายคนมักมองข้าม แต่หากปล่อยไว้อาจลุกลามจนกลายเป็นปัญหาเรื้อรังที่รักษายาก การป้องกันและดูแลตั้งแต่เริ่มมีอาการ ‘สำคัญกว่า’ การรอให้อาการหนักแล้วค่อยรักษา โดยเฉพาะคนทำงานออฟฟิศที่ต้องยืน เดิน หรือใส่รองเท้าส้นสูงเป็นประจำ ควรหมั่นสังเกตอาการผิดปกติและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต รวมถึงเลือกรองเท้าที่เหมาะสม นอกจากนั้นการปรึกษานักกายภาพบำบัดตั้งแต่เนิ่นๆ ยังช่วยให้เข้าใจสภาพร่างกายของตัวเองและป้องกันปัญหาได้อย่างตรงจุด เพราะสุขภาพที่ดีเริ่มต้นได้จากการใส่ใจดูแลตัวเองในทุกๆ ก้าวที่เดิน

 

 

Bangkok Physiotherapy Center (BPC) 

Location: ศุภาลัย ไอคอน สาทร 

Contact: 09 2257 5089

Website: https://www.bpcphysio.com/th

Map: https://g.co/kgs/r9716AG

The post เดินมาก-น้ำหนักตัวเยอะ ระวัง ‘รองช้ำ’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ผู้เชี่ยวชาญชี้ กุญแจสู่ Healthspan ดี อยู่ที่การนอนหลับ https://thestandard.co/life/sleep-longevity-live-longer-health Sat, 16 Nov 2024 05:43:12 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1009329 Healthspan

ในยุคที่ผู้คนแสวงหาความยั่งยืนของสุขภาพและอายุขัย (Long […]

The post ผู้เชี่ยวชาญชี้ กุญแจสู่ Healthspan ดี อยู่ที่การนอนหลับ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Healthspan

ในยุคที่ผู้คนแสวงหาความยั่งยืนของสุขภาพและอายุขัย (Longevity) การนอนหลับกลับเป็นปัจจัยสำคัญที่มักถูกมองข้าม Matthew Walker ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์การนอนหลับมนุษย์แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ เน้นย้ำว่าการนอนคือกลไกทรงประสิทธิภาพที่สุดในการรีเซ็ตสุขภาพกายและใจ โดยคุณภาพการนอนมีความสัมพันธ์โดยตรงกับอายุขัย การนอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อคืนสามารถส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างมีนัยสำคัญ

 

Healthspan คือมิติใหม่ของการมีชีวิตที่ยืนยาว ซึ่งไม่ได้หมายถึงแค่การมีอายุมาก แต่คือช่วงเวลาที่เราใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาพดี ปราศจากโรคภัย สามารถทำกิจกรรมต่างๆ อย่างมีคุณภาพ แนวคิดนี้กำลังได้รับความสนใจอย่างมากในวงการการแพทย์และการวิจัยด้านชะลอวัย เพราะไม่เพียงแต่จะช่วยยืดอายุขัย แต่ยังช่วยให้ผู้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดีไปพร้อมๆ กัน

 

นักวิจัยชี้ว่าการจะมีสุขภาพที่แข็งแรงทั้งกายและใจไม่ใช่เรื่องของโชคชะตา แต่เป็นผลจากการให้ความสำคัญกับ Healthspan อย่างจริงจัง ผ่านการศึกษาวิจัยอย่างลึกซึ้งในด้านเทคโนโลยีชีวภาพ โภชนาการ การออกกำลังกาย การนอนหลับ และการประยุกต์ใช้ AI เพื่อเสริมด้านสุขภาพให้ดียิ่งขึ้น

 

