Cover Story – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Wed, 25 Jul 2018 04:00:13 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 MAY THE CREATIVE FORCE BE WITH YOU https://thestandard.co/may-the-creative-force-be-with-you/ https://thestandard.co/may-the-creative-force-be-with-you/#respond Tue, 28 Nov 2017 16:00:55 +0000 https://thestandard.co/?p=51204

สหราชอาณาจักร เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางของคนที่รักและหล […]

The post MAY THE CREATIVE FORCE BE WITH YOU appeared first on THE STANDARD.

]]>

สหราชอาณาจักร เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางของคนที่รักและหลงใหลในศิลปะและความคิดสร้างสรรค์ในแทบทุกแขนง ไม่ว่าจะเป็นดนตรี แฟชั่น ภาพยนตร์ ละครเวที หรือธุรกิจดิจิทัล ฯลฯ ซึ่งแวดวงศิลปะดังกล่าวก็เติบโตและแข็งแกร่งมากขึ้นตามวันเวลา จนกลายเป็นอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมใหญ่ที่ช่วยขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจและสร้างรายได้ ให้กับประเทศได้อย่างมหาศาล เฉพาะในปี 2016 ที่ผ่านมา มีการจ้างงานในอุตสาหกรรมความคิดสร้างสรรค์ทั้งหมดกว่า 3 ล้านตำแหน่ง หรือทุกๆ 1 ใน 11 งาน จะเป็นงานที่เกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งทำให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตมากถึง 5% ต่อปี  (www.thecreativeindustries.co.uk)

 

 

การสนับสนุนจากภาครัฐอาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม แต่สิ่งสำคัญที่สุดอันเปรียบเสมือนต้นธารแห่งความคิดสร้างสรรค์ก็คือ เมืองและผู้คน ซึ่งต่างก็เป็นภาพสะท้อนของกันและกัน เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยสร้างเสริมพลังให้แก่กันและกัน เมืองไม่ได้ทำหน้าที่เพียงแค่เป็นพื้นที่ให้ผู้คนเข้ามาอยู่อาศัย ทำงาน และใช้ชีวิตไปวันๆ เท่านั้น เแต่เมืองยัง
มีส่วนสำคัญในการช่วยบ่มเพาะความคิดสร้างสรรค์ กระตุ้นให้ผู้คนมีชีวิตชีวา และใช้ความคิดสร้างสรรค์นั้นให้เป็นประโยชน์และผลิดอกออกผล จนกลายเป็น
ผลงานที่ลอกเลียนแบบยาก เมืองแบบนี้เองที่เราเรียกว่าเมืองสร้างสรรค์ หรือ Creative City

 

 

ในอีกด้านหนึ่ง พลังสร้างสรรค์ในเมืองก็มีส่วนในการกระตุ้นให้ผู้คนค้นหาศักยภาพของตัวเอง เชื่อมโยงเครือข่ายของคนที่มีความสนใจในสิ่งเดียวกันผ่านพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง ซึ่งเราจะทำความรู้จักในชื่อของ Creative Hub (ครีเอทีฟ ฮับ) พูดง่ายๆ ว่า จุดรวมพลของคนมีความคิดสร้างสรรค์ก็คือ ครีเอทีฟ ฮับนั่นเอง

 

ทริปในการไปเยือนสหราชอาณาจักรร่วมกับ
British Council (บริติช เคานซิล) เมื่อไม่นานมานี้ คือการทำความเข้าใจเรื่องศูนย์รวมความคิดสร้างสรรค์ที่กระจาย
อยู่ตามเมืองใหญ่ทั้ง 4 เมือง คือ คาร์ดิฟฟ์ บริสตอล ลิเวอร์พูล และแมนเชสเตอร์ เพื่อค้นหาว่า พวกเขาสร้างสรรค์ครีเอทีฟ ฮับขึ้นมาได้อย่างไร นอกจากเพื่อเรียนรู้วิถีชีวิตแบบสร้างสรรค์แล้ว ไม่แน่ว่าเราอาจนำแง่คิดเหล่านั้นมาทบทวน และตั้งคำถามกับเมืองใหญ่ที่เราอยู่ว่า บางทีเราอาจต้องการพื้นที่สร้างสรรค์แบบนี้มากกว่าสิ่งปลูกสร้างแบบอื่นที่ผุดขึ้นทั่วเมืองหรือเปล่า?​

Why Creative Hub?

ศูนย์รวมความคิดสร้างสรรค์ เป็นคำที่ใช้กันอย่าง
แพร่หลายในต่างประเทศ​ แต่ในขณะเดียวกันก็มีการตีความที่หลากหลายกันไปในแต่ละแห่งด้วย แต่สิ่งที่เราคิดว่าน่าจะเป็นการเริ่มต้นที่เข้าใจง่ายที่สุดน่าจะเป็นคำจำกัดความที่ว่า

 

“ศูนย์รวมความคิดสร้างสรรค์คือสถานที่ ไม่ว่า
จะเป็นแบบที่จับต้องได้จริง หรือพื้นที่เสมือนจริง ที่ดึงเอาคนที่มีความคิดสร้างสรรค์มาอยู่รวมกัน มีผู้นำที่
ทำหน้าที่บริหารจัดการพื้นที่ และสนับสนุนให้เกิดการสร้างเครือข่าย ก่อตั้งธุรกิจ พัฒนา และสร้างการมี
ส่วนร่วมให้กับชุมชนภายในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ วัฒนธรรม หรือเทคโนโลยี

 

“ศูนย์รวมความคิดสร้างสรรค์ได้รับแรงบันดาลใจจากความเป็นผู้นำรูปแบบใหม่ โดยมีผู้นำศูนย์ฯ​ หรือ
ผู้ทำหน้าที่เชื่อมโยงผู้คนที่เข้าใจการสร้างคุณค่าทางสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และสามารถทำงานสลับไปมาในภาคส่วนที่แตกต่างกันได้อย่างมีความสุข

(จากหนังสือ British Council Creative HubKit)  

 

และอย่างที่เกริ่นไว้ว่า สหราชอาณาจักรให้ความสำคัญกับครีเอทีฟ ฮับมากเป็นพิเศษ เพราะถือเป็น
พื้นที่อันเป็นจุดเริ่มต้นที่จะต่อยอดและขยายเครือข่ายให้เกิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นแหล่งรายได้สำคัญของประเทศ จากนี้เราลองไปทำความรู้จักกับครีเอทีฟ ฮับที่น่าสนใจและเรียนรู้ในแต่ละเมืองต่อไป

 

 

From LONDON To  CARDIFF

กรุงคาร์ดิฟฟ์เป็นเมืองหลวง จัดว่าเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุด และมีประชากรมากที่สุดของเวลส์ แต่สิ่งที่หลายคนอาจจะยังไม่เคยรู้มาก่อนก็คือ คาร์ดิฟฟ์ก็เป็นเมืองที่มีสีสันไม่แพ้เมืองชื่อดังอีกหลายๆ เมืองในสหราชอาณาจักร และยังได้ชื่อว่าเป็นแหล่งกำเนิดอุตสาหกรรมและองค์กรทางด้านความคิดสร้างสรรค์ชื่อดังระดับโลกอีกด้วย

 

ข้อมูลจาก The Creative Hub Report 2016 รายงานว่า คาร์ดิฟฟ์เป็นศูนย์กลางของการผลิตสื่อที่ใหญ่ที่สุดที่อยู่นอกกรุงลอนดอน และบริษัทผลิตสื่อโทรทัศน์อิสระในเมืองนี้ที่มีอยู่กว่า 600 แห่ง ก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจในท้องถิ่นเติบโต เพราะสามารถสร้างรายได้รวมกว่า 350 ล้านปอนด์ในปีที่ผ่านมา

 

 

รีเบกกา กูลด์ (Head of Arts at British Council Wales) เคยสรุปเรื่องความคิดสร้างสรรค์และลักษณะเฉพาะของเมืองคาร์ดิฟฟ์ในงาน Cardiff: Creative Capital จัดโดย Creative Cardiff Network เมื่อปี 2016 ที่ผ่านมาว่า “ความคิดสร้างสรรค์นั้นไม่ว่าจะมาจากกลุ่มคนทั่วไป องค์กรอิสระ หรือว่าอุตสาหกรรมที่ลงหลักปักฐานแล้ว ล้วนไหลเวียนอยู่ในสายเลือดของชาวเวลส์ทั้งสิ้น” นั่นอาจจะเป็นเหตุผลสำคัญในอีกหลายๆ เหตุผลก็ได้ที่ทำให้บรรยากาศในเมืองคาร์ดิฟฟ์กระตุ้นให้เกิดการสร้างครีเอทีฟ ฮับอย่างต่อเนื่อง รวมทั้ง 2 สถานที่สำคัญ
ของเมือง อย่าง Chapter และ The Sustainable Studio ด้วย

 

Chapter

“สิ่งที่จำเป็นสำหรับเมือง คือการเจริญเติบโตของผู้คน ไม่ใช่แค่สิ่งปลูกสร้าง”

 

จากประวัติของ Chapter ทำให้เราได้รู้ว่า ที่นี่เคยเป็นอาคารโรงเรียนร้างในยุค 70s ก่อนจะปรับปรุงให้กลายเป็นศูนย์กลางด้านศิลปะที่ถือว่าเป็นหนึ่งในไม่กี่แห่งที่เก่าแก่ที่สุดในสหราชอาณาจักร ​และเป็นแหล่งกำเนิดความคิดสร้างสรรค์ให้ชาวคาร์ดิฟฟ์มากว่า 40 ปี ภาพที่ผู้คนเดินเข้ามาชมภาพยนต์ รับประทานอาหาร ดูการแสดง และร่วมกิจกรรมมากมายตามความสนใจ คือสิ่งที่ตอกย้ำได้ดีว่า ทำไมชาวคาร์ดิฟฟ์ถึงรักสถานที่แห่งนี้มากมายนัก

 

 

แอนดี อีเกิล ผู้อำนวยการของ Chapter เล่าให้ฟังเพิ่มเติมว่า “เรามีทีมที่คอยจัดโปรแกรมกิจกรรมสำหรับการละคร นาฏยศิลป์ และศิลปะในรูปแบบต่างๆ เช่น ภาพยนตร์ นอกจากนั้นเรายังช่วยสร้างและสนับสนุนโครงการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความคิดสร้างสรรค์และความร่วมสมัย ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เราพยายามสนับสนุน”

 

ขณะเดียวกันเขายังให้ความเห็นเกี่ยวกับประเด็นเรื่องการพัฒนาเมือง และการจัดการครีเอทีฟ ฮับ ที่ส่งผลกับชาวเมืองได้อย่างน่าคิดว่า  

 

“ผมว่าคาร์ดิฟฟ์เป็นเมืองที่มีการขยายตัวรวดเร็วที่สุดในสหราชอาณาจักรเลยก็ว่าได้ ดังนั้นจึงมีการพุ่งความสนใจมาที่เมืองนี้เป็นอย่างมาก ผมเชื่อว่าเราน่าจะมีประชากรเพิ่มอีกเป็นแสนคนภายใน 20 ปีข้างหน้า ดังนั้นเมืองจึงมีความกดดันในด้านการจัดหาบริการต่างๆ ให้กับประชาชน รวมทั้งพื้นที่ให้บริการทางด้านสันทนาการและวัฒนธรรม เพื่อให้ประชาชนมีพื้นที่ในการแสดงออก ให้คนได้พัฒนาความสามารถอย่าง
ชาญฉลาด และมีความสร้างสรรค์ นอกจากนั้นยังเป็น
เรื่องที่ดีมาก หากมีการสนับสนุนผู้คนในเรื่องสุขภาพ โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพจิต เพราะเมื่อไรที่เมืองมีการ
เติบโตมากขึ้น เราก็อาจจะลืมคิดไปว่า สิ่งที่จำเป็น
สำหรับเมือง คือการเจริญเติบโตของผู้คนไม่ใช่แค่สิ่งปลูกสร้าง”

 

