LIFE | BODY & MIND – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Fri, 20 Jun 2025 09:17:38 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ส่องพิกัดเติมเต็ม Oxytocin & Dopamine ฮอร์โมนสุขสร้างชีวิตสมดุล https://thestandard.co/life/boost-oxytocin-dopamine-activities Sat, 21 Jun 2025 04:00:46 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1084284

เบื่อไหมกับความรู้สึกเฉื่อยชา เศร้า เบื่อหน่าย และหาควา […]

The post ส่องพิกัดเติมเต็ม Oxytocin & Dopamine ฮอร์โมนสุขสร้างชีวิตสมดุล appeared first on THE STANDARD.

]]>

เบื่อไหมกับความรู้สึกเฉื่อยชา เศร้า เบื่อหน่าย และหาความสุขได้ยากเต็มที? ถึงเวลาจุดไฟให้ชีวิตด้วย “ฮอร์โมนสุขภาวะเชิงลึก” ที่รู้ไหมว่ามันไม่ได้มาจากแค่การดูแลตัวเองเท่านั้นนะ แต่ยังถูกขับเคลื่อนด้วยพลังจากคนรอบข้างและเหตุการณ์สำคัญในชีวิต THE STANDARD LIFE จึงอยากพาคุณไปร่วมเดินทางไปค้นพบวิธีปลุกฮอร์โมนมหัศจรรย์เหล่านี้ให้ตื่นขึ้นมา เพื่อเปลี่ยนวันธรรมดาให้กลายเป็นวันที่สดใสและมีความหมายยิ่งขึ้น

 

ไม่ว่าจะเป็นการกระตุ้นออกซิโทซิน (Oxytocin) ฮอร์โมนแห่งความรักความผูกพัน ด้วยการใช้เวลาร่วมกับคนพิเศษใน Private Onsen Retreat for Couple ที่ PAÑPURI WELLNESS หรือเสริมสร้างความสัมพันธ์ดีๆ ท่ามกลางบรรยากาศอาหารและดนตรีที่ Raynue ไปจนถึงการเติมเต็มโดพามีน (Dopamine) ฮอร์โมนแห่งความสำเร็จ ด้วยการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องผ่านคลาส Private Pilates ที่ Absolute Boutique Fitness Studio หรือการค้นหาแนวทางในการใช้ชีวิตและสะท้อนคุณค่าของตัวเองในพื้นที่ปลอดภัยกับการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่ Ooca Mental Wellness Clinic กับโปรแกรม Talk Therapy มาเตรียมพร้อมสัมผัสพลังบวกที่จะเปลี่ยนวันธรรมดาให้กลายเป็นวันที่สดใสและมีความหมายยิ่งขึ้นกันได้เลย

 


 

 

PAÑPURI Private Onsen Retreat: เติม Oxytocin สู่ความสุขใจกลางเมือง

 

หากคุณกำลังมองหาวิธีเติมเต็มออกซิโทซิน (Oxytocin) ฮอร์โมนแห่งความรักความผูกพัน พร้อมผ่อนคลายและใช้เวลาร่วมกับคนที่คุณรักในบรรยากาศส่วนตัวใจกลางกรุงเทพฯ PAÑPURI WELLNESS คือคำตอบที่สมบูรณ์แบบ ที่นี่คือสถานที่พักผ่อนเชิงสุขภาพแบบองค์รวมที่พร้อมพาคุณหลีกหนีความวุ่นวายในชีวิตประจำวัน สู่ประสบการณ์อันเงียบสงบและเป็นส่วนตัว

 

ที่นี่คุณจะได้สัมผัสศาสตร์บำบัดแบบองค์รวมที่ผสานภูมิปัญญาตะวันออกเข้ากับส่วนผสมออร์แกนิกชั้นเลิศ อยากให้ลอง Private Onsen Retreat For Couple (150 นาที) แช่ออนเซ็นในห้องส่วนตัวที่จำลองประสบการณ์จาก Ureshino Onsen ออนเซ็นเก่าแก่จากญี่ปุ่นที่ขึ้นชื่อเรื่องคุณสมบัติชะลอวัย ซึ่งเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของที่นี่เชียวนะ นอกจากนี้ยังมีสปาทรีตเมนต์ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะบุคคล ไม่ว่าจะเป็นการบำบัดสำหรับ Office Syndrome, ทรีตเมนต์สปาออร์แกนิก, ไปจนถึงโปรแกรมสุขภาพที่ครอบคลุม ทุกองค์ประกอบถูกรังสรรค์ขึ้นในสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมวิวทิวทัศน์อันงดงามของเส้นขอบฟ้าเมืองกรุง การใช้เวลาร่วมกันในบรรยากาศผ่อนคลายนี้จะช่วยเสริมสร้างสายสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้น และเติมเต็มฮอร์โมนแห่งความสุขให้คุณทั้งคู่ได้อย่างเต็มเปี่ยม

 

Location: PAÑPURI WELLNESS, Gaysorn Tower ชั้น 12

Tel: 02 253 8899

 


 

RAYNUE: สร้าง Oxytocin ผ่านช่วงเวลาแห่งความสุขกับคนพิเศษ

 

RAYNUE: สร้าง Oxytocin ผ่านช่วงเวลาแห่งความสุขกับคนพิเศษ

 

อยากกระตุ้นออกซิโทซิน (Oxytocin) ฮอร์โมนแห่งความรักความผูกพัน ด้วยการใช้เวลาร่วมกับคนพิเศษ ท่ามกลางบรรยากาศดีๆ อาหารอร่อย และดนตรีเพราะๆ ควรแวะไปแฮงเอาต์ชิลล์ๆ ที่ RAYNUE (‘เรณู’) นี่คือเลานจ์แห่งใหม่ใจกลางราชเมืองที่เชื่อมต่อบริเวณชั้น 3 และ 4 ของเกษรอัมรินทร์ ผสมผสานสถาปัตยกรรมสุดคลาสสิกเข้ากับกลิ่นอายร่วมสมัยได้อย่างลงตัว ภายใต้คอนเซปต์ “Taste of Time” ที่พร้อมมอบประสบการณ์หลากหลายในแต่ละช่วงเวลาของวัน

 

ไม่ว่าจะเป็น Taste of Sunrise ที่ชวนคุณมาเริ่มต้นเช้าวันใหม่ด้วยกาแฟหอมกรุ่นและอาหารเช้าสไตล์เมดิเตอร์เรเนียนในโซน “Sky Lobby” สัมผัสแสงแรกและลมเย็นสบาย หรือหากมองหาความผ่อนคลายยามบ่าย Taste of Sunset ก็พร้อมเสิร์ฟเมนูของว่างเบาๆ ชุด Afternoon Tea พิเศษ หรือเครื่องดื่มเย็นๆ ที่ “Salone Bar” รวมถึงไวน์ชั้นเลิศสำหรับ Aperitivo Hour ที่จะทำให้คุณรู้สึกสดชื่นมีชีวิตชีวา แต่ถ้าอยากสัมผัสค่ำคืนที่น่าหลงใหล Taste of Moonrise ที่ “Ionic Terrace” คือจุดนัดพบแห่งใหม่ให้คุณมาพบปะสังสรรค์กับเพื่อนฝูง ดื่มด่ำกับเครื่องดื่มคอนเซปต์ “Pollen & Botanica” จาก Pollen Bar โดยบาร์เทนเดอร์ระดับรางวัล ที่รังสรรค์เครื่องดื่มจากดอกไม้แต่ละชนิด ให้ได้ทั้งรสสัมผัสและกลิ่นที่ไม่เหมือนใคร พร้อมแพริ่งไปกับเมนูสไตล์ทาปาสร่วมสมัย เคล้าคลอด้วยเสียงดนตรีสดหรือดีเจมืออาชีพที่สลับกันมาสร้างบรรยากาศอันน่าจดจำ

 

ทุกช่วงเวลาที่ RAYNUE คือโอกาสในการสร้างความผูกพันและเติมเต็มฮอร์โมนแห่งความรักให้ชีวิตของคุณมีสีสันและเต็มไปด้วยความสุขในทุกๆ วัน มาดื่มด่ำกับ “รสชาติแห่งกาลเวลา” และสร้างช่วงเวลาพิเศษร่วมกันได้แล้ววันนี้!