การนอนหลับที่มีคุณภาพจึงเป็นรากฐานสำคัญของ Healthspan เพราะช่วยฟื้นฟูร่างกาย เพิ่มประสิทธิภาพการรู้คิด และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน การนอนครบ 8 ชั่วโมงเป็นประจำนั้นมีประโยชน์มหาศาลต่อร่างกายและจิตใจ โดยจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพความจำและการเรียนรู้ พัฒนาสมาธิและความคิดสร้างสรรค์ให้แจ่มชัด อีกทั้งยังช่วยสร้างความสมดุลทางอารมณ์ ทำให้จิตใจมั่นคง ในด้านร่างกาย การนอนหลับที่เพียงพอจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ยกระดับสมรรถภาพทางกายให้พร้อมรับมือกับกิจกรรมต่างๆ และที่สำคัญคือช่วยลดความเสี่ยงของโรคร้ายแรง เช่น มะเร็งและโรคหัวใจ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร

 

ภาพ: Shutterstock
อ้างอิง:

 

The post ผู้เชี่ยวชาญชี้ กุญแจสู่ Healthspan ดี อยู่ที่การนอนหลับ appeared first on THE STANDARD.

]]>
รู้จัก OneSkin นวัตกรรมสกินแคร์ชะลอวัยจากการค้นพบของ 4 นักวิทยาศาสตร์ https://thestandard.co/life/oneskin-anti-aging-skincare Fri, 15 Nov 2024 04:32:46 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1008963 OneSkin

สาวๆ หลายคนคงกำลังมองหาสกินแคร์ที่ตอบโจทย์การชะลอวัยและ […]

The post รู้จัก OneSkin นวัตกรรมสกินแคร์ชะลอวัยจากการค้นพบของ 4 นักวิทยาศาสตร์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
OneSkin

สาวๆ หลายคนคงกำลังมองหาสกินแคร์ที่ตอบโจทย์การชะลอวัยและได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริง ยิ่งถ้าเป็นผลิตภัณฑ์ที่คิดค้นโดยทีมนักวิทยาศาสตร์ระดับ Ph.D. (Doctor of Philosophy) ก็ยิ่งเพิ่มความมั่นใจให้ผู้ใช้

วันนี้ LIFE จะพาทุกคนมารู้จักกับ OneSkin แบรนด์สกินแคร์เพื่อการชะลอวัยที่มาพร้อมนวัตกรรมสุดล้ำ OS-01 เปปไทด์ ส่วนผสมลิขสิทธิ์เฉพาะที่ช่วยลดการสะสมของเซลล์ซอมบี้ ตัวการสำคัญที่ทำให้ผิวเสื่อมสภาพก่อนวัย ล่าสุดแบรนด์ประสบความสำเร็จในการระดมทุนซีรีส์ A (Series A Funding) มูลค่า 7 ล้านดอลลาร์ และได้รับความสนใจจากคนดังระดับโลกอย่าง Camila Alves McConaughey จนต้องร่วมลงทุน มาดูกันว่าแบรนด์นี้มีอะไรที่น่าสนใจบ้าง

 

 

What is it?

 

OneSkin คือแบรนด์สกินแคร์เพื่อการชะลอวัยที่ก่อตั้งโดยทีมนักวิทยาศาสตร์ระดับ Ph.D. 4 คน นำโดย Dr.Carolina Reis de Oliveira, Dr. Alessandra Zonari, Dr.Mariana Boroni และ Dr.Juliana Carvalho ล่าสุดประสบความสำเร็จในการระดมทุนซีรีส์ A มูลค่า 7 ล้านดอลลาร์ ทำให้ยอดระดมทุนรวมของแบรนด์พุ่งแตะ 20 ล้านดอลลาร์ โดยได้รับความสนใจจากนักลงทุนหลายราย รวมถึง Camila Alves McConaughey นางแบบและดีไซเนอร์ชาวบราซิล-อเมริกัน ภรรยาของ Matthew McConaughey

 

 

The Ingredients

 

ไฮไลต์สำคัญของแบรนด์อยู่ที่การใช้ OS-01 เปปไทด์ ส่วนผสมลิขสิทธิ์เฉพาะ ที่ผ่านการวิจัยและพัฒนาโดยทีมผู้ก่อตั้ง เปปไทด์ตัวนี้มีคุณสมบัติพิเศษ ได้แก่

  • ลดการสะสมของเซลล์ซอมบี้ (Senescent Cells) 
  • ชะลอและฟื้นฟูผิวที่เสื่อมสภาพ
  • ปรับปรุงการทำงานของผิวให้แข็งแรง