The  Sustainable  Studio

ครีเอทีฟ ฮับแห่งนี้แตกต่างจากแห่งแรก เพราะเพิ่ง
ก่อตั้งได้ไม่นาน แต่ก็สร้างความคึกคักและมีชีวิตชีวาให้กับเมืองนี้เป็นอย่างมาก เนื่องจากมีศิลปินและคนรักศิลปะมารวมตัวกันเพื่อเรียนรู้และสร้างสรรค์ผลงานดีๆ แทบทุกแขนง ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบเครื่องประดับ
การออกแบบเสื้อผ้า หรือการปั้นเซรามิก The Sustainable Studio ก่อตั้งโดย ซาร่า วาเลนติน และจูเลีย ฮาร์รีส ศิลปินสาวสองพี่น้องที่มองเห็นศักยภาพของโรงงานเก่าทิ้งร้าง พวกเธอจัดการชุบชีวิตขึ้นมาเป็นพื้นที่ทำงาน
ศิลปะใจกลางเมือง โดยนำวัสดุจากไม้เหลือใช้มาดัดแปลงและตกแต่งพื้นที่ เพื่อเน้นความยั่งยืนและเรียบง่าย

“ฉันคิดว่าคาร์ดิฟฟ์มีการสนับสนุนชุมชนสร้างสรรค์ที่ดีขึ้นกว่าเดิมมาก แต่ขณะเดียวกันก็คิดว่าตัวชุมชนเอง ก็ทำงานร่วมและประสานกันได้ดีด้วย หมายความว่า เราไม่ได้มาแข่งขันกันเอง เพราะเราก็มีเพื่อนที่มีพื้นที่แบบเดียวกันในเมืองนี้ ดังนั้นเราก็ช่วยกันสอนและ
แบ่งปันข้อมูลกัน จึงทำให้เรามีความเข้มแข็งมากขึ้น แต่ไม่ใช่ในทางที่สร้างผลกำไรมากมาย แต่เป็นการสร้างวัฒนธรรมสร้างสรรค์ที่ไม่ใช่แค่ในคาร์ดิฟฟ์ แต่ยังรวมถึงในเวลส์ด้วย” จูเลีย ฮาร์รีส ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD ต่อคำถามถึงมุมมองที่เธอมีต่อคาร์ดิฟฟ์, บ้านเกิดของเธอ ที่วันนี้มีบรรยากาศที่คึกคักขึ้นกว่า
เดิมมาก

 

DID YOU  KNOW?

14,861

คือจำนวนตัวเลขการจ้างงานในอุตสาหกรรมความคิดสร้างสรรค์ ของกรุงคาร์ดิฟฟ์

2,788

คือกลุ่มคนทำงานอิสระและบริษัท
ที่ทำงานด้านความคิดสร้างสรรค์
25

จำนวนครีเอทีฟ ฮับทั่วเมือง และยังเติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง

 

 

From LONDON To BRISTOL

แม้จะเป็นเมืองเล็กๆ ติดชายทะเล และมีจังหวะชีวิตที่เรียบง่าย ไม่หวือหวามากนัก (กระทั่งศิลปิน
กราฟฟิตีอย่างแบงก์ซีโด่งดังขึ้นมา) โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับหลายๆ เมืองในสหราชอาณาจักร
แต่ภาพจำของบริสตอลภาพหนึ่งที่ชัดเจนอย่างมากก็คือ ภาพอาคารบ้านเรือนหลากสีบริเวณ
ท่าเรือคริสตัล วูด ที่เราอดคิดไม่ได้ว่าน่าจะเป็นการบอกเป็นนัยๆ ว่า เมืองนี้ก็มีสีสันไม่แพ้ใครเช่นกัน ข้อมูลจาก Bristol Business Guide เมื่อปี 2016 ที่สำรวจโดยมูลนิธิที่ทำงานด้านนวัตกรรม
และความคิดสร้างสรรค์แห่งสหราชอาณาจักร 
(Nesta) จัดอันดับให้บริสตอลติดอันดับ 1 ใน 10 อันดับแรกที่เป็นพื้นที่สร้างสรรค์และนวัตกรรมที่กำลังมาแรงที่สุดในประเทศอังกฤษ  

 

 

Tobacco Factory

หากสงสัยว่าทำไมครีเอทีฟ ฮับแห่งนี้ถึงมีชื่อเหมือนโรงงานยาสูบ ก็ไม่ต้องแปลกใจ เพราะในอดีตที่นี่เคยเป็นโรงงานยาสูบมาก่อนนั่นเอง เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ที่นี่ก็เคยเกือบถูกทำลายทิ้ง เพราะความชำรุดทรุดโทรม
ตามกาลเวลา แต่อดีตสถาปนิกและนายกเทศมนตรี
ที่มองการณ์ไกลอย่าง จอร์จ เฟอร์กูสัน ที่ปัจจุบันเป็น
ผู้อำนวยการของที่นี่ได้จัดการซื้อพื้นที่มาปรับปรุงใหม่ให้เป็นโรงละครขนาดใหญ่ เป็นศูนย์กลางศิลปะสมัยใหม่ของเมืองเล็กๆ แห่งนี้ จอร์จให้สัมภาษณ์ถึงประเด็น
ในการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ว่า

 

“ผมคิดว่าการที่คนเราจะมีความคิดสร้างสรรค์ได้ ก็น่าจะต้องทำงานในสถานที่ที่สามารถปลดปล่อยความคิดได้ด้วย การมีสถานที่ที่ใช่ มีแสงที่พอเหมาะ และบางครั้งก็เกี่ยวกับเสียงด้วย สิ่งเหล่านี้ช่วยให้เกิดกระบวนการคิดที่สร้างสรรค์ แต่ยังมีเรื่องอื่นๆ ที่ผมอยากจะพูดเกี่ยวกับพื้นที่ในลักษณะเดียวกันนี้ คือมันสามารถส่งผลกับเศรษฐกิจโดยรวม มีเงินหมุนเวียนกันในชุมชน คนมาซื้อกาแฟจากร้านในท้องถิ่น ซื้ออาหารจากร้านในท้องถิ่น มันแตกต่างกันมากกับการที่คน
ไปซื้อของจากร้านใหญ่ๆ แล้วเงินก็ไหลออกไปข้างนอก แต่การมีพื้นที่แบบนี้ เป็นการสร้างเมืองที่ยั่งยืนและ
เข้มแข็งได้จริงๆ”

 

DID  YOU  KNOW?

6,300

ตำแหน่ง คืออัตราการจ้างงานในอุตสาหกรรมความคิดสร้างสรรค์
ในบริสตอล

12.7%

จากรายได้ทั้งหมดของเมืองมาจากธุรกิจเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์

Banksy

หลายคนรู้จักผลงานมากมายของศิลปินนิรนามที่ชื่อ Banksy (แบงก์ซี) แต่น้อยคนจะรู้ว่าบ้านเกิดของเขาอยู่ที่บริสตอล สหราชอาณาจักร ไม่ใช่ลอนดอนอย่างที่ใครๆ เข้าใจ จากประวัติบอกว่า เขาลาออกจากโรงเรียนตั้งแต่ชั้นมัธยม ตอนนี้น่า
จะมีอายุราว 42-43 ปี แบงก์ซีสร้างสรรค์งานศิลปะแนวกราฟฟิตีบนกำแพงและพื้นที่สาธารณะมานานกว่า 20 ปี ผลงานของเขาเคยไปปรากฏที่นิวยอร์ก 
แอลเอ ดีทรอยต์ อิสราเอล และอีกหลายเมือง
ทั่วโลก ผลงานของแบงก์ซีนอกจากจะมีอารมณ์ขันและเสียดสีการเมืองอย่างชาญฉลาด ยังถือเป็นงานศิลปะที่สวยงาม จนมีการนำไปประมูลในราคาสูงหลายต่อหลายครั้ง แต่ด้วยความที่งานของเขาอยู่บนพื้นที่สาธารณะ เช่น กำแพงริมถนน บนผนังด้านนอกของอาคาร ฯลฯ เมื่อมีคนชนะการประมูลจึงต้องมีการเคลื่อนย้าย ออกไปจาก
สถานที่เดิม แต่ก็ไม่มีใครครั่นคร้ามกับความลำบาก เพราะเชื่อว่าผลงานของเขาอาจมีราคาพุ่งสูงต่อไปอีกในอนาคต ล่าสุดมีการบันทึกไว้ว่า 
ผลงานที่มีการประมูลไปในราคาสูงที่สุดคือ
ผลงานที่ชื่อ Keep It Spotless (ผลงานร่วมกับ
เดเมียน เฮิร์สต์) ซึ่งได้มีการประมูลไปในราคากว่า 1,800,000 ดอลลาร์สหรัฐ จากการจัดประมูลเพื่อการกุศลของสถาบัน Sotheby ที่มหานครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ค.ศ. 2008 นอกจากนั้นใน ค.ศ. 2015 แบงก์ซียังจัดนิทรรศการกลางแจ้งใน
รูปแบบสวนสนุกชื่อ Dismaland เพื่อล้อเลียน Disneyland และให้คำจำกัดความสวนสนุกนี้ว่าเป็นสวนสนุกที่ไม่เหมาะสำหรับเด็กๆ

 

 

From LONDON To LIVERPOOL

ถ้าใครจะคิดถึงวงดนตรีอย่าง The Beatles ทันทีที่มาถึงลิเวอร์พูลก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะที่นี่คือ
บ้านเกิดของวงสี่เต่าทองวงดนตรีที่โด่งดังข้ามเวลาจากอดีตมาจนถึงปัจจุบัน แต่เราไม่อยากให้คุณจดจำลิเวอร์พูลแค่นี้ เพราะสิ่งที่น่าสนใจ
ไปกว่านั้นก็คือ เมืองนี้คือเมืองที่ได้รับเลือกให้เป็นเมืองสร้างสรรค์ด้านดนตรี หรือ The City of Music จากองค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ใน ค.ศ. 2008 จากความโดดเด่นด้านศิลปะและวัฒนธรรม อันเป็นองค์ประกอบสำคัญของเมือง ส่วนด้านธุรกิจสร้างสรรค์อื่นๆ ลิเวอร์พูลก็ไม่แพ้เมืองใดในอังกฤษเช่นกัน 
เพราะที่นี่มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับ
การเติบโตของครีเอทีฟ ฮับที่สุด และที่ที่เราอยาก
แนะนำให้รู้จักก็คือ Bluecoat

 

 

Bluecoat

ท่ามกลางถนนช้อปปิ้งสายหลักกลางเมืองลิเวอร์พูล มีถนนชื่อ School Lane เมื่อเลี้ยวเข้ามาแล้ว เราจะเห็นอาคารอนุรักษ์จากองค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติที่มีอายุมากกว่า 300 ปี ตั้งตระหง่านอย่างน่าเกรงขาม ขณะเดียวกันก็เรียกร้องให้เข้าไปเยี่ยมชมด้านในเช่นกัน เพราะในปัจจุบันที่นี่คือพื้นที่แห่งการสร้างสรรค์และเรียนรู้ศิลปะแทบทุกประเภทใจกลางเมืองลิเวอร์พูล

“ที่นี่เรามีงานหลักๆ อยู่ 3 ประเภท หนึ่งคือการสนับสนุนศิลปิน เรามีพื้นที่ให้ศิลปินได้สร้างงานของตัวเองถึง 33 ห้อง เช่น มีห้องสำหรับฝึกเต้นรำ มีห้องสำหรับทำงานพิมพ์ มีห้องทำงานให้เช่าสำหรับบริษัทที่ทำงานด้านความคิดสร้างสรรค์ และทุกวัน หรือทุกชั่วโมง ผู้คนจะเข้ามาทำงานที่นี่ มาดื่มกาแฟ และทำกิจกรรมหรือดูนิทรรศการ ขณะเดียวกันเราก็สร้างการมีส่วนร่วมด้วยการจัดโปรแกรมที่เข้าถึงคนจำนวนมาก เช่น มีการเดินทางไปเยี่ยมพื้นที่เสื่อมโทรมที่สุดแห่งหนึ่งในอังกฤษ ซึ่งก็คือพื้นที่แถบชานเมืองลิเวอร์พูล และเด็กๆ ที่มาจากย่านนั้นก็มาทำกิจกรรมที่ Bluecoat ปีละ 4-5 ครั้ง เพื่อมาสนุกกับการสร้างสรรค์งานศิลปะ สิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ก็คือ ผู้คนจากสังคมที่หลากหลายมาพบปะ มีปฏิสัมพันธ์กัน มาพูดคุย มากระทบไหล่ศิลปิน นี่คือวิธีการบ่มเพาะความคิดสร้างสรรค์ด้วยการยอมรับความแตกต่าง นำพาผู้คนที่มีความแตกต่างด้านความคิด และภูมิหลังของครอบครัวให้มาเจอกันได้” มารี โคลก ผู้อำนวยการของ Bluecoat ให้คำอธิบายเพิ่มเติม

 

DID YOU  KNOW?