 

Location: RAYNUE, Gaysorn Amarin ชั้น 3

Tel: 092 976 6995

 


 

Absolute Private Pilates: สร้าง Dopamine และฝึกกายใจให้แข็งแกร่งขึ้น 

 

Absolute Private Pilates: สร้าง Dopamine และฝึกกายใจให้แข็งแกร่งขึ้น 

 

อยากสะสมความภาคภูมิใจและเติมเต็มโดพามีน (Dopamine) ฮอร์โมนแห่งความสำเร็จ ที่ Absolute Boutique Fitness Studio พร้อมให้ทุกคนได้พัฒนาตนเอง เน้นเสริมสร้างบุคลิกภาพและรูปร่าง ผ่านคลาสสุดพิเศษอย่าง Pilates Private ที่ออกแบบมาเพื่อคุณโดยเฉพาะ นี่คือวิธีที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดในการโฟกัสกับความต้องการเฉพาะตัวของคุณอย่างแท้จริงเลยล่ะ

 

ลองมาสัมผัสประสบการณ์ Private Pilates ที่แตกต่าง! คุณจะได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดในทุกท่วงท่าจาก ทีม Certified Instructor ผู้มากประสบการณ์กว่า 30 ท่าน ซึ่งไม่เพียงแต่มีความรู้ความเข้าใจในศาสตร์พิลาทิสอย่างลึกซึ้งเท่านั้น แต่ยังพร้อมเป็นโค้ชส่วนตัวที่จะช่วยออกแบบโปรแกรมฝึกให้ ตรงตามวัตถุประสงค์ของคุณแบบ 100% ไม่ว่าจะเป็นการปรับสรีระให้สมส่วน, เสริมสร้างกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวให้แข็งแรง, ลดอาการปวดหลัง, หรือแม้แต่ฟื้นฟูร่างกายหลังการบาดเจ็บ ทุกเป้าหมายของคุณจะถูกนำมาพิจารณาอย่างละเอียด เพื่อให้ทุกการเคลื่อนไหวมีประสิทธิภาพสูงสุด

 

การฝึกแบบส่วนตัวนี้ไม่เพียงแค่ช่วยให้คุณได้ใช้เวลาเรียนรู้ร่างกายและจิตใจของตนเองได้อย่างเต็มที่ ปราศจากสิ่งรบกวน แต่ยังช่วยให้คุณมีสมาธิกับการเคลื่อนไหวในแต่ละจังหวะได้อย่างลึกซึ้ง ทำให้ ผลลัพธ์ที่ได้ตรงใจและเห็นผลชัดเจนกว่าการเรียนแบบกลุ่มอย่างแน่นอน เตรียมตัวพบกับความรู้สึกแห่งชัยชนะเล็กๆ ในทุกวันที่ได้เห็นพัฒนาการของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการทรงตัวที่ดีขึ้น ความยืดหยุ่นที่เพิ่มขึ้น หรือความแข็งแรงที่สัมผัสได้ ซึ่งจะช่วย ปลุกภูมิคุ้มกันทางใจให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เติมเต็มความภาคภูมิใจ และสร้าง Self-love ให้คุณในทุกๆ วัน


Location: Absolute Boutique Fitness Studio, Gaysorn Amarin ชั้น 11

Tel: 0 2252 4400

 


 

Ooca Talk Therapy: ค้นหาคุณค่าในตัวเอง สร้าง Dopamine เพื่อภูมิคุ้มกันใจ

 

Ooca Talk Therapy: ค้นหาคุณค่าในตัวเอง สร้าง Dopamine เพื่อภูมิคุ้มกันใจ

 

ในวันที่ความรู้สึกสับสนถาโถม หรือคุณกำลังมองหาพื้นที่ปลอดภัยเพื่อพูดคุยและได้รับการสนับสนุนทางจิตใจ เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าในตัวเองและเติมเต็มโดพามีน (Dopamine) ฮอร์โมนแห่งความสำเร็จ Ooca (อูก้า) คือแพลตฟอร์มและคลินิกสุขภาพจิตที่พร้อมรับฟังทุกเรื่องราวของคุณ ด้วยความตั้งใจที่จะทำให้การดูแลสุขภาพจิตเป็นเรื่องง่ายและเข้าถึงได้สำหรับทุกคน

 

Ooca Talk Therapy ให้บริการคำปรึกษาทางจิตเวชโดยจิตแพทย์และนักจิตวิทยาผู้เชี่ยวชาญผ่านทั้งระบบวิดีโอคอล หรือสามารถมาเจอตัวเป็นๆ ของจิตแพทย์ได้ในบรรยากาศสงบและเป็นส่วนตัวที่คลินิก ไม่ว่าคุณจะเผชิญกับความเครียด, ความวิตกกังวล, ปัญหาความสัมพันธ์, ภาวะหมดไฟ หรือต้องการทำความเข้าใจตัวเองให้ลึกซึ้งขึ้น ทีมผู้เชี่ยวชาญกว่า 100 ชีวิตของอูก้า พร้อมให้คำปรึกษา การทำจิตบำบัด การรักษาด้วยยาที่สามารถจัดส่งถึงบ้าน



หรือแม้แต่เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดอย่าง dTMS (Deep Transcranial Magnetic Stimulation) เพื่อช่วยกระตุ้นสมองและลดอาการซึมเศร้า ทุกบริการถูกออกแบบมาให้ข้อมูลของคุณเป็นความลับสูงสุด ทำให้คุณสามารถพูดคุยได้อย่างสบายใจและมั่นใจ พร้อมผู้เชี่ยวชาญที่คุณไว้วางใจได้ อาทิ พญ.อธิชา วัฒนาอุดมชัย ผู้เชี่ยวชาญด้านปัญหาความเครียด การนอนไม่หลับ และภาวะหมดไฟ หรือ นพ.สุกมล วิภาวีพลกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านปัญหาสัมพันธ์ชีวิตคู่และปัญหาสุขภาพทางเพศที่หลายคนอาจเคยเห็นท่านปรากฏตัวบ่อยๆ ในรายการทีวีเกี่ยวกับเรื่องเพศและความสัมพันธ์

 

จากจุดเริ่มต้นที่ต้องการสร้างพื้นที่ปลอดภัยจากประสบการณ์ส่วนตัวของผู้ก่อตั้ง วันนี้อูก้าได้เติบโตเป็นเครือข่ายบริการสุขภาพจิตที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และมีไอเดียอยากให้การดูแลสุขภาพจิตเป็นเรื่องปกติและเข้าถึงได้ง่ายสำหรับทุกคน รวมถึงบริการให้คำปรึกษาคู่รัก การประเมินสุขภาพจิต และการประเมินพัฒนาการเด็กก่อนวัยเรียน จะเห็นว่าอูก้าไม่ใช่แค่คลินิก แต่เป็นเพื่อนที่พร้อมจะเข้าใจเราในทุกย่างก้าว หากใครอยากลองเปิดมุมมองใหม่ อยากเข้าใจตัวเองให้มากขึ้นลองมาค้นหาคุณค่าในตัวเอง และสร้าง Dopamine เพื่อภูมิคุ้มกันใจที่นี่ได้นะ

 

Location: Ooca Mental Wellness Clinic, Gaysorn Centre ชั้น 5

Tel: 0 2114 7721

 

ภาพ: ปวรุตม์ งามเอกอุดมพงศ์, Courtesy of Brands

The post ส่องพิกัดเติมเต็ม Oxytocin & Dopamine ฮอร์โมนสุขสร้างชีวิตสมดุล appeared first on THE STANDARD.

]]>
21 มิถุนายน ฉลองวันโยคะสากลกับประโยชน์ที่ไม่ได้มีดีแค่ตัวอ่อน https://thestandard.co/life/international-day-of-yoga Sat, 21 Jun 2025 02:00:17 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1087301 วันโยคะสากล

เวียนมาบรรจบอีกครั้งสำหรับวันโยคะสากล (International Da […]

The post 21 มิถุนายน ฉลองวันโยคะสากลกับประโยชน์ที่ไม่ได้มีดีแค่ตัวอ่อน appeared first on THE STANDARD.

]]>
วันโยคะสากล

เวียนมาบรรจบอีกครั้งสำหรับวันโยคะสากล (International Day of Yoga) ซึ่งตรงกับวันที่ 21 มิถุนายนของทุกปี วันนี้เราเลยอยากชวนมาสำรวจ 5 ประโยชน์ของการฝึกโยคะที่ไม่ได้มีดีแค่เรื่องความยืดหยุ่น แต่ให้อะไรกับร่างกาย สมอง และจิตใจของเรามากกว่าที่คิด 

 

  1. โยคะสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงจากภายใน

การฝึกโยคะช่วยลดฮอร์โมนความเครียดอย่างคอร์ติซอล เมื่อความเครียดลดลง ระบบภูมิคุ้มกันก็ทำงานได้ดีขึ้น นอกจากนี้ การฝึกยังกระตุ้นระบบน้ำเหลืองให้ขจัดของเสียได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย

 

  1. โยคะดีต่อสุขภาพหัวใจและลดความดัน

การฝึกโยคะเปรียบเสมือนการฝึกช่วยให้หัวใจได้ออกกำลังกาย และการฝึกเป็นประจำจะสามารถช่วยลดความดันโลหิต ลดคอเลสเตอรอล ซึ่งล้วนส่งผลดีต่อสุขภาพหัวใจในระยะยาว

 

  1. โยคะเพิ่มความรู้สึกรักและยอมรับในตัวเอง  

โยคะสอนให้เรา ‘ฟังเสียงร่างกาย’ และยอมรับในขีดจำกัดของตัวเองในแต่ละวัน เป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี เรียนรู้ที่จะใจดีกับร่างกาย ยอมรับในสิ่งที่เป็น ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของสุขภาพจิตที่แข็งแรง

 

  1. โยคะช่วยให้นอนหลับลึกและมีคุณภาพ

ท่าฝึกที่เน้นการผ่อนคลายและปราณายามะ (การหายใจ) ช่วยให้ระบบประสาทที่ควบคุมการพักผ่อน (Parasympathetic Nervous System) ทำงานได้ดีขึ้น ส่งผลให้ร่างกายผ่อนคลายและเข้าสู่การหลับได้ง่ายและลึกกว่าเดิม

 

  1. โยคะช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ในระดับ DNA

การฝึกโยคะและสมาธิมีส่วนช่วยเพิ่มความยาวของเทโลเมียร์ (Telomere) ซึ่งเป็นส่วนปลายของโครโมโซมที่เกี่ยวข้องกับความชราและการเกิดโรค เมื่อเทโลเมียร์ยาวขึ้นก็เท่ากับเป็นการยืดอายุขัยของเซลล์และชะลอวัยได้นั่นเอง

 

ใครยังไม่เคยลองฝึกอย่างจริงจัง ต้องลองเพิ่มเข้าไปในรูทีนหน่อยแล้วล่ะ

 

ภาพ: Shutterstock

อ้างอิง:

The post 21 มิถุนายน ฉลองวันโยคะสากลกับประโยชน์ที่ไม่ได้มีดีแค่ตัวอ่อน appeared first on THE STANDARD.