 

ทั้งนี้ ประสิทธิภาพของ OS-01 เปปไทด์ ได้รับการพิสูจน์ผ่านการศึกษาทางคลินิกจากสถาบันวิจัยภายนอก

 

 

The Product Range


ปัจจุบัน OneSkin มีผลิตภัณฑ์ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้า ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวกาย รวมถึงผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดอย่าง Triple Power OS-01 Body SPF ซึ่งในส่วนของผลิตภัณฑ์เด่นๆ Camila Alves McConaughey ผู้ใช้และนักลงทุนของแบรนด์ แชร์ประสบการณ์ว่าเธอเห็นผลลัพธ์ชัดเจนตั้งแต่ครั้งแรกที่ใช้ โดยเฉพาะครีมบำรุงผิวกายต่างๆ 

 

 

The Sustainability Efforts 


OneSkin มีแผนการพัฒนาที่ยั่งยืนโดยมุ่งเน้นการลงทุนด้านนวัตกรรมและวิจัย เพื่อพัฒนาเปปไทด์รุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ควบคู่ไปกับการศึกษาส่วนผสมใหม่ๆ ที่ช่วยแก้ปัญหาผิวแก่ก่อนวัย แบรนด์ยังวางแผนขยายธุรกิจด้วยการเพิ่มทีมงานมืออาชีพด้านการตลาดและปฏิบัติการ พร้อมขยายช่องทางจัดจำหน่ายโดยเฉพาะในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงมีแผนที่จะขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ในอนาคตอีกด้วย 

 

ภาพ: OneSkin.co / IG 

 

The post รู้จัก OneSkin นวัตกรรมสกินแคร์ชะลอวัยจากการค้นพบของ 4 นักวิทยาศาสตร์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
10 กิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ ที่ช่วยให้สมองได้ออกกำลัง https://thestandard.co/life/brain-exercise-daily-activities Thu, 14 Nov 2024 05:51:12 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1008486 สมอง

‘สมอง’ อวัยวะมหัศจรรย์ที่ซับซ้อนราวกับจักรวาลขนาดจิ๋ว เ […]

The post 10 กิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ ที่ช่วยให้สมองได้ออกกำลัง appeared first on THE STANDARD.

]]>
สมอง

‘สมอง’ อวัยวะมหัศจรรย์ที่ซับซ้อนราวกับจักรวาลขนาดจิ๋ว เปรียบดั่งกล้ามเนื้อที่ต้องการการบ่มเพาะและฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ เช่นเดียวกับการออกกำลังกายที่ทำให้ร่างกายแข็งแรง การบริหารสมองก็เป็นกุญแจสำคัญในการรักษาความยืดหยุ่นของการคิด ป้องกันความเสื่อมถอยของความจำ และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในทุกมิติของชีวิต


ลองมาเริ่มต้นออกกำลังสมองด้วยกิจกรรมง่ายๆ แต่ทรงพลัง เพื่อให้สมองของคุณได้พักผ่อนและถูกกระตุ้นอย่างสร้างสรรค์ เพราะเมื่อสมองแข็งแรง ชีวิตก็จะเปี่ยมไปด้วยพลังและความคิดสร้างสรรค์ที่ไร้ขีดจำกัด

 

การบริหารสมองสามารถทำได้หลากหลายวิธี เริ่มจากการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาษา ดนตรี หรือทักษะต่างๆ ซึ่งช่วยสร้างเซลล์ประสาทใหม่และเชื่อมต่อเซลล์ประสาทเดิมให้แข็งแรงขึ้น การอ่านหนังสือก็เป็นการออกกำลังสมองที่ยอดเยี่ยม ช่วยเพิ่มพูนความรู้ พัฒนาจินตนาการ และฝึกสมาธิไปพร้อมกัน

 