48,000

คน คือจำนวนของคนที่ทำงานด้านความคิดสร้างสรรค์และดิจิทัล

7,000

คือจำนวนบริษัทที่อยู่ในแวดวง
ความคิดสร้างสรรค์และดิจิทัล
ในลิเวอร์พูล

1,000

ล้านปอนด์ คือตัวเลขรายได้ของเมืองที่เกิดจากธุรกิจสร้างสรรค์ในลิเวอร์พูล

 

 

From LONDON To MANCHESTER

มาลิเวอร์พูลแล้วไม่มาแมนเชสเตอร์ก็กระไรอยู่ 
แต่การมาเยือนแมนเชสเตอร์ของเราในครั้งนี้
ก็ทำให้ภาพจำเกี่ยวกับแมนเชสเตอร์เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด แมนเชสเตอร์สำหรับเราที่ผ่านมาคงไม่มีอะไรมากไปกว่าเมืองแห่งทีมฟุตบอลชื่อดังอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และแมนเชสเตอร์ ซิตี้ หรือเมืองที่เป็นบ้านเกิดของวงดนตรีอย่าง Oasis แต่สิ่งที่เราและหลายๆ คนอาจไม่รู้ก็คือ เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากลอนดอนแห่งนี้ ในอดีตที่นี่เคยเป็นเมืองแห่งการผลิตสิ่งทอ และเป็นเมืองแห่งการปฏิวัติอุตสาหกรรมแห่งแรกของโลก แต่เมื่อหลายร้อยปีผ่านไป เมืองที่เคยโด่งดังเรื่องสิ่งทอก็เปลี่ยนรูปโฉมใหม่กลายเป็นเมืองที่โดดเด่นเรื่องเทคโนโลยีไปได้อย่างน่าทึ่ง และครีเอทีฟ ฮับที่เราอยากพาไปทำความรู้จักก็คือ Madlab  

 

 

Madlab

ที่นี่คือ maker space ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสร้างสรรค์ที่ไม่หวังผลกำไร แต่เป็นกำลังสำคัญในการสนับสนุนชุมชนดิจิทัลในมืองแมนเชสเตอร์ให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน ถ้าคุณมาที่นี่ สิ่งที่จะได้เห็นก็คือ ผู้คนจากทุกช่วงวัยมารวมตัวกันสร้างนวัตกรรมและเรียนรู้เทรนด์ใหม่ๆ ตลอดเวลา ราเชล เทอร์เนอร์ ผู้อำนวยการของ Madlab ให้เวลามาพูดคุยกับเราเรื่องบทบาทที่สำคัญของครีเอทีฟ ฮับกับชุมชนด้วยว่า

“ฉันคิดว่าสิ่งสำคัญที่เราได้ช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์คือ การทำให้คนรู้สึกอิสระ พึ่งพาตัวเองได้ ทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเองได้ ที่นี่มีโปรแกรมหลากหลายให้พวกเขาเรียนรู้ คนที่มาที่นี่จึงมีทุกช่วงวัย และมีคนทุกระดับความสามารถ แต่ละคนสามารถค้นพบสิ่งที่พวกเขาชอบและเดินหน้าไปกับสิ่งนั้นได้ นั่นคือ
ความรู้สึกของการทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง”

 

DID YOU  KNOW?

50,000

คือตำแหน่งงานที่เกี่ยวกับนวัตกรรม และดิจิทัล

250

คือจำนวนธุรกิจที่เกี่ยวกับนวัตกรรมความคิดสร้างสรรค์และดิจิทัล

60,000,000

ปอนด์ คือเม็ดเงินจากนักลงทุนที่หลั่งไหลเข้ามา เพราะเชื่อมั่นในกลยุทธ์
ด้านดิจิทัลของเมืองแมนเชสเตอร์

 

Special Interview

บทสัมภาษณ์พิเศษ ดร. พัชรวีร์ ตันประวัติ หัวหน้าฝ่ายศิลปะ
และอุตสาหกรรม
สร้างสรรค์ ประจำ
บริติช เคานซิล (ประเทศไทย)​ ผู้
รับผิดชอบและริเริ่มทำคู่มือสำหรับการพัฒนาครีเอทีฟ ฮับเป็นภาษาไทย รวมถึงสร้างการสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องครีเอทีฟ ฮับผ่านกิจกรรมเสวนา อบรม ประชุม 
และร่วมทำสารคดีเรื่องครีเอทีฟ ฮับในสหราช-อาณาจักรกับ THE STANDARD เพื่อให้เกิดความเข้าใจเรื่องครีเอทีฟ ฮับมากขึ้น

 

ครีเอทีฟ ฮับ ในความหมายที่ควรจะเป็นคืออะไร

ครีเอทีฟ ฮับ แปลเป็นภาษาไทยได้ยาก แต่ถ้าแปลตรงตัวเลยก็คือ การเป็นจุดเชื่อมต่อของความคิดสร้างสรรค์ เป็นพื้นที่ให้ผู้คนมาพบปะกัน เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางความคิด จนเอื้อให้เกิดการคิดค้นหรือแนวคิดใหม่ๆ และการพัฒนาที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชนและสังคม

พื้นที่แบบนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นพื้นที่ในอาคาร แต่เป็นพื้นที่ออนไลน์ หรือกลุ่มคนก็ได้ ขอให้เกิดการรวมกลุ่มและแลกเปลี่ยนความคิดสร้างสรรค์ก็พอ เช่น พื้นที่ศิลปะวัฒนธรรมโคเวิร์กกิ้งสเปซเครือข่ายต่าง ๆ หรือ maker space แต่องค์ประกอบสำคัญที่สุดคือ คนและชุมชนที่มารวมตัวกัน 
อีกส่วนหนึ่งคือ การกระตุ้นให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดสร้างสรรค์ที่นำไปสู่การพัฒนา ถ้าขาด
สิ่งใดสิ่งหนึ่งในนี้ก็ไม่ใช่ครีเอทีฟ ฮับ ในประเทศไทยหลายคนคิดว่าสตาร์ทอัพกับครีเอทีฟ ฮับเป็น
สิ่งเดียวกัน แต่ที่จริงแล้วสตาร์ทอัพเป็นรูปแบบของธุรกิจ ในขณะที่ครีเอทีฟ ฮับเป็นพื้นที่เพื่อ
สร้างสิ่งที่ดีขึ้น อาจจะเป็นธุรกิจหรือไม่เป็นก็ได้

 

รูปแบบการสนับสนุนให้ครีเอทีฟ ฮับเกิดขึ้นจริงและแพร่หลายควรจะเป็นอย่างไร

ครีเอทีฟ ฮับเป็นคำใหม่สำหรับไทย แต่ในด้านแนวคิดเป็นสิ่งที่เรามีอยู่นานแล้ว เพียงแต่เราไม่ได้คิดถึงพื้นที่เหล่านั้นในลักษณะของการเป็นฮับ
สิ่งสำคัญที่ฮับต้องมีคือ การมีส่วนร่วมอย่างเข้มแข็งของชุมชนที่มีความสนใจในเรื่องเดียวกัน และต้องการสร้างประโยชน์ในกับสังคมของตัวเอง 
ดังนั้นจุดแรกคือ ต้องมีการรวมกลุ่มของคน ต้องมีผู้นำฮับที่เข้มแข็ง และเข้าใจศักยภาพของชุมชน ซึ่งชุมชนในที่นี้หมายถึงสมาชิกของฮับและผู้ที่
เข้ามาใช้บริการ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่อย่าง maker space หรือสตูดิโอศิลปะ ต้องมีกิจกรรมสม่ำเสมอที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการแลกเปลี่ยน เรียนรู้
และพัฒนา รวมทั้งต้องมีรูปแบบธุรกิจที่ยั่งยืน 
ทำให้ฮับอยู่ได้ด้วยตัวเอง นี่เป็นเหตุผลว่าทำไม
ฮับถึงมีร้านอาหาร และร้านกาแฟ เพราะเป็น
ส่วนหนึ่งที่ช่วยสร้างรายได้ให้ฮับนำกลับมาลงทุนในการพัฒนาพื้นที่ต่อไป

ที่สำคัญอีกอย่างก็คือ การสนับสนุนจาก
ภาครัฐ อาจจะเป็นการให้สิทธิพิเศษในด้านภาษีสำหรับฮับที่มีลักษณะเป็นบริษัทเพื่อผลประโยชน์ของชุมชน หรือเป็นวิสาหกิจชุมชน และสนับสนุนหรือร่วมลงทุนพัฒนาฮับให้เติบโตขึ้น หรือมีการ
นำสถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัยเข้ามามีส่วนร่วมในการวิจัย หรือสร้างนวัตกรรมต่าง ๆ ร่วมกับฮับนั้นๆ

 

อะไรคือข้อจำกัดหรืออุปสรรคที่ทำให้เรื่องของครีเอทีฟ ฮับยังไม่แพร่หลายในประเทศไทย

สิ่งที่เราคิดว่าประเทศไทยยังขาดคือ ความเข้าใจในแนวคิดเรื่องฮับ สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่การมีพื้นที่ แต่อยู่ที่การสร้างความเข้มแข็งและการแลกเปลี่ยนของชุมชน ซึ่งเรามองว่า การสร้างฮับ สิ่งที่สำคัญเป็นอันดับหนึ่งคือ คนและการสร้างในเกิดการปฏิสัมพันธ์ของคน ดังนั้นต้องสร้างความเข้าใจกันว่า การมีพื้นที่เช่นร้านกาแฟที่เปิดให้คนมานั่งทำงานแล้วต่างคนก็ต่างไปนี่ไม่เรียกว่าฮับนะ การเป็นฮับต้องกระตุ้นให้เกิดการคิดและเรียนรู้ รองลงมาจะเป็นเรื่องเงินทุนหรือรูปแบบธุรกิจและการบริหารจัดการ ซึ่งก็ต้องมีการเรียนรู้เพิ่มเติมจากประสบการณ์ของฮับอื่นๆ และจากผู้เชี่ยวชาญ 
แต่จริงๆ ตอนนี้ประเทศไทยก็มีบรรยากาศที่ดีสำหรับการเริ่มต้นเรื่องนี้

 

Photo: ทรงพล จั่นลา, ธนิต นฤพนธ์จิรกุล

The post MAY THE CREATIVE FORCE BE WITH YOU appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/may-the-creative-force-be-with-you/feed/ 0
RUN IT FORWARD https://thestandard.co/run-it-forward/ https://thestandard.co/run-it-forward/#respond Tue, 21 Nov 2017 16:00:13 +0000 https://thestandard.co/?p=48417

     ท้ายที่สุดแล้วสาระแห่งการ ‘วิ่ง’ แต […]

The post RUN IT FORWARD appeared first on THE STANDARD.