]]>
เก็บตกโมเมนต์ Well-Fest สุดสัปดาห์แห่งการมีสุขภาพดีกับ Dusit Thani Bangkok https://thestandard.co/life/wellfest-bangkok Fri, 20 Jun 2025 01:49:26 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1087025 wellfest-bangkok

LIFE อยากชวนผู้อ่านปลีกตัวจากโลกที่วุ่นวายสักครู่ เพื่อ […]

The post เก็บตกโมเมนต์ Well-Fest สุดสัปดาห์แห่งการมีสุขภาพดีกับ Dusit Thani Bangkok appeared first on THE STANDARD.

]]>
wellfest-bangkok

LIFE อยากชวนผู้อ่านปลีกตัวจากโลกที่วุ่นวายสักครู่ เพื่อค้นหาตัวเองท่ามกลางจังหวะเร่งรีบของมหานครที่ไม่เคยหยุดหายใจกลางกรุงเทพฯ กับกิจกรรม Well-Fest ณ โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 14-15 มิถุนายน 2568 และได้กลายเป็นคำตอบที่งดงามสำหรับการค้นพบว่าอะไรคือการอนุญาตให้ตัวเราได้เคลื่อนไหวและโฟกัสจังหวะชีวิตใหม่ๆ ที่นำพาสุขภาพดีมาอยู่ในวิถีชีวิตประจำวันให้มากขึ้น การเข้าร่วมกิจกรรม Well-Fest ครั้งนี้จึงรู้สึกเหมือนหลุดพ้นจากความวุ่นวายของเมืองกรุงในทันที ด้วยบรรยากาศและกิจกรรมหลากหลายที่มีแต่ความอบอุ่นและเชิญชวนให้เราได้ปล่อยวาง

 

งาน Well-Fest ดุสิตธานี กรุงเทพฯ

 

11.00 น. เริ่มต้นด้วยลมหายใจแรก

 

Master Syam นำพาเราเข้าสู่โลกของโยคะและการบริหารลมหายใจ ผ่านการเคลื่อนไหวแต่ละท่าที่ไม่ใช่เพียงการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ แต่เป็นการสื่อสารกับร่างกายด้วยความรัก รวมถึงการฝึกบริหารลมหายใจที่มีมาแต่โบราณ ช่วยให้รู้สึกเหมือนได้ล้างจิตใจให้โปร่งใส สมองที่เคยปั่นป่วนก็เริ่มเข้าสู่จังหวะที่สงบผ่อนคลาย 

 

งาน Well-Fest ดุสิตธานี กรุงเทพฯ

 

15.00 น. เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อยามบ่าย

 

มิกกี้-นนท์ อัลภาชน์ ณ ป้อมเพชร พาเราไปสู่มิติใหม่ของการออกกำลังกาย ไม่ใช่การออกกำลังกายสร้างกล้ามเนื้อเท่านั้น แต่เป็นการสร้างความแข็งแรงที่มาพร้อมความสนุกสนานตลอด 60 นาที เหงื่อที่ไหลออกมารู้สึกเหมือนเป็นการปลดปล่อยความเครียดที่สะสมมาทั้งสัปดาห์เลยทีเดียว

 

งาน Well-Fest ดุสิตธานี กรุงเทพฯ

 

18.00 น. Sound Bathing อาบคลื่นเสียงแห่งพลังงาน 

 

พักสักชั่วโมง แล้วมาต่อกับกิจกรรมที่ฟินสุดๆ กับ แจน-นวณัฐ ศรียุกต์สิริ ที่พาเราเข้าสู่ประสบการณ์ ‘ฮีลใจด้วยพลังเสียง’ ที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน เราได้นอนฟังคลื่นความถี่ของเสียงจากฆ้องและขันที่สั่นสะเทือนผ่านหูไปถึงระดับหัวใจ ทำให้รู้สึกเหมือนทุกเซลล์ในร่างกายได้รับการนวดเบาๆ ไปด้วยพลังงานบริสุทธิ์ ช่วงเวลานี้คือการปิดตาแล้วรู้สึกว่าตัวเองกำลังลอยอยู่ในท้องฟ้ายามพลบค่ำที่เต็มไปด้วยความสงบ ปิดท้ายวันด้วยมื้อค่ำที่ห้องอาหารพาวิลเลียนกับอาหารไทยฝีมือเชฟรสริน ศรีประทุม รสชาติของอาหารที่ประณีตละเอียดเหมือนเป็นการสรุปว่า การดูแลตัวเองนั้นต้องครอบคลุมทุกมิติ ไม่เว้นแม้แต่เรื่องอาหารสุขภาพที่กินเข้าไปเพื่อฮีลและซ่อมแซมร่างกายของเราด้วยเช่นกัน 

 

งาน Well-Fest ดุสิตธานี กรุงเทพฯ

งาน Well-Fest ดุสิตธานี กรุงเทพฯ

 

เข้าสู่วันใหม่ วันที่ใจเบาลง
06.00 น. ต้อนรับแสงแรกด้วยการวิ่งในสวนลุมพินี

 

การตื่นเช้ามาวิ่งในสวนลุมพินีเพื่อทักทายแสงแรกยามเช้า ดูจะเป็นกิจกรรมที่ทำเอาเหนื่อย แต่บอกเลยว่ารู้สึกดีสุดๆ เมื่อเหงื่อออก บรรยากาศของสวนลุมพินียามเช้าสดชื่น อากาศดี มีเพื่อนวิ่งจำนวนมากที่ทำให้ไม่น่าเบื่อ จะมองวิวหรือแวะเล่นกับแมวระหว่างวิ่งก็มีความสุข ถือเป็นประสบการณ์ที่ทำให้เข้าใจว่าทำไมคนตื่นเช้าจึงหมายถึงคนที่ได้กำไรชีวิต หลังจากวิ่งเสร็จ 5 กิโลเมตร ทำให้รู้สึกเหมือนได้เริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างไรอย่างนั้น

 

งาน Well-Fest ดุสิตธานี กรุงเทพฯ

งาน Well-Fest ดุสิตธานี กรุงเทพฯ

 

11.00 น. รู้จัก Sand Mandala ครั้งแรก



เข้าสู่ประสบการณ์ครั้งแรกของการทำกิจกรรม Sand Mandala โดย Gompa Studio นำเสนอศิลปะสมาธิผ่านทราย Sand Mandala หรือ ‘ทรายสร้างสมาธิ’ นี่คือศิลปะโบราณของชาวทิเบตที่ใช้ทรายสีสร้างลวดลายวงกลมซับซ้อน โดยคำว่า ‘Mandala’ ในภาษาสันสกฤตแปลว่า ‘วงกลม’ และเป็นสัญลักษณ์แทนจักรวาล หัวใจหลักของคำสอนนี้คือการไม่ยึดติด ที่สอนผ่านการสร้างผลงานอย่างพิถีพิถันแล้วทำลายทิ้ง เพื่อให้เข้าใจว่าทุกสิ่งในโลกนี้ไม่เที่ยง ไม่จีรัง การโรยทรายทีละเม็ดลงบนกระดาษด้วยความตั้งใจช่วยฝึกสมาธิและสติ ให้จิตใจโฟกัสอยู่กับปัจจุบันขณะ ส่วนพิธีรื้อทำลายเมื่อเสร็จสิ้นแล้วนำทรายไปเทลงแม่น้ำนั้น เป็นการสอนให้ปล่อยวาง และการกระจายพลังเยียวยาสู่ธรรมชาติ Sand Mandala จึงไม่ใช่แค่งานศิลป์ธรรมดา แต่เป็นเครื่องมือสำหรับฝึกจิตใจให้เข้าใจธรรมชาติของความไม่เที่ยง และเรียนรู้การปล่อยวางผ่านการลงมือทำจริงๆ

 