รู้ไหมว่าเราสามารถออกกำลังสมองกันด้วยวิธีสนุกๆ ได้นะ เริ่มจากการลองเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาษา ดนตรี หรือทักษะที่คุณสนใจ รับรองว่าช่วยสร้างเซลล์ประสาทใหม่และเชื่อมต่อเซลล์ประสาทเดิมให้แข็งแรงแน่นอน หรือจะหยิบหนังสือเล่มโปรดมาอ่านก็ได้ เพราะการอ่านเป็นการออกกำลังสมองชั้นเยี่ยม ช่วยเพิ่มพูนความรู้ พัฒนาจินตนาการ และฝึกสมาธิไปในตัว

 

หรือจะลองจับปากกามาเขียนบันทึกดูก็ดี นอกจากจะได้ระบายความรู้สึกและฝึกการใช้ภาษาแล้ว ยังช่วยให้เราได้ทบทวนและเรียนรู้จากประสบการณ์ต่างๆ ได้อย่างดี แม้แต่กิจกรรมในครัวก็เป็นการบริหารสมองได้เหมือนกัน ลองท้าตัวเองด้วยการทำเมนูใหม่ๆ ดูสิ รับรองได้ใช้ทั้งความคิดสร้างสรรค์และทักษะการแก้ปัญหาแบบสุดๆ

 

เพลงเพราะๆ ที่คุณชอบก็ช่วยได้! เพราะเสียงดนตรีช่วยกระตุ้นสมองส่วนอารมณ์และความทรงจำได้ดีทีเดียว หรือจะลองเปลี่ยนเส้นทางไปทำงานดูก็ได้ รับรองว่าสมองได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ แถมยังได้มุมมองดีๆ เพิ่มขึ้นอีกด้วย ที่สำคัญอย่าลืมหาเวลาพูดคุยกับเพื่อนๆ บ้าง เพราะการแชร์ความคิดเห็นเป็นการฝึกสมองที่สนุกมาก แถมยังได้มิตรภาพดีๆ อีกด้วย 

 

ลองแบ่งเวลามานั่งสมาธิสักหน่อยก็ดีนะ ช่วยให้ใจเย็นลง สมองปลอดโปร่ง แถมความจำยังดีขึ้นอีกต่างหาก และอย่าลืมออกกำลังกายด้วยล่ะ เพราะเลือดที่ไหลเวียนดีๆ จะช่วยให้สมองของคุณปิ๊งไอเดียเจ๋งๆ ได้ตลอดทั้งวันเลย

The post 10 กิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ ที่ช่วยให้สมองได้ออกกำลัง appeared first on THE STANDARD.

]]>
รักแท้…ไม่แพ้คำว่าเลิก แต่จะทำอย่างไรให้รักเราผ่านพ้นทุกอุปสรรค? https://thestandard.co/life/true-love-overcoming-obstacles Wed, 13 Nov 2024 07:49:11 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1008109 รักแท้...ไม่แพ้คำว่าเลิก

ความรักของหลายๆ คู่ อาจดูเหมือนเข้าสู่สภาวะเปราะบางกว่า […]

The post รักแท้…ไม่แพ้คำว่าเลิก แต่จะทำอย่างไรให้รักเราผ่านพ้นทุกอุปสรรค? appeared first on THE STANDARD.

]]>
รักแท้...ไม่แพ้คำว่าเลิก

ความรักของหลายๆ คู่ อาจดูเหมือนเข้าสู่สภาวะเปราะบางกว่าที่เคย บางคู่อาจทำให้เพื่อนๆ เบื่อหน่ายกับปัญหารักๆ เลิกๆ ที่เกิดขึ้นวนลูปจนเพื่อนๆ ขี้เกียจจะปลอบหรือให้คำปรึกษาแล้ว เมื่อคำว่า ‘เลิก’ กลายเป็นทางออกง่ายๆ ของคู่รักมากมาย แต่อยากให้คงความเชื่อมั่นเอาไว้ว่ายังมีหนทางที่รักแท้จะเกิดขึ้นได้ หากคนสองคนยังคงยืนหยัดท้าทายกาลเวลาและอุปสรรคทั้งปวงด้วยการเกาให้ตรงจุดที่คัน ปัญหารักๆ เลิกๆ เหล่านั้นอาจได้รับการแก้ไขอย่างถูกต้อง และนำไปสู่รักแท้ที่ยั่งยืนและมีความสุขร่วมกันได้ทุกฝ่าย 

 

ทำไมทะเลาะแล้วต้องบอกเลิก?