]]>

     ท้ายที่สุดแล้วสาระแห่งการ ‘วิ่ง’ แต่ละย่างก้าวนั่นคือ ‘เอาชนะใจตนเอง’ แต่นอกเหนือจากเอาชนะหัวใจและร่างกาย ดูเหมือนว่าก้าววิ่งตลอด 5 ปีที่ผ่านมาของ ‘ตูน บอดี้สแลม’ อาทิวราห์ คงมาลัย จะพาเขาไปได้ไกลว่านั้น นั่นคือการชนะใจผู้คนตลอดสองข้างทาง ต่างพื้นที่ ต่างสถานะ 
ต่างความเชื่อ ต่างศาสนา ฯลฯ และแน่นอนว่า
มันกลายเป็นปรากฎการณ์ที่ชนะใจคนไทยที่ติดตามข่าวสารจากทั่วประเทศ

     ฉะนั้นตลอดหลายสิบวันของการวิ่งระยะไกลกว่า 2,000 กิโลเมตร จากอำเภอเบตง จังหวัดยะลา เรื่อยไล่ขึ้นสู่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ในโครงการก้าวคนละก้าว เพื่อ 11 โรงพยาบาลทั่วประเทศ

     THE STANDARD ค้นพบว่าสาระสำคัญ
ของการวิ่งครั้งนี้จึงไม่ใช่การเอาชนะสิ่งใด เพราะเป้าหมายที่แท้จริง คือการสื่อสารเชิงสัญลักษณ์ทางด้านสุขภาพกาย ที่ผู้ชายคนหนึ่งหวังเพียงส่งต่อแรงบันดาลใจจากก้าววิ่งของเขาไปถึงใครสักคนที่ติดตามข่าวสารจากที่ไหนสักแห่ง

     ตกลง ‘ตูน บอดี้สแลม’ จะวิ่งไปทำไม

     แท้จริงแล้วสำหรับเขา สาระของการวิ่งคืออะไร และผู้ชายที่ถ่อมตัว ขี้เกรงใจ ทำไมถึงตัดสินใจออกมาทำเรื่องที่เข้าขั้นบ้าระห่ำขนาดนี้

     ย้อนรอยกลับไปทบทวนความคิดของเขา
ให้ลึกซึ้งขึ้น นับตั้งแต่ก้าววิ่งแรกจนกระทั่งถึงก้าววิ่งล่าสุด เพื่อให้การส่งเสียงเชียร์ระหว่างการวิ่งจากเบตงขึ้นไปถึงแม่สาย สูงสุดแดนสยามนั้นมีพลังมากยิ่งขึ้น  

 

 

เรียนรู้จาก ‘ก้าวแรก’ คือเอาชนะใจตัวเอง

     ว่ากันว่าหัวใจของการวิ่งมาราธอน คือการแข่งกับหัวใจของตัวเองล้วนๆ อยากถามนักวิ่งที่ตอนนี้กำลังวิ่งจากใต้สุดขึ้นไปสู่เหนือสุดแดนสยามว่า
จริงแค่ไหน มากไปกว่านั้นจุดเริ่มต้นที่ก้าวแรก
ของคุณ กว่าจะมาถึงภาพที่คนไทยทั้งประเทศเห็นในวันนี้ ตูน บอดี้สแลม ผ่านอะไรมาบ้าง

     เริ่มต้นจากประมาณ 5 ปีก่อน ผมเป็นหมอนรองกระดูกเลื่อนที่คอ คุณหมอเลยห้ามเล่นกีฬาที่ผมชอบที่สุดคือฟุตบอล เพราะถ้าต่อไปจะโหม่งบอล หรือโดนปะทะหนักๆ อาจจะเป็นอัมพาตได้ แต่พื้นฐานแล้วเราเป็นคนชอบออกกำลังกาย พอหมอสั่งห้ามทำกิจกรรมที่ชอบ ก็เริ่มคิดว่าถ้าอย่างนั้นเราจะทำอะไรดี ช่วงหนึ่งเลยไปตีปิงปอง

     จนกระทั่งวันหนึ่ง พี่เต็ด-ยุทธนา บุญอ้อม ชวนไปวิ่งรายการ วิ่งสู่ชีวิตใหม่ เป็นรายการของ สสส. (สำนักงาน
กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ) มันคือช่วงเดียวกับที่ภาพยนตร์เรื่อง รัก 7 ปี ดี 7 หน (พ.ศ. 2555) ของค่าย GTH กำลังเข้าฉาย เราก็ไปทั้งๆ ที่ไม่เคยวิ่ง
มาก่อน รายการนั้นเป็นมินิมาราธอน (ระยะทาง 10 กิโลเมตร) รายการแรกในชีวิตเลย

     ก่อนออกวิ่งเราคิดแค่ว่าก็มาออกกำลังกาย ไม่เคยรู้ว่าสาระของการวิ่งคืออะไร คิดว่าเมื่อก่อนเตะบอล
เป็นชั่วโมงยังไม่เหนื่อย อายุก็ยังไม่เยอะด้วย วิ่ง 10 
กิโลฯ น่าจะจบได้สบายๆ แต่พอถึงเวลาวิ่งจริง ตอนจบกิโลเมตรแรกก็ยังวิ่งสบายนะครับ ใช้ความเร็วได้ แซงคนเยอะเลย (ยิ้ม) แซงทั้งเด็ก ผู้หญิง คนชรา แซงหมดเลย แต่พอถึงประมาณกิโลเมตรที่ 3 ความเร็วเริ่มลด 
แรงเริ่มหมด เริ่มกินน้ำ เพราะวิ่งแบบไม่ได้เผื่อแรงไว้ พอถึงกิโลเมตรที่ 5 เริ่มเดิน ข้างหน้ามีจุดให้กินน้ำ 
หยิบมาดื่มแล้วก็เดิน เหนื่อยว่ะ หลังจากนั้นก็ทยอยกันมาแล้ว เด็ก สตรี คนชราที่เคยแซงมาในช่วงแรก แล้วเขาก็เริ่มแซงเราไปด้วยสไตล์การวิ่งเนิบช้า แต่ไม่หยุด

 

RUNNING SHOES  

     แม้รองเท้าวิ่ง’ (ที่ร่วมกับไนกี้) เพื่อพิชิตความฝันของตูนในครั้งนี้
จะเป็นข่าวฮือฮาและดราม่า
ไปบ้าง แต่เป้าหมายแท้จริงเพื่อ
เพิ่มศักยภาพและลดการบาดเจ็บ 
โดยตูนได้รับคำแนะนำให้สลับ
ใช้รองเท้าในระหว่างการวิ่งทั้งหมด 5 คู่ Nike Zoom Fly หรือ Nike Zoom Vaporfly 4%  ตลอดการวิ่ง 55 วัน

 

เจอแบบนั้นช็อกเลยไหม       

     ตอนนั้นหลายอารมณ์ (ยิ้ม) คิดสภาพว่าวัยรุ่นคนหนึ่งที่คิดว่าเราแข็งแรงกว่า เพราะเล่นกีฬามาทั้งชีวิต เตะบอลตูมตาม แต่ภาพตอนคุณน้า คุณป้าวิ่งแซงเราไปเรื่อยๆ
ด้วยสเต็ปแบบก้าวช้า แต่ว่ามั่นคง ตอนนั้นเริ่มตั้ง
คำถามว่ามันคืออะไร เราแข็งแรงกว่าเขาไม่ใช่เหรอ แล้วนี่มันคืออะไร

     ตั้งแต่กิโลเมตรที่ 5-6-7 ผมก็วิ่งช้าสลับเดิน สุดท้ายจบรายการที่เวลา 1.20 ชั่วโมง ซึ่งถือว่าเป็นเวลาที่
แย่มาก แต่พอวิ่งเข้าเส้นชัยในรายการแรก มันเกิดหลากหลายอารมณ์รวมกัน แต่มีอารมณ์หนึ่งที่จำได้
คือ ‘ติดใจ’ ทั้งที่อารมณ์ระหว่างทางปวดเท้ามากเลย มันทรมาน มันไปข้างหน้าช้า หรือมันจะอะไร แต่พอ
เข้าเส้นชัย ได้เหรียญ ได้เสื้อ เฮ้ย อยากวิ่งอีก

     หลังจากจบรายการนั้น เรามองหาว่าครั้งต่อไป
จะไปวิ่งที่ไหนดี ผมถามพี่นักวิ่งที่วิ่งอยู่ข้างๆ ว่ามันจะ
มีรายการวิ่งที่ไหนอีก เขาเปิดรับกันยังไง แล้วต่อจากวิ่งที่ระยะทาง 10 กิโลฯ มันคืออะไร (หัวเราะ) ห้าวด้วย แทนที่จะหยุดอยู่ที่ 10 กิโลฯ

     พี่เขาก็ตอบผมกลับมาว่า อ๋อ เขาเรียกว่าฮาล์ฟมาราธอน มันจะวิ่งไกลเพิ่มขึ้นอีกเท่าหนึ่งของระยะนี้นะน้อง คิดในใจว่า ที่เพิ่งวิ่งมาก็หนักมากแล้วนะ นี่จะต้องวิ่งไกลเพิ่มขึ้นอีก 10 กิโลฯ เหรอเนี่ย แต่ก็ไม่วายถามเขาต่อไปอีกว่าที่ไหน พี่เขาก็บอกกลับมาว่าเดี๋ยวจะมีรายการ ‘กรุงเทพ มาราธอน’ อีกประมาณ 3 เดือนข้างหน้า พอรู้เราก็อยากไป ระหว่างนั้นก็คิดในใจด้วยว่าจะลงระยะ 10 กิโลฯ หรือจะซ้อมให้ดี แล้วเพิ่มระยะไปลงฮาล์ฟมาราธอนที่ 21 กิโลฯ เลยดีไหม คือเราเป็นคนแถวๆ นี้ บ้าบอ (หัวเราะ)

“คนที่ต้องบังคับตัวเองให้ตื่นตอนเช้าๆ ทั้งที่ทำงานเหนื่อยมาตลอดสัปดาห์ พอวิ่งจบ วิ่งได้เวลาเท่าไรก็ได้ แต่ภูมิใจที่อย่างน้อยชนะใจตัวเอง เอาชนะความขี้เกียจ ผมเชื่อว่าคนที่ออกมาวิ่งส่วนใหญ่ภูมิใจตรงนี้”

 

หลังจากผ่าน 10 กิโลเมตรแรกไปได้ ความคิดที่เคยมีต่อการวิ่งเปลี่ยนไปเลยไหม

     มันไม่เปลี่ยน เพราะเราไม่ได้มีอะไร เราบริสุทธิ์มาก 
ไม่ได้คิดด้วยว่า ถ้าวิ่งไม่ไหวแล้วเราจะอายหรือเปล่าจบวันนั้น สิ่งที่เราเรียนรู้คือ สนามใครสนามมัน กีฬาใครกีฬามัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง อายุ เพศ ความแก่ ความเด็ก ไม่สามารถตัดสินได้เหมือนกันกับทุกกีฬา ทุกการกระทำ ทุกอาชีพ เมื่อวานเราคิดว่าตัวเองแข็งแรงกว่าเขา เราอาจจะงัดข้อชนะ แต่ถ้ามาวิ่งแข่งกัน มันไม่ใช่เลย
เพราะมันคือกีฬาคนละอย่าง ใช้จินตนาการคนละอย่าง ตรรกะคนละแบบ ใช้กำลังร่างกายคนละแบบ ฝึกซ้อมมาคนละแบบ ได้ประสบการณ์คนละแบบ ฉะนั้นเราไม่สามารถนำทักษะความสามารถในสนามฟุตบอลมาใช้ในสนามวิ่งได้

 

กลับมาที่ความรู้สึกติดใจ ที่บอกว่าติดใจนี่คุณติดใจอะไร เพราะอยากวิ่งอีก หรือคาใจไม่ยอมแพ้ อยากทำให้ดีขึ้น

     ไม่ได้คาใจนะครับ แต่มันติดใจจริงๆ ผมเชื่อว่าหลายคนที่เคยวิ่งจะรู้ ตอนวิ่งเหนื่อยจังเลย แต่พอเข้าเส้นชัยแล้วหน้าตาผ่องใส สดชื่น อยากวิ่งอีก มองหาว่ารายการหน้าจะมีที่ไหนอีก

     คนที่เคยออกไปรายการวิ่งแล้วต้องบังคับตัวเองให้ตื่นตอนเช้าๆ ทั้งที่ตัวเองทำงานเหนื่อยมาตลอดสัปดาห์ แต่ถึงเวลาต้องตื่นตั้งแต่ตี 3 ตี 4 ออกไปวิ่ง แล้วพอ
วิ่งจบ วิ่งได้เวลาเท่าไรก็ได้ เดินจนจบก็ได้ แต่ภูมิใจที่อย่างน้อยชนะตัวเอง ลุกออกจากที่นอน เอาชนะความขี้เกียจ ผมเชื่อว่าคนที่ออกมาวิ่งส่วนใหญ่ภูมิใจตรงนี้

“ถ้าพูดแบบโอเวอร์ ภาษาสวยงาม มันคือสิ่งสวยงามที่สุดที่ผมเจอในชีวิต เราเจอกีฬาที่ชอบและอยู่กับมันได้ทุกวันรองเท้าคู่หนึ่ง กางเกงตัวหนึ่ง เสื้อตัวหนึ่ง ออกไปวิ่งได้แล้ว”

 

ก้าวที่สอง ฮาล์ฟมาราธอนแรกในชีวิต

     จบการวิ่งคราวนั้น 3 เดือนถัดมา ตูนไปงาน ‘กรุงเทพ มาราธอน’ แล้วก็ลงวิ่งระยะ 21 กิโลเมตร ถือเป็นฮาล์ฟมาราธอนแรกของชีวิต ในสภาพที่เขา
เล่าให้ฟังอย่างอารมณ์ดีว่าเป็นฮาล์ฟมาราธอนที่สะบักสะบอมที่สุด!  