งาน Well-Fest ดุสิตธานี กรุงเทพฯ

 

นับว่าการได้ร่วมกิจกรรม Well-Fest ไม่ได้เป็นเพียงกิจกรรมเพื่อสุขภาพธรรมดา แต่เป็นการเดินทางสู่การค้นหาตัวเองท่ามกลางความวุ่นวายของชีวิตเมือง แต่ละกิจกรรมถูกคัดสรรมาอย่างดีเพื่อให้เราได้สัมผัสกับมิติต่างๆ ของความเป็นอยู่ที่ดี

 

โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ ได้สร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ผู้คนในเมืองใหญ่ได้มาหยุดพัก เติมพลัง และเชื่อมต่อกับตัวเองใหม่ ในโลกที่เร่งรีบนี้ บางครั้งสิ่งที่เราต้องการคือการหยุดลงแล้วฟังเสียงของหัวใจตัวเอง Global Wellness Day ที่ผ่านไปครั้งนี้ ทิ้งข้อคิดสำคัญไว้ว่า การดูแลสุขภาพไม่ใช่เรื่องของการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ใดๆ แต่เป็นเรื่องของการรักตัวเอง การใส่ใจในทุกลมหายใจ และการสร้างสมดุลระหว่างกายและใจ สำหรับใครที่พลาดไป อย่าลืมติดตาม Well-Fest ครั้งต่อไปได้ที่โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ โทร 0 2200 9000 หรือ [email protected]

 

งาน Well-Fest ดุสิตธานี กรุงเทพฯ

 

ภาพ: Dusit Thani Bangkok

 

The post เก็บตกโมเมนต์ Well-Fest สุดสัปดาห์แห่งการมีสุขภาพดีกับ Dusit Thani Bangkok appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทำไมการ ‘ปีนเขา’ ถึงเป็นวิธีดูแลสุขภาพใจอันทรงพลัง https://thestandard.co/life/hiking-for-inner-peace Fri, 20 Jun 2025 01:14:46 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1087003 hiking-for-inner-peace

ในวันที่โลกหมุนเร็วเกินไป ทุกอย่างรุมเร้า สมองไม่ยอมหยุ […]

The post ทำไมการ ‘ปีนเขา’ ถึงเป็นวิธีดูแลสุขภาพใจอันทรงพลัง appeared first on THE STANDARD.

]]>
hiking-for-inner-peace

ในวันที่โลกหมุนเร็วเกินไป ทุกอย่างรุมเร้า สมองไม่ยอมหยุดคิด หลายคนมองหาวิธีพาตัวเองออกจากวังวนความเครียด บางคนก็หันมานั่งนิ่งๆ มองดูแสงสีเขียวให้สมองปลอดโปร่ง บางคนก็หาหนังสืออ่าน หรือแม้แต่นอนหลับพักผ่อนเลยก็มี ทว่าหนึ่งในกิจกรรมที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตทั่วโลกแนะนำเวลาต้องการรีเซตตัวเอง คือ ‘การปีนเขา’ กิจกรรมแนวเอ็กซ์ตรีมที่เหมือนไม่มีอะไรนอกจากการออกกำลังกลางแจ้ง แต่ในความเป็นจริงคือการดูแลสุขภาพใจที่ทรงพลังกว่าที่คิด

 

ปีนเขาเพื่อฟื้นฟูสุขภาพใจ

 

ธรรมชาติคือยารักษาแบบไม่ต้องสั่งจ่าย

 

มีงานวิจัยหลายชิ้นชี้ว่า การอยู่ท่ามกลางธรรมชาติช่วยลดระดับคอร์ติซอล หรือ ฮอร์โมนความเครียดในร่างกาย เพิ่มคลื่นสมองแบบอัลฟ่า ซึ่งเชื่อมโยงกับความสงบและสมาธิ การปีนเขาจึงไม่ใช่แค่การได้อยู่ในป่าเขา แต่ยังเป็นการฮีลใจอย่างหนึ่ง บังคับให้เรา ‘อยู่กับปัจจุบัน’ ทุกย่างก้าว ทุกการหายใจ ต้องโฟกัสกับทางชัน รากไม้ หรือหินที่อยู่ตรงหน้า ทุกความคิดฟุ้งซ่านจึงถูกสยบลงโดยธรรมชาติอย่างช้าๆ

 

Summit Effect เมื่อยอดเขาคือหมุดหมายใจ

 

มีปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาที่เรียกว่า Summit Effect หรือ ‘ปรากฏการณ์ปลายทาง’ ที่ทำให้คนรู้สึกถึงความสำเร็จ ความมั่นใจ และความหมายของชีวิต เมื่อได้ไปถึงจุดสูงสุดของเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็นยอดเขาจริงๆ หรือเป้าหมายเล็กๆ ระหว่างทางก็ตาม

ความเหนื่อย ความล้มเหลว หรือคำถามในใจ ถูกแปรเปลี่ยนเป็นพลังใหม่ ณ จุดที่เรามองกลับไปยังทางที่เดินผ่านมา

 

ปีนเขาเพื่อฟื้นฟูสุขภาพใจ

 

ปีนเขา = ฝึกสติ

 

การปีนเขายังมีลักษณะคล้ายการทำสมาธิแบบเคลื่อนไหว (Moving Meditation) เพราะเราต้องรับรู้สิ่งรอบตัวอย่างต่อเนื่อง เสียงนกร้อง ลมที่ปะทะใบหน้า เสียงรองเท้ากระทบพื้น ความเงียบที่ไม่ได้เงียบเสียทีเดียว แต่เป็นเสียงธรรมชาติที่ช่วยรีเซตสมอง ผู้เชี่ยวชาญด้าน Mindfulness หลายคนถึงกับใช้เส้นทางเดินป่าเป็นส่วนหนึ่งของเวิร์กช็อปบำบัด เพราะช่วยฝึกให้เรากลับมาอยู่กับตัวเองอย่างแท้จริง

 

ใครๆ ก็เริ่มได้ ไม่ต้องเป็นนักปีนเขามืออาชีพ

 

สำหรับใครที่อยากเริ่ม คุณไม่จำเป็นต้องมีอุปกรณ์ครบขั้น ไม่จำเป็นต้องจองตั๋วแบกเป้ข้ามประเทศไปขึ้นเขามีชื่อ การปีนเขาเพื่อสุขภาพจิตสามารถเริ่มได้จากเส้นทางธรรมชาติใกล้บ้าน หรืออุทยานแห่งชาติที่เข้าถึงง่าย สำคัญคือการตั้งเจตนาให้ ‘การเดิน’ เป็นช่วงเวลาที่คุณให้เวลากับตัวเองจริงๆ

 

การปีนเขาอาจไม่ได้แก้ปัญหาทุกอย่างในชีวิต แต่พาเรา ‘หายใจลึกๆ ได้อีกครั้ง ได้รู้สึกถึงความแข็งแรงของตัวเอง และได้เตือนใจว่า เรายังไปต่อได้ในแบบของเรา

บางครั้ง ความเงียบจากยอดเขา อาจดังกว่าคำพูดปลอบโยนใดๆ จากคนรอบตัว

The post ทำไมการ ‘ปีนเขา’ ถึงเป็นวิธีดูแลสุขภาพใจอันทรงพลัง appeared first on THE STANDARD.

]]>
รู้จักอาการ Emophilia: ตกหลุมรักคนง่าย ใช้หัวใจเปลือง https://thestandard.co/life/emophilia Thu, 19 Jun 2025 08:00:19 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1086475

เคยเจอกับตัวหรือมีคนใกล้ตัวตกอยู่ในอาการนี้ไหม? &n […]

The post รู้จักอาการ Emophilia: ตกหลุมรักคนง่าย ใช้หัวใจเปลือง appeared first on THE STANDARD.

]]>

เคยเจอกับตัวหรือมีคนใกล้ตัวตกอยู่ในอาการนี้ไหม?  

 

แค่สบตากับใครไม่กี่นาทีก็รู้สึกว่าคนนี้ใช่แล้ว? 

อยากคบ! 

อยากบอกรัก!

หรือบางทีเพิ่งคุยกันไม่กี่วันก็รู้สึกผูกพันเหมือนรู้จักกันมาเป็นปี

 

ความรู้สึกเหล่านี้อาจไม่ได้แค่โรแมนติกธรรมดา แต่มันคือสิ่งที่เรียกว่า ‘Emophilia’ คำที่กำลังเริ่มฮิตในวงการจิตวิทยาความรักในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ‘Emophilia’ หรือ ‘คนตกหลุมรักง่าย’ เป็นหนึ่งในรูปแบบการรักที่พบได้บ่อยในยุคโซเชียลมีเดีย

 

จึงได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก พฤติกรรมนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของการเปิดใจเร็ว แต่เป็นแนวคิดที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับการเข้าใจรูปแบบความรักของตัวเองและการสร้างสมดุลทางอารมณ์เพื่อรักอย่างแท้จริง แต่มันก็มีความเสี่ยงด้วยนะ อะไรที่เร็วเกินไป ผลที่ตามมามันอาจจะทำให้เราเสียใจมาก หรือเจ็บปวดก็ได้นะ 

 

LIFE จึงอยากพาผู้อ่านไปรู้จักกับ Emophilia ว่ามันคืออะไร และจะจัดการกับตัวเองอย่างไรถ้าตกอยู่ในอารมณ์แบบนี้?