ในยุคปัจจุบัน คำว่า ‘เลิกกัน’ ดูเหมือนจะกลายเป็นทางออกที่ง่ายที่สุดสำหรับคู่รักจำนวนมาก สาเหตุสำคัญมาจากการเปลี่ยนแปลงของค่านิยมและวิถีชีวิตในสังคมยุคใหม่ เมื่อความอดทนลดน้อยลง แต่ทางเลือกในชีวิตมีมากขึ้น คนรุ่นใหม่จึงมักเลือกยุติความสัมพันธ์เมื่อเจอปัญหาที่ดูเหมือนจะแก้ไขได้ยาก แต่นั่นอาจไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ตรงจุดเสมอไป


ความขัดแย้งคือบททดสอบ

 

ความขัดแย้งของคู่รักแต่ละคู่เปรียบเสมือนสงครามที่ต้องใช้ทั้งกลยุทธ์และความอดทนในการฝ่าฟัน ความสำเร็จเริ่มต้นจากการรู้เท่าทันศัตรู เข้าใจว่าความขัดแย้งมักเกิดจากความเข้าใจผิด การสื่อสารที่ไม่ชัดเจน และความคาดหวังที่แตกต่าง การใช้อาวุธแห่งการเยียวยา ทั้งการรับฟังอย่างตั้งใจ การเห็นอกเห็นใจ และการให้อภัย คือเครื่องมือสำคัญในการสร้างสันติภาพ กลยุทธ์การรบที่ชาญฉลาดคือการเลือกเวลาและสถานที่ที่เหมาะสมในการพูดคุย การใช้ภาษาที่สร้างสรรค์ และการหลีกเลี่ยงการโจมตีกันและกัน 

 

ดับไฟความขัดแย้ง ฟื้นฟูความสัมพันธ์

 

เมื่อไรก็ตามที่ความสัมพันธ์เข้าสู่ภาวะวิกฤต การดับไฟแห่งความขัดแย้งต้องทำอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เริ่มจากการตามหาสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาว่าต้นตอคืออะไร แยกแยะระหว่างอารมณ์ชั่ววูบและปัญหาที่แท้จริง พร้อมทั้งยอมรับความผิดพลาดของตนเอง

 

การดับไฟอย่างชาญฉลาดนั้นต้องรู้จักหยุดพักการสื่อสารเมื่อจำเป็น แต่ไม่ทิ้งปัญหาให้ค้างคา ใช้คำพูดที่สร้างสรรค์แทนการกล่าวโทษ และสร้างพื้นที่ปลอดภัยสำหรับการพูดคุย การป้องกันไฟลุกลามทำได้ด้วยการพัฒนาทักษะการสื่อสารอย่างสม่ำเสมอ สร้างกิจกรรมร่วมกันเพื่อเสริมสร้างความผูกพัน และเรียนรู้จากความขัดแย้งในอดีต

 

ช่วยกันรับมือความท้าทายในยุคดิจิทัล

 

ยุคสมัยที่เปลี่ยนไปนำมาซึ่งความท้าทายใหม่ๆ สำหรับคู่รัก การจัดการพื้นที่ส่วนตัวกลายเป็นเรื่องสำคัญ คู่รักต้องรู้จักกำหนดขอบเขตการแชร์เรื่องราวความสัมพันธ์บนโซเชียลมีเดีย เคารพความเป็นส่วนตัวของกันและกัน และไม่ใช้โซเชียลมีเดียเป็นเวทีระบายความไม่พอใจ การรักษาสมดุลระหว่างโลกออนไลน์และออฟไลน์เป็นสิ่งจำเป็น คู่รักควรแบ่งเวลาระหว่างการใช้โซเชียลมีเดียและการใช้เวลาร่วมกันอย่างเหมาะสม 

 

รักแท้คือการเลือกที่จะรักกันทุกวัน

 