     ผมเชื่อว่ามีหลายคนจำภาพการวิ่งของผมวันนั้นได้ คือเข้าเส้นชัยด้วยอาการตะคริวกินขาทั้งสองข้าง คือถ้าตะคริวกินแค่ขาเดียวมันยังพอที่จะวิ่งกระด๊อกกระแด๊กต่อไปได้บ้าง แต่สองขานี่ต้องเดินครับ แล้วเดินด้วยความทุเรศด้วย (หัวเราะ) สำคัญคือรายการกรุงเทพ มาราธอน มันจะคราคร่ำไปด้วยผู้คนและกองเชียร์ แต่ที่เส้นชัยในวันนั้นทุกคนได้เป็นประจักษ์พยานการเข้าเส้นชัยของผมในสภาพที่แย่มาก

     จำได้เลย ผมได้ยินเสียงคนตะโกนมา “ตูนวิ่งสิ 
ตูนวิ่งสิ” ใจผมตอนนั้นนี่อยากจะวิ่งเข้าเส้นชัยอย่าง
สง่างาม แต่สภาพตอนนั้นแค่เดินก็จะไม่ไหวแล้ว ตอบไปแค่ว่า “ครับผมๆ” มันเป็นช่วงเวลาที่ถูกจับจ้อง มีเสียงเชียร์ อาจจะมีการหยอกล้อ ประณามด้วยอีกนิดหนึ่ง แต่สุดท้ายก็วิ่งจบด้วยความสุข มีรอยยิ้ม

     เรารู้แล้วว่าการวิ่งมันไม่ง่าย 21 กิโลฯ แรกในชีวิตจบลงอย่างเจ็บปวดร่างกาย แต่ว่าอิ่มใจ (ยิ้ม) จากนั้นก็ตั้งเป้าหมายใหม่ทันทีว่าอีก 1 ปีเจอกัน ‘ฟูลมาราธอน’ 42 กิโลฯ แรกในชีวิตที่รายการนี้ กรุงเทพ มาราธอน

 

ดูเหมือนจะเป็นคนประเภทที่ถ้าติดใจ ตั้งใจทำอะไรแล้วต้องไปให้สุดนะ เช่น ทำวงดนตรีก็ต้องตั้งใจให้สุด เล่นปิงปองก็ไปจนถึงติดทีมชาติ การวิ่งนี่ติดใจแล้วก็ตั้งใจจะไปจนสุดด้วยเหมือนกัน

     ผมจะเป็นคนประมาณว่า ถ้าตั้งเป้าอะไรจะตั้งเกินความคาดหวังของตัวเองไว้ก่อนครับ แล้วพอเราตั้งเป้าเกินไว้ เป้าหมายมันก็จะบอกให้เราฝึกซ้อม มีการวางแผนเพื่อให้ได้ตามเป้าที่ตั้งเกินไว้ แล้วพอเราลองไปทำมันจริงๆ ถึงแม้จะทำได้ไม่ถึงเป้านั้น แต่ผมเชื่อว่าอย่างน้อย
มันก็คงออกมาไม่แย่สักเท่าไร

     อย่างที่สอง ผมเป็นคนที่ถ้าพูดกับตัวเองหรือสัญญากับตัวเองไว้แล้ว จะพยายามทำให้เกิดขึ้นจริงให้ได้ 
เราไม่รู้หรอกว่าจะทำมันได้สำเร็จมากน้อยแค่ไหน แต่จะลองลงมือทำก่อน เช่นเดียวกัน พอตั้งเป้าว่าปีหน้าจะกลับมาวิ่งฟูลมาราธอน 42 กิโลฯ ซึ่งระยะเวลา 1 ปีนั้น 
ผมก็ไม่ได้มีเวลาฝึกซ้อมอย่างเดียว เพราะผมก็ต้องทัวร์คอนเสิร์ต พร้อมทั้งทำอัลบั้มใหม่ไปด้วย สุดท้ายคนทำงานจะรู้เลยว่าเวลา 1 ปี ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

     ผมจำได้เลยว่าวันนั้นผมอัดเพลงในอัลบั้ม ดัม-มะ-ชา-ติ อยู่ที่แกรมมี่ กรุงเทพ มาราธอน เริ่มวิ่งตอนตี 2 ผมอัดเพลงเสร็จตอนเที่ยงคืน ตอนนั้นเราเริ่มทะเลาะกับตัวเอง ยังไม่ได้นอน ซ้อมวิ่งก็ไม่ค่อยได้ซ้อม แล้วจะไปดีไหม วิ่งแล้วจะตายไหมเนี่ย งอแงกับตัวเอง ตัวขาวกับตัวดำตีกันใหญ่เลย (ยิ้ม)

     สุดท้ายตัดสินใจไป เราเตรียมชุดมาจากบ้านอยู่ก่อนแล้ว แปลงร่างเป็นนักวิ่งตั้งแต่ที่แกรมมี่ ระหว่างทางนอนบนรถตู้ ไปถึงจุดสตาร์ทข้างวัดพระแก้วประมาณตี 1 ลงไปยืดเส้นยืดสาย ตั้งใจไว้ว่ายังไงจะวิ่งให้ถึง
เส้นชัยก่อน 6 ชั่วโมง ตามเวลาที่เขากำหนดไว้ว่า 
ถ้าไม่เกินจะได้เหรียญ ได้เสื้อ คือเราอยากได้ (ยิ้ม) คำนวณไว้ว่าถ้าเราวิ่งๆ หยุดๆ คุยๆ น่าจะทำได้ สุดท้ายผมเข้าเส้นชัยโดยใช้เวลา 5.40 ชั่วโมง รู้สึกขอบคุณมากที่ตอนอัดเพลงเสร็จไม่ตัดสินใจกลับบ้านไปนอน ไม่อย่างนั้นจะรู้สึกแพ้มาก

 

พอได้มารู้จักกับการวิ่ง เริ่มติดใจการวิ่ง คุณคิดว่าความสนุกของการวิ่งคืออะไร เพราะบอกเองว่าถ้าไม่มีความสุข ไม่สนุก ขอไม่ทำ

     ช่วงปีแรกๆ มันจะเจอกับการวิ่งเพื่อท้าทายตัวเองในระยะ 10 กิโลฯ เรารู้แล้วว่ารายการแรกทำเวลาได้ 1.20 ชั่วโมง พอวิ่งต่อไป เวลาลดเหลือ 1.10 ชั่วโมง เรารู้สึกเลยว่ามีความสุข เราพัฒนาตัวเอง เราซ้อมวิ่งจนทำ
เวลาดีขึ้นได้นี่นา

     สิ่งเหล่านี้คือกระบวนการเรียนรู้ที่เราเพิ่งรู้ว่าพอซ้อมแล้วเก่งขึ้น วิ่งแล้วทำเวลาได้เร็วขึ้น เรามีความสุข 
ถ้าเราไม่ซ้อม เราจะไม่เก่งขึ้น ตรงนี้เองที่สอนเราในชีวิตประจำวัน รวมไปถึงการทำงานได้ด้วยว่าทุกอย่าง
มันดีขึ้นได้ ถ้าเราให้เวลากับมัน ใส่ใจและทุ่มเทกับมัน จากสนามแรกในระยะ 10 กิโลฯ ที่ผมเคยทำเวลาได้ 1.20 ชั่วโมง จนถึงวันนี้เวลาดีที่สุดของผมคือ 43 นาที

     ผมไม่รู้หรอกว่าสำหรับวงการนักวิ่งมันคือเวลา
ที่ดีแค่ไหน ผมแค่เห็นความแตกต่างของตัวเองจากการวิ่งครั้งแรกที่เกิดขึ้นจากการค่อยๆ ทำมันด้วยความสุข
ไปเรื่อยๆ ปุ๊บปั๊บผ่านไป 1 ปี 2 ปี 3 ปี จนตอนนี้ผ่านมา 5 ปี ลองมองย้อนกลับไปจากที่เคยวิ่งมาสักหน่อย 
โอ้โห มันมาไกลอย่างนี้เลยเหรอวะ แต่นี่แหละ ชีวิตผม
ที่ผ่านมามันไม่ใช่ว่าได้มาอย่างก้าวกระโดด เพราะของอย่างนี้มันก้าวกระโดดไม่ได้ ทุกเรื่องต้องใช้เวลา ทุกวันนี้เวลาออกทัวร์คอนเสิร์ตที่จังหวัดนี้ ผมมีชุดวิ่งอยู่ในกระเป๋า นั่งอยู่ในรถตู้ อีก 10 กว่ากิโลฯ จะถึงโรงแรม
ที่พัก ผมบอกพี่คนขับให้ปล่อยลงตรงนี้เลยครับ เปลี่ยนชุดในปั๊มน้ำมัน ผมขอวิ่งไปโรงแรม เดี๋ยวเราเจอกัน 
ผมวิ่งอย่างสนุก ไม่มีใครมาบังคับ

     ถ้าพูดแบบโอเวอร์ ภาษาสวยงาม มันคือสิ่งสวยงามที่สุดที่ผมเจอในชีวิต เราเจอกีฬาที่ชอบและอยู่กับมัน
ได้ทุกวัน เราไม่ต้องนัดเพื่อนเตะบอล ซึ่งกว่าจะว่างพร้อมกัน บางทีตั้งอาทิตย์หนึ่ง หรือถึงลงไปเล่นในสนาม เราก็เตะบอลแรงๆ ปะทะแรงๆ ไม่ได้แล้ว เพราะเคยมีอาการหมอนรองกระดูกเลื่อนที่คอ ถ้าอย่างนั้นเราวิ่ง
นี่แหละ มีความสุขดีแล้ว รองเท้าคู่หนึ่ง กางเกงตัวหนึ่ง เสื้อตัวหนึ่ง ออกไปวิ่งได้แล้ว

     ทุกคนไม่ต้องวิ่งเร็วที่สุดหรือไกลที่สุด แต่ให้รู้ว่า
ตัวเองมีความสุขกับการวิ่งแค่นี้ก็พอแล้ว พอเห็นว่า
น้ำหนักเยอะขึ้นหรืออะไรก็ตาม แค่เลือกจะออกไปวิ่ง 
3 กิโลฯ หน้าหมู่บ้าน แทนที่จะเลือกกินขนมบนโซฟา
ก็ชนะตัวเองได้

     ทุกคนมีชัยชนะของตัวเองได้จากการวิ่ง โดยเลือกจะชนะตัวเองขั้นแรกคือ เลือกที่จะออกไปทำก่อน พอวิ่งแล้วติดใจ ต่อมาถึงค่อยเลือกวิ่งให้ไกลหรือเร็วกว่าเดิม เพื่อพัฒนาตัวเอง แล้วพอเห็นถึงพัฒนาการ เราอาจจะมองเห็นถึงความสุขจากการวิ่ง

 

 

จากก้าวเพื่อตัวเอง กระทั่งก้าวเพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คน

     จริงๆ แล้วมันเป็นการวิ่งเพื่อตัวเองเหมือนกันนะครับ คือวิ่งเพื่อให้ตัวเองมีความสุข อย่างที่ผมบอกว่า
ถ้าไม่สนุก ไม่มีความสุข ผมเลือกที่จะไม่ทำดีกว่า

     การทำอะไรแบบนั้นในปีที่ผ่านมา ทำสิ่งนี้แล้ว
มีความสุข ทำแล้วน่าจะมีประโยชน์กับคนอื่น จากนั้นค่อยลงมือทำ คิดถึงปลายทางว่า ถ้าจะทำให้เกิดประโยชน์ที่สุดต้องทำยังไง   

     สุดท้ายต้องกลับมาตั้งเป้าจากความสุขและความสนุกก่อนว่า วิธีการที่เราคิดมาเนี่ย เมื่อเกิดขึ้นแล้วเราจะมีความสุข สนุกกับมันไหม แต่นั่นเป็นสเต็ปที่สอง 
สเต็ปแรกคือ เราออกมาวิ่งทุกวัน ไม่ว่าจะแดดร้อน หรือปวดขา หน้าตาเหยเก ต้องฝังเข็ม ต้องรับการรักษายังไง ทั้งหมดมันล้วนแต่เป็นขั้นตอนความสนุกของผมที่
เราอยากจะพิชิตระยะทางวิ่งนี้ให้ได้ พิสูจน์ตัวเองให้ได้

 