 


 

‘Emophilia’ คืออะไร?

 

Emophilia เป็นคำที่ผสมระหว่าง emotion (อารมณ์) กับ philia (ความหลงใหล) ที่มีความหมายว่า คนที่มีแนวโน้มจะตกหลุมรักง่ายและถลำลึกกว่าคนทั่วไป เรียกว่าเป็นคนที่เปิดใจเร็วและรู้สึกผูกพันอย่างรุนแรง แม้จะเพิ่งรู้จักกันไม่นานก็ตาม ซึ่งเป็นรูปแบบที่คนเริ่มให้ความสนใจมากขึ้นในยุคปัจจุบัน  

 

ทำไมบางคนถึงตกหลุมรักง่าย?

 

แนวคิดเบื้องหลัง Emophilia นี้ไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆ นะ แต่มันตั้งอยู่บนพื้นฐานของการทำงานของระบบอารมณ์และประสบการณ์ในวัยเด็กอย่างมีเหตุผลรองรับ เช่น บางคนอาจจะเคยขาดความมั่นคงทางอารมณ์ในวัยเด็ก เมื่อเติบโตมาในครอบครัวที่ขาดความมั่นคงทางอารมณ์ หรือไม่เคยรู้สึกว่าตัวเอง ‘มีค่าพอ’ ความรักจึงกลายเป็นเครื่องมือยืนยันตัวตน เวลามีใครมาสนใจ เราอาจเทใจให้ทันทีโดยไม่ทันคิด

 

หรือไม่ก็มีเหตุผลจากการที่สมองปลดปล่อยสารเคมีมากเกินไป สมองของ Emophilia มักปลดปล่อยโดพามีนและออกซิโทซินในปริมาณมากเมื่อได้รับความสนใจ ทำให้รู้สึกสุขล้นสุดๆ  จนมองข้ามสัญญาณเตือนอันตรายในช่วงต้นของความสัมพันธ์ นอกจากนี้เป็นการแสวงหาการยอมรับด้วยนะ บางคนอาจมีความต้องการการยอมรับสูง จึงมักปล่อยใจตัวเองไปอย่างรวดเร็วทั้งทางอารมณ์และร่างกาย เพราะต้องการความรู้สึกที่ว่า “ตัวเองเป็นที่ต้องการและมีค่า” 

 

อันตรายของการเป็น Emophilia

 

แน่นอนว่าอาการนี้ต้องเพิ่มความระมัดระวังอย่างยิ่ง เพราะการตัดสินใจโดยไม่ทันระวัง และไม่คิดให้รอบคอบ ไม่ดูคนให้นานพอ จะกลายเป็นพฤติกรรมที่อาจทำให้เราตัดสินใจคบใครสักคนโดยใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล ทำให้มองข้ามความเข้ากันได้ในระยะยาว แถมยังเสี่ยงต่อการเจ็บปวดซ้ำซาก เพราะเมื่อตกหลุมรักเร็วเกินไป แถมยังรักแบบสุดโต่งไม่เผื่อใจเลย มันอาจเป็นการเริ่มต้นความสัมพันธ์ที่ไม่มีรากฐานอันแข็งแกร่ง เรายังรู้จักเขาไม่ดีพอเลย เหมือนเราจะไปซื้อบ้านสักหลัง แค่มองเห็นหน้าบ้าน ก็ซื้อแล้ว ทั้งที่ความจริงหากเปิดประตูเข้าไปเช็กบ้านแต่ละห้องให้ดี อาจจะเจอกับความจริงที่ไม่คุ้มค่าก็ได้ ในแง่ความสัมพันธ์มันมักส่งผลให้เกิดความผิดหวังและเจ็บใจเมื่อความรักจบลง นอกจากนี้ยังเสี่ยงที่จะเกิดความเบื่อหน่ายเร็ว เมื่อไฟรักที่ลุกโชนในวันแรกเริ่มจางลง อาจพบว่าคนที่ตกหลุมรักนั้นไม่ได้เหมาะกับเราจริงๆ ทำให้เกิดความรู้สึกผิดหวังกับตัวเองและอีกฝ่าย 

 

วิธีจัดการกับตัวเองถ้าเป็น Emophilia

 

  1. เช็กความรู้สึกตัวเองก่อนตัดสินใจ ก่อนจะทุ่มเทให้กับใครสักคน ลองถามตัวเองว่า “ฉันชอบเขาจริงๆ หรือแค่รู้สึกดีเพราะได้รับความสนใจ?” ให้เวลาตัวเองคิดอย่างเป็นกลาง อย่าด่วนตัดสินใจ ลองให้เวลาเรียนรู้ตัวตนของเขามากขึ้นอีก 
  2. ฝึกให้เวลาในการทำความรู้จักกัน แทนที่จะตัดสินในวันแรกที่เจอ ลองใช้เวลาสังเกตอีกฝ่ายในสถานการณ์ต่างๆ ดูว่าเขาแสดงออกยังไงเมื่อโกรธ เมื่อเครียด หรือเมื่อต้องเผชิญปัญหา จะทำให้เรารู้จักมายด์เซตและพฤติกรรมของเขาดียิ่งขึ้น 
  3. ตั้งขอบเขตให้ตัวเอง สร้างกฎง่ายๆ เช่น ไม่บอกรักใครเร็วเกินไป ให้คุณค่ากับตัวเอง การมีขอบเขตช่วยให้เราไม่หลงทางในอารมณ์ชั่วคราว
  4. ฟังสัญชาตญาณของตัวเอง เรียนรู้ที่จะแยกแยะระหว่าง “ความรู้สึกดีชั่วคราว” กับ “ความเข้ากันได้จริงๆ” สังเกตว่าเราสบายใจกับเขาหรือไม่ เมื่อไม่ได้คุยแค่เรื่องโรแมนติก
  5. สร้างฐานความมั่นใจในตัวเอง ทำกิจกรรมที่ทำให้รู้สึกมีค่า เช่น การเรียนรู้สิ่งใหม่ การดูแลสุขภาพ หรือการใช้เวลากับเพื่อนที่ดี เมื่อเรามีความสุขกับตัวเอง จะไม่ต้องพึ่งพาความรักเป็นแหล่งความมั่นใจเพียงอย่างเดียว

The post รู้จักอาการ Emophilia: ตกหลุมรักคนง่าย ใช้หัวใจเปลือง appeared first on THE STANDARD.

]]>
Breakup Rituals: เขียนจดหมายแต่ไม่ส่ง ช่วยให้เราก้าวผ่านการเลิกราได้ดีขึ้น https://thestandard.co/life/breakup-rituals-writing-letters-healing-love-loss Wed, 18 Jun 2025 06:53:15 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1086292 หญิงสาวนั่งเขียนจดหมายด้วยแววตาเศร้าในห้องเงียบ สะท้อนการเยียวยาใจหลังเลิกรา

บางครั้งความรักก็จบลงก่อนที่เราจะพร้อมรับมัน แต่รู้ไหมว […]

The post Breakup Rituals: เขียนจดหมายแต่ไม่ส่ง ช่วยให้เราก้าวผ่านการเลิกราได้ดีขึ้น appeared first on THE STANDARD.

]]>
หญิงสาวนั่งเขียนจดหมายด้วยแววตาเศร้าในห้องเงียบ สะท้อนการเยียวยาใจหลังเลิกรา

บางครั้งความรักก็จบลงก่อนที่เราจะพร้อมรับมัน แต่รู้ไหมว่า การก้าวข้ามความเจ็บปวดจากการเลิกรา ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาเยียวยาอย่างเดียว บางทีสิ่งที่เราต้องการคือ ‘พิธีกรรม’ เล็กๆ ที่ให้ใจได้ปล่อยของบ้าง ‘การเขียนจดหมายแต่ไม่ส่ง’ เป็นหนึ่งใน Breakup Rituals ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด จึงได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก พิธีกรรมนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของการระบายความในใจ แต่เป็นแนวคิดที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับการเยียวยาจิตใจและการสร้างสมดุลทางอารมณ์เพื่อก้าวต่อไปอย่างแท้จริง

 

LIFE จึงขอพาผู้อ่านทุกคนไปรู้จักกับการทำ Breakup Rituals ว่ามันคืออะไร และทำอย่างไร?  

 

‘Breakup Rituals’ คืออะไร?

 

Breakup Rituals เป็นพิธีกรรมการเยียวยาที่มีความหมายว่าการกระทำที่มีโครงสร้างและความหมายเฉพาะ เพื่อช่วยให้เราผ่านพ้นความเจ็บปวดจากการเลิกรา หรือหยุดความรู้สึกเมื่อรู้สึกเจ็บปวดจากการสูญเสียความรัก ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติที่นักจิตวิทยายึดถือมาอย่างยาวนานและมีงานวิจัยรองรับมากมาย พวกเขาเชื่อว่าการมีพิธีกรรมเฉพาะตัว จะช่วยเปลี่ยนความรู้สึกและมุมมองต่อสิ่งที่เกิดขึ้น และส่งผลให้สามารถก้าวต่อไปได้อย่างเข้มแข็งขึ้น 

 

ทำไมการเขียนจดหมายแต่ไม่ส่งถึงมีพลัง?