รักแท้ไม่ได้หมายถึงความสมบูรณ์แบบ แต่คือการเลือกที่จะอยู่เคียงข้างกันแม้ในวันที่ยากลำบาก การสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งต้องอาศัยความมุ่งมั่นในการเลือกที่จะรักและให้อภัยกันทุกวัน ต้องเรียนรู้เพื่อพัฒนาและปรับตัวไปพร้อมกัน และต้องเข้าใจว่าความรักต้องผ่านการทดสอบและการเติบโต

อย่าลืมว่ารักแท้ไม่ใช่เพียงความรู้สึก แต่คือการกระทำที่แสดงออกถึงความมุ่งมั่นที่จะฝ่าฟันทุกอุปสรรคไปด้วยกัน ไม่ว่าจะเจอปัญหาหรืออุปสรรคใดๆ รักแท้จะยืนหยัดและแข็งแกร่งกว่าคำว่า ‘เลิก’ เสมอ 

 

คำว่า เลิกกัน

 

 

 

 

 

 

The post รักแท้…ไม่แพ้คำว่าเลิก แต่จะทำอย่างไรให้รักเราผ่านพ้นทุกอุปสรรค? appeared first on THE STANDARD.

]]>
รู้จัก Medik8 สกินแคร์ดังจากแพทย์ผิวหนังในอังกฤษ https://thestandard.co/life/get-to-know-medik8 Mon, 11 Nov 2024 04:58:12 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1006994

สาวๆ หลายคนคงกำลังมองหาสกินแคร์ที่ใช้แล้วเห็นผล การันตี […]

The post รู้จัก Medik8 สกินแคร์ดังจากแพทย์ผิวหนังในอังกฤษ appeared first on THE STANDARD.

]]>

สาวๆ หลายคนคงกำลังมองหาสกินแคร์ที่ใช้แล้วเห็นผล การันตีด้วยผลการทดลองทางคลินิก และถ้ายิ่งเป็นสกินแคร์เกรดแพทย์ก็ยิ่งเสริมความมั่นใจให้กล้าลองและใช้มากขึ้น วันนี้ LIFE จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับแบรนด์สกินแคร์ Medik8 จากประเทศอังกฤษ ที่ได้ชื่อว่าเป็นสกินแคร์ระดับพรีเมียมซึ่งได้รับความไว้วางใจจากแพทย์ผิวหนังทั่วโลก ไปสำรวจพร้อมกันเลยว่าแบรนด์นี้มีอะไรน่าสนใจบ้าง

 


 

 

What is it?

 

Medik8 คือแบรนด์สกินแคร์คุณภาพสูงที่มีต้นกำเนิดจากย่านฮาร์ลีย์สตรีท ลอนดอน ศูนย์รวมคลินิกความงามและแพทย์ผิวหนังชื่อดังของอังกฤษ โดดเด่นด้วยปรัชญา CSA คือสูตรลัดผิวสวยด้วย 3 สารสำคัญอย่าง C (Vitamin C) + S (Sunscreen) และ A (Vitamin A) ซึ่งเรียบง่ายแต่ทรงประสิทธิภาพ แก้ไขปัญหาริ้วรอยได้ถึง 90% ด้วยเพียง 3 ขั้นตอน คือการใช้วิตามินซีและครีมกันแดดในตอนกลางวัน และวิตามินเอในตอนกลางคืน

 

 

The Ingredients

 

จุดเด่นของ Medik8 อยู่ที่การคัดสรรส่วนผสมออกฤทธิ์ระดับพรีเมียมที่ผ่านการวิจัยอย่างรอบด้าน โดยเน้นที่สารสำคัญ 3 ชนิด ประกอบด้วย

 

  1. วิตามินซี (Vitamin C) ทำงานในเวลากลางวัน ช่วยปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวแลดูกระจ่างใส เรียบเนียน

 

  1. ครีมกันแดด (Sunscreen) จำเป็นสำหรับการปกป้องผิวในตอนกลางวัน ช่วยป้องกันริ้วรอยก่อนวัย และเสริมประสิทธิภาพการทำงานของวิตามินซี

 

  1. วิตามินเอ (Vitamin A) ทำงานในเวลากลางคืน ฟื้นฟูผิวระดับเซลล์ ช่วยลดเลือนริ้วรอย กระตุ้นคอลลาเจน