ในเมื่อเป็นคนชอบความท้าทาย และเป้าหมายใน
การทำอะไรก็มักจะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ถ้าสุดท้ายคุณวิ่งจากใต้สุดถึงเหนือสุดแล้ว เป้าหมายต่อไปคืออะไร 
จะใหญ่และไกลกว่านี้อีกไหม  

     บอกตามตรงว่าผมไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับแง่นั้นเลยครับ ตอนนี้ผมขอแค่ให้ตรงนี้มันผ่านไปได้ก่อน เพราะอย่างตอน 400 กิโลฯ จากกรุงเทพฯ-บางสะพานครั้งที่แล้ว 
ผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าจะสำเร็จไหม เพราะผมก็ไม่เคย
วิ่ง 400 กิโลฯ มาก่อน (หัวเราะ) หรือแม้กระทั่ง
คนที่วิ่งข้ามอเมริกา เขาก็ไม่เคยวิ่งข้ามมาก่อน ก็เลย
ต้องพิสูจน์ไงว่าจะทำได้หรือเปล่า ถ้าเขาทำได้แล้ว 
มันก็ไม่ท้าทาย

     มันก็คงเป็นเสน่ห์มั้ง ในการทำอะไรสักอย่างหนึ่งแล้วคอยดูว่าผลของมันจะล้มเหลวหรือประสบความสำเร็จ แต่คำว่าล้มเหลว สำหรับผมมันคือความหมายแบบเดียวกับคำว่าล้มเหลวของคนอื่นหรือเปล่าไม่รู้นะ เพราะสำหรับผมไม่ว่าจะเป็นการวิ่งระยะไหน ผมคิดว่ามันคือความสำเร็จของผมว่ะ อย่างการวิ่งครั้งนี้ ถ้าผมวิ่งได้ไกลกว่า 400 กิโลฯ นั่นก็คือระยะไกลที่สุดเท่าที่ผมเคยวิ่งได้แล้ว มันคือความสำเร็จของผมแล้ว

     สมมติว่าครั้งนี้ผมไปได้ไม่กี่กิโลฯ แต่อย่างน้อย
เงินบริจาคมันเกิดขึ้นจริง มันไม่ใช่การเล่นเกมโชว์
ที่ถ้าวิ่งไม่สำเร็จตามเป้า แล้วเงินมันจะสลายไปนะครับ ไม่ใช่ เงินยังมีอยู่ เพราะฉะนั้นเงินบริจาคตรงนั้นมันคือ
เรื่องจริงที่มันจะช่วยชีวิตคนได้จริงๆ หรือผมวิ่งไปไม่ถึง แต่กลายเป็นแรงบันดาลใจให้คนมาออกกำลังกาย
กันมากขึ้นได้ ดูแลสุขภาพตัวเองได้ นี่คือเรื่องจริง หรือวิ่งไปไม่ถึง แต่มีกำลังใจจากคนไทยระหว่างทางส่งมา
ให้คุณหมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลของรัฐทั่วประเทศ เหล่านี้คือเรื่องจริง

     ผมถึงบอกว่าจริงๆ แล้ว การวิ่งมันเป็นแค่เครื่องมือในการสื่อสาร สิ่งที่เราอยากจะบอกสู่สาธารณะให้เห็นภาพร่วมกัน ได้เห็นภาพเดียวกัน

“ทุกคนมีชัยชนะของตัวเองได้จากการวิ่ง โดยเลือกจะชนะตัวเองขั้นแรกที่จะออกไปทำก่อน พอวิ่งแล้วติดใจ ถึงค่อยเลือกวิ่งให้ไกลหรือเร็วกว่าเดิม แล้วพอเห็นถึงพัฒนาการเราอาจจะมองเห็นถึงความสุขจากการวิ่ง”

 

HEALTH HELP

     รถยนต์นำขบวน’ ที่ใช้เป็นรถอเนกประสงค์ และไลฟ์สดในครั้งนี้ เป็นรถยนต์ประเภทไฮบริด ใช้พลังงานไฟฟ้า ซึ่งนอกจากจะประหยัดพลังงาน ยังไม่เกิดควันดำ ซึ่งก็เพื่อสุขภาพของนักวิ่งด้วย

 

ระหว่างวิ่งคนเดียวในชีวิตประจำวัน วิ่งในรายการมาราธอนที่แค่เอาชนะตัวเองกับวิ่งการกุศลที่ต้องพบเจอผู้คนตลอดสองข้างทางอย่างที่คุณกำลังทำอยู่ในตอนนี้ คุณมองเห็นความสุข ความสวยงาม แตกต่างกันในมุมไหนบ้าง

     ผมขอยกตัวอย่าง ครั้งที่แล้วผมเชิญเพื่อนๆ พี่น้องที่มี
ชื่อเสียง บางคนเป็นนักแสดง นักร้อง หรือใครก็ตาม
ที่ออกมาวิ่ง เพื่อช่วยโปรโมตโครงการของปีที่แล้ว 
มีหลายคนนะครับที่ไม่ได้มาแค่ครั้งเดียว แต่กลับมาอีก หรือมีอีกหลายคนที่เคยตั้งเป้าไว้ว่า เดี๋ยววันนี้มาวิ่งกับพี่ตูนสัก 10 กิโลฯ แต่สุดท้ายเขาวิ่งอยู่กับผมทั้งวัน 
วิ่งด้วยกัน 40 กิโลฯ เลย เขาบอกว่า เขามีความสุข เพราะเขาไปหารายการวิ่งที่มีภาพแบบนี้ไม่ได้จากที่อื่น เขาเลยอยากกลับมาอีก อยากอยู่กับมันนานๆ ซึ่งผมเองก็รู้สึกไม่ต่างจากพวกเขาเลย

“เราไม่ได้ออกมาทำอะไรตรงนี้เพื่อจะได้รับการชื่นชม
แบบเกินจริง เราเป็นคนธรรมดาที่อยากจะใช้ส่วนเล็กๆ
ที่พอจะทำได้ แล้วถ้ามันจะเกิดประโยชน์ต่อเนื่องกับ
คนอื่นได้ มันคงจะดีไม่น้อย”

 

RUNNING PLAYLIST  

อยากรู้ไหมว่าตูนฟังเพลงอะไรระหว่างวิ่ง?   

     ตูนให้สัมภาษณ์ไว้ว่าในวันปกติที่เขาฝึกซ้อมการวิ่งตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ถ้าเป็นวันที่ต้องการวิ่งเพื่อทำลายสถิติของตัวเอง หนึ่งในศิลปินที่เขามักจะเปิดฟังไปด้วยระหว่างการวิ่งคือ  Foo Fighters  ขณะเดียวกัน ถ้าเป็นการวิ่งเก็บระยะเพื่อฝึกความอดทน หนึ่งในศิลปินที่เขาจะเลือกฟังคือ John Mayer ก่อนที่จะทิ้งท้ายไว้ว่า 
“เพลย์ลิสต์ที่ถูกต้องก็คือเพลย์ลิสต์
ที่เราอยู่กับมันได้”  

 

ตูน บอดี้สแลม เป็นนักร้อง นักดนตรี อยู่บนเวทีคอนเสิร์ตคนชื่นชอบเราอีกแบบ แต่พอตอนออกวิ่ง คนก็ชื่นชอบชื่นชมในอีกแบบ คุณมองเห็นความต่างจากสองบทบาทที่ตัวเองทำอยู่ในตอนนี้อย่างไรบ้าง

     (คิด) คือตอนที่คนมาชมว่าเพลงที่พี่เพิ่งทำเสร็จออกมาใหม่เพราะจัง หนูชอบจัง หรือได้แรงบันดาลใจดีๆ 
โอ้โห ผมมีความสุขมากเลยครับ ผมพูดได้เลยว่านี่เป็นสิ่งดีๆ ที่เราจะได้ระหว่างทาง

     ผมไปนั่งกินข้าวในร้านอาหาร มีน้องผู้หญิงเขียนกระดาษโน้ตส่งมาให้ ในนั้นเขียนว่าขอบคุณพี่มาก
ที่ทำเพลงดีๆ หนูได้รับพลังงานดีๆ จากเพลงพี่ค่ะ 
แล้วไม่ขอถ่ายรูปด้วย เพราะเกรงใจ พี่กินข้าวอยู่ เจออะไรแบบนี้ระหว่างทางแล้วเราดีใจมากเลย ภูมิใจมากที่สุดท้ายเพลงที่เราร้องเพื่อให้กำลังใจตัวเอง หรือเล่าเรื่องตัวเองด้วยซ้ำ แต่ไปกระทบสิ่งทำให้คนฟังมีกำลังใจมากขึ้น หรือไปสร้างประโยชน์ให้เขาได้

     แต่กับการวิ่งเพื่อการกุศลทุกครั้งที่ผ่านมา ผมจะรู้สึกเขิน ไม่อยากได้รับคำชมมาก เพราะว่าเราไม่ได้ออกมาทำอะไรตรงนี้เพื่อจะได้รับการยกยอปอปั้น
หรือชื่นชมแบบเกินจริง คือเราไม่ได้เป็นคนดีขนาดที่
เขาบอก เราเป็นคนธรรมดา ที่อยากจะใช้ส่วนเล็กๆ 
ที่พอจะทำได้ บอกผ่านสิ่งที่เราไปเห็นมาเท่านั้นเอง 
แล้วถ้ามันจะเกิดประโยชน์ต่อเนื่องกับคนอื่นได้ มันคง
จะดีไม่น้อย

     ถ้าพูดว่าไม่มากไม่น้อยเกินไป เกิดมีคนถามว่าที่ทำอยู่ทุกวันนี้มากเกินไปหรือเปล่า เทียบกับทางสายกลางของพระพุทธศาสนา คิดว่าตึงไปหรือหย่อนไป

     ครั้งที่แล้วที่ผมบอกว่า ผมจะวิ่ง 400 กิโลฯ นั่นก็มากแล้วนะครับ ซึ่งผมก็ไม่รู้หรอกว่าจะทำได้หรือเปล่า คนอาจจะบอกว่าเยอะไปหรือเปล่า จะทำได้หรือเปล่า จะตายไหม โน่นนั่นนี่

     ครั้งนี้ก็น่าจะเป็นความรู้สึกเดียวกัน คือตั้งคำถาม ไม่ใช่เฉพาะแค่คนข้างนอกรั้ว ผมเองก็ตั้งคำถามว่า 
เราจะทำมันได้ไหม จะสำเร็จไหม แต่สุดท้ายคือ เราอยากตั้งเป้าหมายให้สูง ฝึกซ้อม ท้าทายตัวเอง เพื่อไปถึงตรงนั้นให้ได้ โดยที่เรามีเหตุและผลจำนวนหนึ่งคอยรองรับ   

     เราเป็นนักวิ่งที่วิ่ง 10 กิโลฯ แล้วเรารู้สึกว่ายังชิลล์ๆ ถ้าอย่างนั้นเราอาจจะเป็นนักวิ่ง 10 กิโลฯ แบบนี้ 5 เซตต่อวัน เราค่อยๆ ก้าวไปทีละสเต็ป ทีละก้าว พอครบ 
10 กิโลฯ แล้วพัก ร่างกายหายเหนื่อย ประคบน้ำแข็ง ได้ขาใหม่ แล้วออกไปวิ่งต่ออีก 10 กิโลฯ ต่อทุก 10 กิโลฯ ของเราให้มันนานขึ้นดูสิ ทั้งในการซ้อมก็ตาม ทั้งใน
การตั้งเป้าหมายก็ตาม

     มันเป็นเหตุและผลส่วนตัวที่อาจจะฟังไม่ขึ้นสำหรับใครบางคน แต่ถ้าจะอธิบายว่าผมคิดอะไรอยู่ ผมมีก้อนความคิดอยู่ประมาณนี้ เป้าหมายมันอาจจะสำเร็จได้ด้วยการวางแผน แล้วเราก็ใช้เวลาตลอด 4 วัน หยุดพัก 1 วัน เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายนั้น สุดท้ายจะสำเร็จ
หรือเปล่าไม่รู้ แต่อย่างน้อยมันเกิดขึ้นจากการวางแผน เราฝึกซ้อม เรียนรู้ แล้วออกไปซ้อมใหม่

     ถ้ายังไม่สำเร็จ อย่างน้อยก็ได้เรียนรู้ ฝึกซ้อมใหม่ ตั้งเป้าหมายใหม่อีกไหม หรือจะไม่เอาแล้ว นั่นค่อยกลับมาทบทวน ผมเป็นคนในลักษณะนี้ มันคงไม่สำเร็จไปทุกครั้ง แต่อย่างน้อยก็อยากจะลองก่อน