 

แนวคิดเบื้องหลังการเขียนจดหมายแต่ไม่ส่งนี้ไม่ได้คิดขึ้นมาลอยๆ นะ แต่มันตั้งอยู่บนพื้นฐานของการทำงานของจิตใจและการประมวลผลอารมณ์ของสมองอย่างมีเหตุผลรองรับ เพราะมันช่วยระบายอารมณ์ได้อย่างปลอดภัย เมื่อเราเขียนทุกสิ่งที่คาอยู่ในใจลงบนกระดาษ เราได้พูดทุกอย่างที่อยากพูดโดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกตัดสิน หรือสร้างปัญหาใหม่ขึ้นมา ซึ่งช่วยให้อารมณ์ที่ถูกกดอัดได้ถูกปลดปล่อยออกมา งานวิจัยจาก Harvard Business School ที่ตีพิมพ์ใน Journal of Experimental Psychology โดย Michael I. Norton และ Francesca Gino พบว่า “การทำพิธีกรรมบางอย่างหลังจากสูญเสียคนที่รัก ไม่ว่าจะเป็นการเลิกราหรือการเสียชีวิต สามารถช่วยให้ผู้คนฟื้นตัวได้ดีขึ้น”

 

การเขียนช่วยให้สมองมีเวลาประมวลผลความรู้สึก สมองของเราต้องการเวลาในการประมวลผลอารมณ์และความรู้สึกที่ซับซ้อน การเขียนจึงช่วยให้เราเห็นความคิดของตัวเองชัดขึ้น และเข้าใจแรงจูงใจเบื้องหลังความรู้สึกต่างๆ ได้ดีขึ้น นอกจากนี้เรายังได้สร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของชีวิตตัวเองด้วยนะ มันทำให้เรารู้สึกว่าเรามีอำนาจควบคุมสถานการณ์ตรงหน้า แทนที่จะรู้สึกว่ากำลังตกเป็นเหยื่อของฟีลแย่ๆ เพราะเราเลือกที่จะทำบางสิ่งเพื่อเยียวยาตัวเอง

 

ประโยชน์ของ Breakup Rituals มีเยอะมากเลย ไม่ว่าจะเป็นการลดความเครียดและความวิตกกังวล เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการจัดการกับอารมณ์เสียและความเครียดจากการเลิกรา เพราะช่วยให้ระบบประสาทได้พักผ่อน ช่วยเพิ่มความเข้าใจตนเอง ช่วยให้เราเข้าใจรูปแบบความสัมพันธ์ของตัวเอง จุดแข็ง จุดอ่อน และสิ่งที่เราต้องการจริงๆ ในความรัก เมื่อเราผ่านพิธีกรรมการเยียวยาที่เราเลือกเอง ความมั่นใจและความแข็งแกร่งภายในจะเพิ่มขึ้น ทำให้เรารู้ว่าเราสามารถผ่านความยากลำบากไปได้ นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างจุดเริ่มต้นใหม่ มีงานวิจัยจำนวนมากที่ชี้ให้เห็นว่า พิธีกรรมการปิดท้ายช่วยให้สมองสร้าง “เส้นแบ่ง” ระหว่างอดีตกับปัจจุบันได้ชัดเจนขึ้น และช่วยให้เราเปิดใจรับสิ่งใหม่ได้ง่ายขึ้น

 

วิธีทำ Breakup Rituals ในชีวิตประจำวัน

 

  1. เขียนจดหมายอย่างจริงใจ เขียนทุกสิ่งที่อยากพูด ทั้งความโกรธ ความเศร้า ความผิดหวัง และแม้กระทั่งความรู้สึกดีๆ ที่เคยมี ไม่ต้องกลัวว่าจะหยาบคาย เพราะไม่มีใครจะได้อ่าน
  2. เลือกวิธีการ ‘ส่งต่อ’ ที่เหมาะกับตัวเอง บางคนเลือกเผาจดหมาย บางคนเลือกฉีกแล้วทิ้ง บางคนเก็บไว้อ่านในอนาคต การเลือกทำอะไรกับจดหมายนั้นขึ้นอยู่กับว่าอะไรทำให้เรารู้สึกว่า ‘ปล่อยวาง’ ได้มากที่สุด
  3. ใช้สัญลักษณ์ที่มีความหมาย อาจจะเป็นการเก็บของที่เกี่ยวข้องใส่กล่อง หรือการปลูกต้นไม้ใหม่เป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นใหม่ การมีสิ่งที่จับต้องได้ช่วยให้พิธีกรรมมีความหมายมากขึ้น
  4. ตั้งเวลาที่เฉพาะเจาะจง เลือกวันและเวลาที่มีความหมาย อาจจะเป็นวันที่เลิกกัน หรือวันที่เราตัดสินใจว่าต้องไปต่อ การมีเวลาที่ชัดเจนช่วยให้พิธีกรรมมีพลังมากขึ้น
  5. สร้างบรรยากาศที่เหมาะสม หาสถานที่เงียบสงบที่เราไม่ถูกรบกวน อาจจะจุดเทียนหรือเปิดเพลงเบาๆ การสร้างบรรยากาศพิเศษช่วยให้เราเข้าสู่โหมดการเยียวยาได้ดีขึ้น

The post Breakup Rituals: เขียนจดหมายแต่ไม่ส่ง ช่วยให้เราก้าวผ่านการเลิกราได้ดีขึ้น appeared first on THE STANDARD.

]]>
Natural Water Sounds: งานวิจัยชี้ ฟังเสียงน้ำช่วยลดความเครียดได้ https://thestandard.co/life/natural-water-sounds Tue, 17 Jun 2025 10:54:12 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1086053

นักวิทยาศาสตร์จากหลายประเทศได้รวบรวมหลักฐานเชิงประจักษ์ […]

The post Natural Water Sounds: งานวิจัยชี้ ฟังเสียงน้ำช่วยลดความเครียดได้ appeared first on THE STANDARD.

]]>

นักวิทยาศาสตร์จากหลายประเทศได้รวบรวมหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ยืนยันว่า การฟังเสียงน้ำสามารถลดความเครียดและส่งเสริมสุขภาพจิตได้อย่างเห็นผลชัดเจน โดยจากการศึกษาโดย Linnemann และคณะ ซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Psychoneuroendocrinology พบว่าคนที่ฟังเสียงน้ำ 10 นาที ก่อนเผชิญความเครียด มีระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลต่ำกว่าผู้ที่ฟังเพลงหรือนั่งเงียบๆ อย่างมีนัยสำคัญ  

 

ทางฝรั่งการวิจัย Meta-Analysis ปี 2021 ที่วิเคราะห์งานศึกษา 36 ชิ้นจากทั่วโลกก็พบว่า การฟังเสียงธรรมชาติลดความเครียดและความรำคาญได้เฉลี่ย 28% นอกจากนี้ ในงานวิจัยอื่นๆ ยังพบว่าการฟังเสียงน้ำช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจ ความดันเลือด และอัตราการหายใจได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เช่น งานวิจัยจาก Brighton and Sussex Medical School ยังพบว่าเสียงธรรมชาติส่งผลต่อระบบประสาทอัตโนมัติ โดยผู้ที่มีความเครียดสูงจะได้รับประโยชน์มากที่สุด

 

ในทางการแพทย์การฟังเสียงธรรมชาติได้รับการนำมาใช้ช่วยลดความวิตกกังวลในผู้ป่วยหัวใจและลดความเจ็บปวดหลังการผ่าตัด สำหรับการนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน นักวิทยาศาสตร์แนะนำให้ฟังเสียงน้ำไหลเบาๆ อย่างน้อย 10-15 นาที ในสภาพแวดล้อมเงียบสงบ อาจผสมผสานกับการหายใจลึกเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ข้อควรระวังคือ ผลลัพธ์อาจแตกต่างกันตามบุคคล และการศึกษาส่วนใหญ่ทำในสภาพแวดล้อมควบคุม ไม่ใช่สภาพจริงในชีวิตประจำวัน การฟังเสียงน้ำจึงควรใช้เป็นเครื่องมือเสริมการจัดการความเครียด ไม่ใช่การรักษาหลักสำหรับปัญหาสุขภาพจิตที่ร้ายแรง และควรปรึกษาแพทย์หากมีอาการความเครียดอย่างต่อเนื่องด้วยนะ 

 

ภาพ: Shutterstock

อ้างอิง:

The post Natural Water Sounds: งานวิจัยชี้ ฟังเสียงน้ำช่วยลดความเครียดได้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ส่องแบรนด์น้ำหอม SW19 จากเกาหลีใต้ ที่เปิดคอนเซปต์สโตร์แห่งแรกในไทย https://thestandard.co/life/sw19-korean-perfume-store-thailand-centralworld Mon, 16 Jun 2025 04:29:18 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1085416 คอนเซปต์สโตร์ SW19 น้ำหอมเกาหลีดีไซน์ Modern British เปิดแห่งแรกในไทย ณ เซ็นทรัลเวิลด์

แบรนด์น้ำหอมเกาหลี SW19 เปิดตัวสาขาแรกในประเทศไทยแล้วนะ […]

The post ส่องแบรนด์น้ำหอม SW19 จากเกาหลีใต้ ที่เปิดคอนเซปต์สโตร์แห่งแรกในไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
คอนเซปต์สโตร์ SW19 น้ำหอมเกาหลีดีไซน์ Modern British เปิดแห่งแรกในไทย ณ เซ็นทรัลเวิลด์

แบรนด์น้ำหอมเกาหลี SW19 เปิดตัวสาขาแรกในประเทศไทยแล้วนะ โดยมาพร้อมคอนเซปต์ ‘Journey to the Moments’ เรื่องราวเบื้องหลังแบรนด์ ชื่อ SW19 มาจากรหัสไปรษณีย์ของเขต Wimbledon ที่ขึ้นชื่อเรื่องความหรูหราและเรียบง่าย แบรนด์ต้องการถ่ายทอดความเรียบง่ายที่มีความหมายผ่านกลิ่นหอมที่เชื่อมโยงกับความทรงจำ โดยมองว่าน้ำหอมคือ ‘การเดินทางของความอภิรมย์’ ดีไซน์สโตร์ที่โดดเด่น ร้าน SW19 ออกแบบในสไตล์ Modern British Minimal ด้วยโทนสีเรียบหรู แบ่งเป็นโซนต่างๆ เพื่อมอบประสบการณ์ Multi-sensory Perfume Journey ที่ไม่เหมือนใคร

 

ไฮไลต์ภายในร้าน เมื่อเข้าไปจะได้พบกับ Journey to the moments Zone มุมค้นหาเรื่องราวกลิ่นหอมผ่านโปสการ์ดดีไซน์เฉพาะ ที่เปรียบเสมือนบันทึกความทรงจำผ่านภาพและกลิ่น ต่อมาจะเป็น Cinematic Zone ใช้สื่อผสมทั้งเสียง ดนตรี และภาพบรรยากาศ เพื่อจำลองอารมณ์ของแต่ละกลิ่นให้ชัดเจน ไม่ใช่แค่ให้ดม แต่ให้ ‘รู้สึก’ ถึงกลิ่นนั้นๆ เหมือนฉากในภาพยนตร์เลย จะเห็นได้ว่าแบรนด์ SW19 มุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์ที่เปิดประสาทสัมผัสทุกด้าน ทั้งสายตา สัมผัส เสียง และกลิ่น เพื่อให้ทุกคนที่ไปเยือนได้ค้นพบ ‘กลิ่นที่สะท้อนตัวตน’ ในแบบที่แตกต่างจากเดิมใครสนใจลองแวะเวียนไปดมกลิ่นและเลือกน้ำหอมได้ที่คอนเซปต์สโตร์ SW19 ชั้น 1 โซน Eden เซ็นทรัลเวิลด์

 

คอนเซปต์สโตร์ SW19 น้ำหอมเกาหลีดีไซน์ Modern British เปิดแห่งแรกในไทย ณ เซ็นทรัลเวิลด์ คอนเซปต์สโตร์ SW19 น้ำหอมเกาหลีดีไซน์ Modern British เปิดแห่งแรกในไทย ณ เซ็นทรัลเวิลด์

 

ภาพ: Courtesy of SW19

The post ส่องแบรนด์น้ำหอม SW19 จากเกาหลีใต้ ที่เปิดคอนเซปต์สโตร์แห่งแรกในไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
รู้จักปรัชญา Hara Hachi Bu มีสุขภาพดีและอายุยืนแบบชาวโอกินาวา ‘กินอิ่มแค่ 80% พอ’ https://thestandard.co/life/hara-hachi-bu-longevity-secret Sun, 15 Jun 2025 02:33:19 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1085178 ภาพผู้สูงอายุชาวโอกินาวากำลังกินอาหารอย่างมีความสุขบนโต๊ะอาหารแบบญี่ปุ่น พร้อมคำว่า Hara Hachi Bu กินอิ่มแค่ 80%

ทุกวันนี้เราต่างมองหาวิถีชีวิตที่จะส่งผลให้ชีวิตของเราย […]

The post รู้จักปรัชญา Hara Hachi Bu มีสุขภาพดีและอายุยืนแบบชาวโอกินาวา ‘กินอิ่มแค่ 80% พอ’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ภาพผู้สูงอายุชาวโอกินาวากำลังกินอาหารอย่างมีความสุขบนโต๊ะอาหารแบบญี่ปุ่น พร้อมคำว่า Hara Hachi Bu กินอิ่มแค่ 80%

ทุกวันนี้เราต่างมองหาวิถีชีวิตที่จะส่งผลให้ชีวิตของเรายืนยาวอย่างมีคุณภาพดีมากขึ้น ‘กฎ 80%’ หรือ ‘Hara Hachi Bu’ (ฮารา ฮาจิ บุ) ซึ่งเป็นปรัชญาการกินของชาวโอกินาวา จังหวัดที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งใน Blue Zone หรือพื้นที่ที่ประชากรมีอายุยืนยาวที่สุดในโลก จึงได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ปรัชญานี้ไม่ใช่แค่เรื่องของการลดปริมาณอาหาร แต่เป็นแนวคิดที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับการรับฟังร่างกายและการสร้างสมดุลในการกินเพื่ออยู่อย่างแท้จริง

 

THE STANDARD LIFE จึงขอพาผู้อ่านทุกคนไปรู้จักกับปรัชญา Hara Hachi Bu ว่ามันคืออะไร และทำอย่างไร? ว่าแต่คุณล่ะ พร้อมที่จะลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินของคุณแล้วหรือยัง?

 

‘Hara Hachi Bu’ (ฮารา ฮาจิ บุ) คืออะไร?

 

Hara Hachi Bu  เป็นคำกล่าวของชาวโอกินาวาที่มีความหมายว่า กินให้อิ่มแค่ 80% ของความจุของท้อง หรือหยุดกินเมื่อรู้สึกอิ่มประมาณ 80% ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติที่ชาวโอกินาวายึดถือมาอย่างยาวนานและส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น พวกเขาเชื่อว่าการกินไม่ให้อิ่มจนเกินไป จะช่วยรักษาสุขภาพที่ดี และส่งผลให้มีชีวิตที่ยืนยาวได้นั่นเอง

 

ทำไมต้อง 80%?

 

แนวคิดเบื้องหลังกฎ 80% นี้ไม่ได้คิดขึ้นมาลอยๆ นะ แต่มันตั้งอยู่บนพื้นฐานของการทำงานของระบบย่อยอาหารและสัญญาณความอิ่มของร่างกายอย่างมีเหตุผลรองรับ

 

  • ป้องกันการกินมากเกินไป เมื่อเรากินจนอิ่มเต็มที่หรือจุก ร่างกายจะได้รับแคลอรีเกินความจำเป็น ซึ่งนำไปสู่การสะสมไขมัน น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น และความเสี่ยงของโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคอ้วน เบาหวาน และโรคหัวใจและหลอดเลือด
  • ให้เวลากระเพาะอาหารและสมองสื่อสารกัน สมองของเราใช้เวลาประมาณ 15-20 นาทีในการรับรู้ว่ากระเพาะอาหารเริ่มอิ่ม การกินเร็วเกินไปหรือกินจนเต็มที่โดยไม่รอสัญญาณจากสมอง มักจะทำให้เรากินมากกว่าที่ร่างกายต้องการ
  • ลดภาระของระบบย่อยอาหาร การกินในปริมาณที่พอเหมาะช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และช่วยให้ร่างกายนำสารอาหารไปใช้ประโยชน์ได้เต็มที่

 

ประโยชน์ของการกินแบบ Hara Hachi Bu

 

  • ควบคุมน้ำหนัก เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการจัดการน้ำหนักตัว เพราะช่วยลดการบริโภคแคลอรีส่วนเกิน
  • สุขภาพดีขึ้น ลดความเสี่ยงของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น โรคอ้วน เบาหวานชนิดที่ 2 โรคหัวใจ และบางชนิดของโรคมะเร็ง
  • เพิ่มพลังงาน เมื่อระบบย่อยอาหารไม่ทำงานหนักเกินไป ร่างกายจะรู้สึกกระปรี้กระเปร่า มีพลังงานมากขึ้น และไม่ง่วงเหงาหาวนอนหลังมื้ออาหาร
  • ยืดอายุขัย มีงานวิจัยจำนวนมากที่ชี้ให้เห็นว่า การจำกัดปริมาณแคลอรี (Calorie Restriction) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปรัชญานี้ มีความเชื่อมโยงกับการมีอายุที่ยืนยาวขึ้นในสัตว์ทดลอง และสอดคล้องกับพฤติกรรมการกินของประชากรที่มีอายุยืนยาวใน Blue Zone