 

ทั้งหมดนี้ถูกผสานเข้าด้วยกันด้วยเทคโนโลยีที่จดสิทธิบัตร ทำให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพสูงแต่ไม่จำเป็นต้องใช้ใบสั่งแพทย์ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการผลลัพธ์ระดับคลินิกที่สามารถใช้ได้ด้วยตัวเองที่บ้าน

 

 

The Product Range

 

  • C-Tetra เซรั่มวิตามินซีขวัญใจสาวๆ โดดเด่นด้วยสูตรวิตามินซีที่มีความเสถียร อ่อนโยนต่อผิวแพ้ง่ายและเหมาะสำหรับผู้เริ่มใช้วิตามินซี จากผลการทดสอบพบว่า 96% ของผู้ใช้ที่มีผิวบอบบางรู้สึกว่าผลิตภัณฑ์อ่อนโยนต่อผิว ด้วยคุณสมบัติที่ช่วยลดเลือนริ้วรอย ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอและกระจ่างใส

 

  • Advanced Night Restore ครีมบำรุงกลางคืนสูตรต่อต้านริ้วรอยที่อุดมด้วยเซราไมด์หลากชนิด ช่วยฟื้นฟูผิวให้เรียบเนียน กระชับ และกระจ่างใสในขณะที่คุณนอนหลับ เห็นผลลดเลือนริ้วรอยได้ภายใน 7 วัน ทำให้ผิวเต่งตึงและนุ่มดุจผ้ากำมะหยี่ ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการออกแบบมาให้ใช้คู่กับผลิตภัณฑ์วิตามินเอของ Medik8 โดยเฉพาะ เพื่อเสริมประสิทธิภาพการบำรุงสูงสุด

 

  • Press & Glow โทนเนอร์ผลัดเซลล์ผิวรุ่นใหม่ด้วย PHAs (Poly Hydroxy Acids) ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยนพร้อมเติมความชุ่มชื้น สามารถใช้ร่วมกับวิตามินเอได้โดยไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบำรุงและทำให้ผิวกระจ่างใสอย่างเห็นได้ชัด

 

 

The Sustainability Efforts

 

Medik8 ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนผ่าน 4 ด้านหลัก เริ่มจาก Net Zero Commitment ที่ตั้งเป้าลดการปล่อยคาร์บอน 90% ภายในปี 2040 ด้วยการใช้พลังงานหมุนเวียน 100% พร้อมติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ที่ศูนย์นวัตกรรม ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 3% ในปีที่ผ่านมา และยกเลิกการขนส่งทางอากาศทั้งหมด ในด้าน Better Packaging แบรนด์มุ่งมั่นใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยใช้แก้วรีไซเคิลในขวดสีชา เพิ่มตัวเลือกแบบเติม (Refill) ที่ช่วยลดขยะพลาสติกได้ถึง 1,178 กิโลกรัม และตัดบรรจุภัณฑ์ที่ไม่จำเป็นออก เช่น ไม้พาย และแผ่นพับ

 

 

สำหรับ Ethical Business Medik8 ให้ความสำคัญกับการตรวจสอบส่วนผสมกว่า 400 รายการ ร่วมมือกับซัพพลายเออร์ที่มีความรับผิดชอบ รับรองการจ่ายค่าแรงที่เป็นธรรม และส่งเสริมความหลากหลายในการจ้างงาน  และสุดท้ายคือการเป็น Community Champions ด้วยการสนับสนุนให้พนักงานทำงานอาสาสมัคร 2 วันต่อปี บริจาคเงินกว่า 110,000 ปอนด์ตั้งแต่ปี 2021 สนับสนุนเด็กผู้หญิงในด้าน STEM และมีโครงการบริจาค 1% จากทุกการซื้อสินค้าให้องค์กรการกุศลที่ลูกค้าเลือก นับเป็นความมุ่งมั่นที่ครอบคลุมทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมอย่างแท้จริง

 

 

ภาพ: Medik8

The post รู้จัก Medik8 สกินแคร์ดังจากแพทย์ผิวหนังในอังกฤษ appeared first on THE STANDARD.

]]>