 

ถึงตอนนี้แล้ว คุณคิดว่าตัวเองชอบบทบาทนักร้องหรือนักวิ่งมากกว่ากัน

     อ้าว แน่นอนครับ ผมต้องชอบร้องเพลง ผมมีเป้าหมายกับบอดี้สแลมว่า อยากจะเป็นวงดนตรีแบบนี้ ร่วมกับพี่ๆ ร่วมวง 4-5 คนนี้ กระโดดโลดเต้นบนเวทีต่อไปเท่าที่แรงจะมี จนถึงอายุ 60-70 ปี ก็ยังอยากเป็นแบบนี้ เราอยากสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนอายุ 18-19 ปี ในตอนนั้นได้ ในตอนที่ขวบปีเราเยอะๆ อายุ 60 แต่เรายังมีอัลบั้มใหม่ เพลงใหม่ที่สามารถสื่อสารกับคนอายุน้อยๆ ได้ในเรื่องเดียวกัน เราไม่ได้อยากเป็นผู้ใหญ่ขี้บ่นกลุ่มหนึ่งที่ออกมาเล่นดนตรีแล้วพูดถึงอะไรที่เขาไม่เอาแล้ว เราอยากเป็นวัยรุ่นเสมอ  

“ทุกคนไม่ต้องวิ่งเร็วที่สุดหรือไกลที่สุด พอเห็นว่าน้ำหนักเยอะขึ้น แค่เลือกจะออกไปวิ่ง 3 กิโลฯ หน้าหมู่บ้าน แทนที่จะเลือกกินขนมบนโซฟาก็ชนะตัวเองได้”

 

ทุกวันนี้เวลาไปไหนแล้วมีคนบอกว่าคุณเป็นฮีโร่ เป็นแรงบันดาลใจ คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง

     ผมเขิน ไม่เอาอย่างนี้จริงๆ ผมไม่อยากเป็น เพราะผม
รู้ว่าผมไม่ใช่คนดี ผมเป็นเหมือนคนทั่วไปที่เลือกทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ สิ่งที่ตัวเองรัก และถ้าจะไม่ทำ เราต่างก็มีเหตุผลส่วนตัว

     ผมเชื่อว่า ทุกคนอยากจะทำประโยชน์ในสิ่งที่ตัวเอง
พอจะทำได้อยู่แล้ว และเราสามารถทำดีให้กับตัวเองได้ โดยเริ่มต้นจากจุดเล็กๆ อย่างลดความอ้วน เลิกบุหรี่ เลิกเหล้า เป็นคนดีกับพ่อแม่ ให้เงินเดือนพ่อแม่ ทำตัวเองให้เขาอยู่อย่างไม่ต้องมาปวดหัวกับเรา ดูแลรับผิดชอบตัวเองได้อย่างมีความสุข แค่นี้ผมก็ถือว่าเป็นสิ่งที่คน
คนหนึ่งจะทำได้ดีที่สุดแล้ว ไม่ต้องออกมาวิ่ง 400 กิโลฯ เหมือนผมทำหรอก เริ่มต้นจากจุดเล็กๆ แล้วค่อยๆ 
ต่อจุดมันไปเรื่อยๆ เลื่อนเป้าหมายใหม่ไปเรื่อยๆ

     อย่างผมเอง ผมไม่ได้คิดหรอกว่าจะมาทำอะไรขนาดนี้ ด้วยความสัตย์จริงนะครับ ตอนแรกๆ ผมไม่กล้าคิดถึงตัวเลขเงินบริจาคระดับล้านเลยด้วยซ้ำ เราก็แค่ทำ ใครพอรู้จัก เราก็เข้าไปขอความช่วยเหลือ พอจะเริ่มวิ่ง เราก็บอกกันปากต่อปาก ใครรู้ก็มาช่วยกัน พอคนรู้
เยอะขึ้นมันเหมือนงานขายตรงนะ คือจากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสี่ จากสี่เป็นแปด (ยิ้ม) เกิดขึ้นรวดเร็วมาก ทั้งที่ความจริงมันเริ่มต้นจากจุดเล็กๆ เองครับ เกิดจากความคิดแค่ว่า เราจะทำอะไรที่พอจะช่วยเหลือคนอื่นได้บ้าง แล้วก็ทำสิ่งนั้นไป

     แค่เป็นคนดีของพ่อแม่นี่ก็สุดยอดแล้ว เพราะสุดท้ายเมื่อทุกคนเป็นคนดีของพ่อแม่ ครอบครัวก็มีความสุข เมื่อครอบครัวที่มีความสุขมาประกอบกัน มันก็กลายเป็นสังคมที่มีความสุข พอสังคมที่มีความสุขมาประกอบกัน มันก็กลายเป็นหนึ่งจังหวัดที่มีความสุข ขยับไปเป็นหนึ่งภูมิภาคที่มีความสุข เราแค่ทำดีจากจุดเล็กๆ แล้วขายตรงมันต่อไปเรื่อยๆ อย่าไปคิดใหญ่จนเกินตัวจนเรา
ไม่อยากทำอะไร หรือทำมันอย่างไม่สนุก

“สมมติว่าครั้งนี้ผมไปได้ไม่กี่กิโลฯ แต่อย่างน้อยเงินบริจาคมันเกิดขึ้นจริง ช่วยชีวิตคนได้จริงๆ หรือผมวิ่งไปไม่ถึง แต่กลายเป็นแรงบันดาลใจให้คนมาออกกำลังกายกันมากขึ้นได้ นี่คือเรื่องจริง”

 

BACK UP TEAM

     ทุกแรงขับเคลื่อนของ ตูน  บอดี้สแลม ล้วนมีครอบครัวและเพื่อนพ้องคอยสนับสนุนอยู่เสมอ หนึ่งในกำลังใจสำคัญที่ขาดไม่ได้คือครอบครัว ซึ่งการวิ่งทุกครั้งนับตั้งแต่ปีที่แล้วอย่าง กรุงเทพ-บางสะพาน จนถึงครั้งนี้ เบตง-แม่สาย ที่จะมี ‘คุณพ่อ’  อนุรัตน์ คงมาลัย อายุ 64 ปี คอยขี่จักรยาน คอยเป็นกำลังใจอยู่ท้ายขบวนวิ่งไปตลอดเส้นทาง

 

 

The post RUN IT FORWARD appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/run-it-forward/feed/ 0
เอมโอชรสไทย https://thestandard.co/issue18-cover-story/ https://thestandard.co/issue18-cover-story/#respond Tue, 14 Nov 2017 16:00:06 +0000 https://thestandard.co/?p=45470

เรื่อง ยศยอด คลังสมบัติ, นิธินาฏ ปุโรทกานนท์ ภาพ วงศกร […]

The post เอมโอชรสไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>

เรื่อง ยศยอด คลังสมบัติ, นิธินาฏ ปุโรทกานนท์ ภาพ วงศกร ยี่ดวง

ฟู้ดสไตลิสต์ พัธนะ สุวรรณโคตร์

 

     โลกยุคโลกาภิวัตน์ทำให้วัฒนธรรมที่หลากหลายทับซ้อนและผสมผสานกันไปมา ธรรมเนียมในประเทศหนึ่งอาจจะได้รับความนิยมในอีกซีกโลก เรื่องอาหารกลายเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัด จากยุคที่การสรรหาอาหารที่คุ้นปากเป็นเรื่องยากสู่ยุคปัจจุบันที่ในทุกประเทศมักเสิร์ฟอาหารของวัฒนธรรมย่อย จนทำให้เกิดความนิยมในอาหารต่างถิ่น

     อาหารไทยจึงไม่ได้สงวนไว้สำหรับคนในประเทศเพียงเท่านั้น เราส่งออกวัฒนธรรมด้านการกินจนหลายจานเด่นติดอันดับในการสำรวจเป็นประจำ ทั้งครองอันดับสูงสุดและสลับตำแหน่งขึ้นลงไปมาตามความนิยมในแต่ละปี

     ทีมงาน THE STANDARD ลงความเห็นเป็นเอกฉันท์ทางด้านรสชาติว่าแกงเขียวหวาน, ผัดไทย, ต้มยำกุ้ง, ส้มตำ และมัสมั่น คือด่านหน้าของทัพอาหารไทยที่ไปตีตลาดทั่วโลก จนสามารถจับคนกินต่างถิ่นให้เป็นทาสแห่งความอร่อยได้อยู่หมัด

อาหารทั้ง 5 รายการต่อไปนี้ คือความภาคภูมิใจแห่งความเป็นไทยที่ครองใจคนทั่วโลก

 

แกงเขียวหวานไก่

     ราวกลางปีที่ผ่านมา เว็บไซต์สังกัดสำนักข่าวใหญ่ CNNGo เปิดให้นักชิมทั่วโลกกว่า 35,000 คน ออกเสียงโหวต 50 อันดับ

     อาหารที่ชวนน้ำลายหกได้มากที่สุด แน่นอนว่าอาหารไทยติดอันดับอยู่หลายรายการ รวมถึง ‘แกงเขียวหวานไก่’ หนึ่งในอาหารไทยจานโปรด

     ของทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ ทั้งที่แกงเขียวหวานไก่ในหลายร้านอาหารและหลายพื้นที่ รวมถึงในรายการสอนทำอาหาร

     บางรายการ จะทำออกมาแล้ว รูป รส หรือกลิ่น ดูไม่เหมือนที่เคยกิน ไม่คุ้นที่เคยเห็นอยู่บ้างก็ตาม

     ฉะนั้นแกงเขียวหวานไก่ที่แท้จริงเป็นอย่างไร THE STANDARD ได้พูดคุยและขอความรู้จาก อาจารย์อัมพรศรี พรพิทักษ์ดำรง

     อาจารย์ประจำสาขาวิชาคหกรรมศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ถึงความเป็นมาของอาหารไทย สังคมวัฒนธรรมที่สะท้อนในอาหาร เรื่องราวของแกงน้ำข้นชนิดนี้ และกระบวนการปรุงแกงเขียวหวานไก่ตำรับไทยที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น

 

 

The Green Curry Charm

     อาหารไทยมีเอกลักษณ์หรือเสน่ห์แบบใด จนทำให้โด่งดังระดับโลกข้อแรกคือ รสชาติ ในจานเดียวมีได้ถึง 8-9 รสนะคะ ตั้งแต่เปรี้ยว เค็ม หวาน เผ็ด มัน ฝาด ขื่น หรือขม ได้หมด ขณะที่อาหารชาติอื่นอาจจะมีสัก 2-3 รสเท่านั้น เหตุผลต่อมาคือ อาหารไทยได้ชื่อว่าเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ เพราะประกอบด้วยสมุนไพรหลายอย่าง เช่น ข่า ตะไคร้ หอม กระเทียม

 

คนทั่วไปอาจพอเข้าใจรสฝาดและขม แต่สำหรับรส ‘ขื่น’ อาจารย์อธิบายลักษณะรสชาติได้อย่างไรบ้าง

     ขื่นคือรสฝาดผสมขมค่ะ ซึ่งมันสามารถเป็นรสที่อร่อยได้เวลาปรุงอาหารโดยเฉพาะในอาหารไทย หรือเวลารับประทานจับคู่กับอาหารบางชนิด
รสพวกนี้จะหายไป เป็นเสน่ห์มาก เช่น รสฝาดของหัวปลีเมื่อกินกับผัดไทยจะอร่อยมาก ไม่ฝาดเลย หรือมะเขือเหลืองๆ ที่ใส่ในส้มตำ รสปกติคือขื่น แต่พออยู่ในส้มตำแล้วอร่อย ไม่ขื่น อีกอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ห่อหมกใบยอ ปกติใบยอมันขม แต่พอโดนเครื่องแกงกับกะทิจะหายขมและกลายเป็นรสชาติมันๆ อร่อยมาก

 

เรื่องราวความเป็นมาของอาหารไทยที่อาจารย์สอนเด็กๆ มาหลายต่อหลายรุ่น มีเนื้อหาและที่มาอย่างไรบ้าง   