 

วิธีฝึก Hara Hachi Bu ในชีวิตประจำวัน

 

  1. กินช้าๆ และตั้งใจ ใช้เวลาในการเคี้ยวอาหารให้ละเอียด เพลิดเพลินกับรสชาติและเนื้อสัมผัสของอาหาร การกินช้าๆ จะช่วยให้สมองมีเวลาพอที่จะรับรู้สัญญาณความอิ่ม
  2. ฟังเสียงร่างกาย แทนที่จะกินตามเวลา หรือกินตามปริมาณที่กำหนด ลองสังเกตสัญญาณความอิ่มของตัวเอง เมื่อรู้สึกว่าท้องเริ่มอิ่มขึ้นประมาณ 80% ก็ให้หยุดทันที
  3. ใช้จานขนาดเล็กลง การใช้จานที่มีขนาดเล็กลงจะช่วยให้ดูเหมือนว่าอาหารมีปริมาณเยอะขึ้น ซึ่งส่งผลต่อจิตวิทยาการกิน และช่วยควบคุมปริมาณอาหารได้
  4. ดื่มน้ำก่อนมื้ออาหาร การดื่มน้ำ 1 แก้ว ก่อนมื้ออาหารประมาณ 15-20 นาที สามารถช่วยให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้นและลดปริมาณการกินได้
  5. หลีกเลี่ยงสิ่งรบกวน ขณะกินอาหาร ควรงดการดูโทรทัศน์ เล่นโทรศัพท์ หรือทำงาน เพราะจะทำให้เรากินไปโดยไม่รู้ตัว

The post รู้จักปรัชญา Hara Hachi Bu มีสุขภาพดีและอายุยืนแบบชาวโอกินาวา ‘กินอิ่มแค่ 80% พอ’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
อยากเทสต์ระบบเหมือนคนอื่น แต่ทำไมไม่มีระบบให้เทสต์สักที?! https://thestandard.co/life/test-the-system-tiktok-trend Sun, 15 Jun 2025 02:27:43 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1085177 หญิงสาวโสดมั่นใจ ท่ามกลางเทรนด์ เทสต์ระบบ บน TikTok พร้อมข้อความ “ไม่ต้องเทสต์ใคร เพราะเราคือระบบเอง”

เชื่อว่าใครที่ไถ TikTok เป็นประจำคงจะต้องเคยผ่านตากับคอ […]

The post อยากเทสต์ระบบเหมือนคนอื่น แต่ทำไมไม่มีระบบให้เทสต์สักที?! appeared first on THE STANDARD.

]]>
หญิงสาวโสดมั่นใจ ท่ามกลางเทรนด์ เทสต์ระบบ บน TikTok พร้อมข้อความ “ไม่ต้องเทสต์ใคร เพราะเราคือระบบเอง”

เชื่อว่าใครที่ไถ TikTok เป็นประจำคงจะต้องเคยผ่านตากับคอนเทนต์ เทสต์ระบบกันบ้าง ไม่ว่าจะเป็นการ #เทสต์ระบบจีน #เทสต์ระบบเกาหลี หรือประเทศอื่นๆ การเทสต์ระบบที่ว่าไม่ใช่ระบบไฟฟ้าหรือเครื่องกลแต่อย่างใด แต่เป็นการสื่อถึง ‘การเดตกับผู้ชาย’ ชนชาตินั้นๆ ต่างหาก

 

หากลองจิ้มไปตามแฮชแท็กก็จะเจอกับชาว TikTok มากมายที่ออกมาแชร์คลิปเปรียบเทียบชีวิตตัวเองก่อน-หลัง เดตกับผู้ชายชนชาตินั้นๆ โดยใช้ซิงเกิลยอดฮิตอย่าง Jumping Machine โดย LBI เป็นเพลงประกอบจนกลายเป็นเทรนด์ไปเรียบร้อย

 

แน่นอนว่าภาพชีวิตที่ถูกปรนนิบัติราวเจ้าหญิงของกลุ่มคนที่สมหวังกับความรักได้จุดประกายให้เหล่าบรรดาสาวโสดตบเท้าเข้าวงการเทสต์ระบบกันไปติดๆ ไม่ว่าจะเป็นการปัดจากแอปหาคู่หรือบินไปหาถึงถิ่น ซึ่งความเป็นจริงที่คนส่วนใหญ่เจอคือ…‘มันไม่ได้หาง่ายขนาดนั้น!’ 

 

หากคุณเป็นหนึ่งในคนที่จ่ายเงินค่าเน็ตมาเพื่อดูคนอื่นรักกัน เราอยากชวนมาเปิดมุมมองในฐานะคนโสดที่จะเป็นคน ‘ดึงดูดระบบ’ ไม่ต้องออกไปหาเทสต์เองให้เหนื่อยอีกต่อไป!

 

ไม่ต้องรีบ! ความสุขไม่ได้ขึ้นอยู่กับ ‘สถานะ’

การโสดคือช่วงเวลาที่คุณจะได้เดตกับตัวเอง ได้รู้จักตัวเองอย่างลึกซึ้ง ได้หาว่าความสุขของตัวเองว่าคืออะไร แถมยังมีอิสระใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการ 

 

ทรีตมันเป็นช่วงเวลาแห่งการเติบโตทุกมิติ ทั้งเรื่องงาน การเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ รวมไปถึงการพัฒนาด้านจิตใจที่ทำให้คุณได้เติมเต็มตัวเองอย่างเต็มที่ 

 

หาแพสชันของตัวเองให้เจอ

เคยสังเกตไหมว่าเวลาที่เรามีแพสชันกับอะไรบางอย่าง แววตาของเราจะเปล่งประกาย ใบหน้าของเราจะเต็มไปด้วยความสุข ความกระตือรือร้น นั่นเป็นเสน่ห์ที่ดาเมจไม่เบาเลยนะ 

 

เมื่อค้นเจอแล้วลองดูว่าคุณสามารถต่อยอดกับแพสชันนั้นอย่างไรได้บ้าง บางทีมันอาจจะดึงดูดโอกาสดีๆ เข้ามาในชีวิตได้อย่างไม่น่าเชื่อ

 

คุณค่าของคุณไม่ได้ผูกติดกับใคร

จริงอยู่ที่ภาพการเทสต์ระบบสุดหวานแหววอาจทำให้คุณตัดพ้อกับตัวเองว่าทำไมถึงไม่เจอความรักดีๆ แบบนั้นบ้าง ความเหงาเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ และเป็นความรู้สึกที่เข้าใจได้ แต่การอยู่คนเดียวไม่ได้แปลว่าคุณไม่ดีพอ คุณค่าของคุณมาจาก ‘ข้างใน’ ต่างหาก 

 

อีกอย่าง คอนเทนต์เทสต์ระบบที่เราเห็นกันเป็นแค่ไฮไลต์ของความสัมพันธ์ที่ถูกคัดมาแล้วอย่างดี ทุกความสัมพันธ์ล้วนมีปัญหาและอุปสรรคเสมอ เพียงแต่มันอาจไม่ถูกนำเสนอออกมาเท่านั้นเอง 

 

เชื่อเสมอว่าคุณคู่ควรกับสิ่งที่ดีที่สุด 

นี่ไม่ใช่การเลือกเยอะหรือเรื่องมาก แต่เป็นการฉลาดเลือกที่จะรอคนที่ใช่ คนที่เห็นคุณค่าในตัวคุณอย่างแท้จริง และพร้อมจะเติบโตไปกับคุณ 

 

การรีบร้อนคว้าใครสักคนเข้ามาในชีวิตจนยอมละเลยสัญญาณ Red Flag มีแต่จะเสียเวลาไปกับความสัมพันธ์ที่ท็อกซิกไปเปล่าๆ

 

เชื่อในเวลาที่ใช่

ความรักไม่ใช่การแข่งขัน ไม่ต้องเปรียบเทียบชีวิตตัวเองกับใคร เพราะทุกคนต่างมีช่วงเวลาและจังหวะของตัวเอง ต่อให้ทุ่มจ่ายค่า Subscription ไปทุกแอป แต่ถ้ามันไม่ใช่เวลา มันก็ไม่เจออยู่ดี แต่ถ้ามันใช่เมื่อไร มันอาจจะง่ายขนาดเดินเจอกันในมินิมาร์ทที่แวะประจำก็ได้ 

 

ความรักที่แท้จริงเริ่มต้นจากข้างใน 

เมื่อคุณรักตัวเองได้อย่างสมบูรณ์ มีความสุขกับตัวเอง มีความมั่นใจในคุณค่าของตัวเอง คุณจะพร้อมที่จะมอบความรักและรับความรักจากผู้อื่น และพลังบวกเหล่านี้แหละที่จะ ‘ดึงดูด’ คนดีๆ เข้ามาในชีวิตคุณเอง

The post อยากเทสต์ระบบเหมือนคนอื่น แต่ทำไมไม่มีระบบให้เทสต์สักที?! appeared first on THE STANDARD.

]]>