     เท่าที่มีเขียนในประวัติศาสตร์ก็ตั้งแต่สมัยสุโขทัย แต่อันที่จริงมีมาก่อนนั้นนานแล้ว คนโบราณก็กินของธรรมชาติ ต่อมาสมัยกรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ฝรั่งบันทึกไว้ว่า คนสมัยนั้นกินข้าวกับน้ำพริก น้ำพริกของเขาคือกะปิ กุ้งหมัก เขาบอกว่า ใส่น้ำพริกที่เรียกกะปิ แล้วก็ใส่เครื่องเทศสด อาจเป็นใบกะเพรา โหระพา แล้วก็ใส่พริก มะนาว และใส่น้ำเหลวๆ หน่อย ข้อสำคัญคือใส่น้ำปลา เรามองภาพที่เขาอธิบายมันก็คือน้ำพริกนี่ล่ะ คนไทยกินอย่างนี้ และสมัยนั้นยังไม่มีกับข้าวอะไรที่หรูหรา ก็กินปลา นิยมปลาที่เอาไปตากแดด หรือเอาปลาไปย่างแล้วกินกับข้าว ทอดก็ยังไม่มี สมัยก่อนเขากินข้าวใส่น้ำกัน บัดนี้ก็ยังเห็นอยู่ คนโบราณ
รุ่นปู่ ย่า ทวด ยังกินข้าวธรรมดาใส่น้ำเปล่ากันอยู่ ไม่ใช่ข้าวแช่นะคะๆ

     กับข้าวโบราณมีแต่ปลา เพิ่งมายุคหลังๆ ที่ได้รับอารยธรรมจากชาติต่างๆ เข้ามา มีการปิ้งซึ่งไม่ต้องใช้เครื่องมืออะไร แค่เสียบไม้ย่าง แล้วก็มีอาหารที่ใช้ต้ม เพราะคนในย่านเอเชียอาคเนย์มีหม้อดินใช้เหมือนกันหมด เป็นภาชนะสำหรับทำกับข้าวและหุงข้าว หม้อที่เด็กสมัยใหม่เรียกว่าหม้อแม่นาคน่ะ หม้อแบบนั้นคือกระทะของคนไทยสมัยก่อน อาหารไทยแท้ๆ มีแค่เอาไปต้ม แกงของคนโบราณก็ไม่ใช่แกงแบบเดี๋ยวนี้ แกงของเขาคือ อาหารชนิดหนึ่งที่ใส่น้ำ มีเนื้อสัตว์ และผักเล็กน้อย การผัด ทอด นึ่ง 
แบบนั้นรับอารยธรรมมาจากจีนทั้งหมดเลย

 

มีเมนูใดบ้างที่สืบทอดมายาวนานที่สุด เปลี่ยนแปลงน้อยมาก และคนในปัจจุบันยังรับประทานอยู่

     แกงส้มค่ะ แม้จะไม่มีใครเขียนยืนยันว่าเป็นอาหารไทยแท้ แต่เมื่อวิเคราะห์จากอุปกรณ์ คือมันเป็นแกงต้มในหม้อ ปลาช่อนในแกงส้มก็มีในท้องบึงใกล้ๆ บ้าน ผักบุ้งก็ขึ้นในท้องร่อง หัวหอมพืชพื้นเมืองเรา พริกมาตั้งแต่โปรตุเกสนานมากแล้ว มะขามเปียกก็บ้านเรา กะปิก็บ้านเรา

 

แล้วแกงเขียวหวานมีเรื่องราวความเป็นมาอย่างไรบ้าง

     เมนูนี้ไม่เก่าเท่าไรนะคะ น่าจะประมาณหลังรัชกาลที่ 5 หรือช่วงปลายรัชกาล เพราะก่อนหน้านี้ไม่เคยเจอแกงลักษณะนี้ค่ะ

 

มีเมนูอะไรที่ลักษณะค่อนข้างใกล้เคียงแกงเขียวหวานมาก่อนบ้าง

     ก่อนสมัยรัชกาลที่ 5 แกงเผ็ดไม่ใส่กะทิด้วยซ้ำ แกงไก่ก็ไม่ใส่กะทินะ มาใส่ตอนรุ่นแม่ครัวหัวป่าก์ (ท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ เจ้าของตำราอาหารแม่ครัวหัวป่าก์อันเลื่องชื่อมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 – THE STANDARD)

 

เป็นข้อสันนิษฐานของอาจารย์ว่าก่อนจะมีแกงเขียวหวาน อาหารไทยที่ใกล้เคียงที่สุดคือแกงเผ็ด

     ไม่เคยมีใครเขียนถึงแกงเขียวหวานมาก่อน เท่าที่อ่านเจอจะมีตำราหนึ่ง
ที่เขียนโดยหลานของแม่ครัวหัวป่าก์ อาจารย์พยายามสืบค้นว่าใครเป็น
คนตั้งชื่อแกงเขียวหวาน แต่ก็ไม่สามารถทราบได้ว่าใครเป็นผู้ตั้ง เพราะชื่อมันทำให้คนไทยทุกวันนี้เข้าใจผิดไปทั้งประเทศว่า แกงนี้ต้องเขียวและหวาน แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่เลย มันคือแกงเผ็ดธรรมดา เพียงแต่พลิกแพลงให้ดูน่ารับประทานมากขึ้นด้วยการเปลี่ยนพริกสีแดงเป็นพริกสีเขียวเท่านั้นเอง

 

แกงเขียวหวานไก่กลายเป็นหนึ่งในอาหารไทยที่เป็นที่นิยมทั้งในหมู่คนไทยและชาวต่างชาติ

     เพราะเป็นอาหารรสชาติดี ปรับรสเผ็ดลงได้ไม่ว่าจะต้องการเผ็ดระดับไหน อาจารย์ไม่เห็นด้วยที่จะปรับเปลี่ยนอาหารไทยให้เป็นรสชาติอะไรก็ไม่รู้
ที่คนปรุงเข้าใจเอาเองว่าฝรั่งชอบ ในระยะหลังเมื่อคนต่างชาติจะเข้าร้านอาหารไทยจะต้องถามก่อนเลยว่า Real Thai? เพื่อให้มั่นใจว่าเขาจะได้กินรสชาติแบบไทยจริงๆ

 

เสน่ห์ของแกงเขียวหวานที่ทำให้ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติติดใจ อาจารย์คิดว่าเพราะสาเหตุใดบ้าง

     หนึ่ง สีสันน่ารับประทาน ถ้าสีแดงมันจะดูเหมือนเผ็ด แต่พอเป็นสีเขียวเหมือนดูไม่เผ็ด ต่อมาคือหน้าตาสวยและรสชาติกลมกล่อม ถ้าเทียบกับ
แกงเผ็ดแดง แกงเขียวหวานจะกลมกล่อมกว่า จะออกหวานด้วยกรรมวิธีการปรุง และสามารถกินกับขนมจีนก็ได้ กินกับข้าวก็ดี

 

ขั้นตอนใดของการทำแกงเขียวหวานที่อาจารย์คิดว่าสำคัญมาก

     อยากย้ำเรื่องน้ำพริก เดี๋ยวนี้ถ้าไปกินแกงตามร้านอาหารหรือตามโรงแรม 
จะไม่ค่อยเจออร่อย ที่อร่อยส่วนใหญ่ต้องไปกินตามท้องถิ่น เพราะยังโขลกเครื่องแกงเองอยู่ ตามร้านหรือตามโรงแรมส่วนใหญ่จะใช้เครื่องปั่น การนำเครื่องปรุงต่างๆ เช่น พริก ข่า ตะไคร้ หอม กระเทียมใส่เครื่องปั่น ใส่น้ำลงไป เครื่องทำหน้าที่ตัดย่อยให้เป็นชิ้นเล็กๆ มันต่างจากการโขลก บด บีบ คั้น กระแทก ทำให้น้ำมันหอมไหลออกมา ยิ่งใส่ลงไปในน้ำมันมะพร้าวร้อนๆ ที่เกิดจากการเคี่ยวหัวกะทิจนแตกมัน ก็ยิ่งเป็นกลไกที่ทำให้เครื่องเทศ
เครื่องปรุงต่างๆ ส่งกลิ่นหอมออกมา แกงไทยจึงมีเสน่ห์ด้านกลิ่นที่หอมกรุ่น  

     อีกเรื่องคือใช้กะทิสดคั้นมือ กะทิกล่องมีแค่รสชาติมันและจืด ต่างจากกะทิที่ได้จากการคั้นมะพร้าว ที่จะได้ทั้งกลิ่นและรสหวานของมะพร้าวด้วย เด็กๆ ที่อาจารย์สอนก็เคยถามว่าขอใช้กะทิกล่องได้ไหม มันสะดวกกว่า 
เร็วกว่า อาจารย์ก็ให้ลองใช้ดู เขาลองใช้ครั้งเดียวแล้วไม่เคยมาถามอีกเลย ประจักษ์แก่ใจเองว่าแบบไหนดี

 

นอกจากโขลกเครื่องแกงเองและขูดมะพร้าวทำกะทิเองแล้ว มีกลเม็ดใดอีกบ้างที่ช่วยให้แกงเขียวหวานไก่น่ากินมากยิ่งขึ้น  

     แค่พริกอย่างเดียวแกงไม่ค่อยเขียว และถ้าใส่พริกเขียวมากไปก็เหม็นเขียว

     ตัวช่วยที่ดีที่สุดคือใบพริกขี้หนู ได้ทั้งสีและรสหวาน ใบพริกขี้หนูสมัยก่อน
เขาเอาไปทำแกงจืดแทนตำลึง อร่อย ซ่า และหวาน ตัวช่วยต่อมาคือใบผักชีให้สีเขียว สามคือโหระพา พวกนี้ใช้แต่งสีแกงเขียวหวานให้ดูน่ารับประทาน

 

แล้วเนื้อสัตว์ เช่น ไก่ ควรเลือกส่วนใดของตัวที่จะส่งผลดีกับเมนูนี้  

     ต้องเลือกไก่ที่มีกระดูก แล่เนื้อออก ทุบกระดูกให้แตก แล้วใส่ลงไปเคี่ยว น้ำหวานจากกระดูกจะทำให้น้ำแกงอร่อย เนื้อต้องไม่เปื่อยยุ่ย ถ้าใช้แต่
เนื้ออกจะสากเหมือนกินกระดาษ ในขณะที่ส่วนสะโพกหรือน่องจะมีความ
หยุ่นอยู่ และถ้าอยากอร่อยกว่านี้ให้ใส่เลือดไก่

 

อาจารย์สอนอยู่หลายวิชา มีทั้งหลักการประกอบอาหาร ทฤษฎีอาหาร นอกจากนั้นยังมีวิชาที่ว่าด้วยอาหารชาววังโดยเฉพาะ

     ใช่ค่ะ อาจารย์เป็นคนคิดขึ้นเอง เป็นจุดเด่นของหลักสูตรของเรา เพราะที่
ตรงนี้เดิมคือวังสวนสุนันทาสร้างมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เป็นที่ประทับ
ของพระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏ
ปิยมหาราชปดิวรัดา (พระอรรคชายาเธอในพระบาทสมเด็จพระ-จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงทำหน้าที่กำกับดูแลห้องเครื่องต้นถวายแด่
รัชกาลที่ 5 – THE STANDARD) นอกจากนั้นยังเป็นที่อยู่ของเจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ ลดาวัลย์​ เจ้าของสูตรน้ำพริกลงเรือ สมัยก่อนคลองที่คุณ
เห็นตอนนี้ทะลุไปถึงพระที่นั่งวิมานเมฆได้ เขาก็พายเรือเล่นกัน ตำน้ำพริกไปกินในเรือ ถึงตั้งชื่อว่าน้ำพริกลงเรือ นักศึกษาที่จบคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา จะทำน้ำพริกลงเรือเป็นกันทุกคน ไม่มี
ยกเว้นค่ะ

 

“อาจารย์พยายามสืบค้นว่าใครเป็นคนตั้งชื่อแกงเขียวหวาน แต่ก็ไม่สามารถทราบได้ว่าใครเป็นผู้ตั้ง เพราะชื่อมันทำให้คนไทยทุกวันนี้เข้าใจผิดไปทั้งประเทศว่า แกงนี้ต้องเขียวและหวาน แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่เลย มันคือแกงเผ็ดธรรมดา”

 

     ตอนรุ่นแม่ครัวหัวป่าก์ (ท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ เจ้าของตำราอาหารแม่ครัวหัวป่าก์อันเลื่องชื่อมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 – THE STANDARD)

 

 

ผัดไทย

     ก๋วยเตี๋ยวผัดจานนี้ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมอาหารเส้นจากจีน ก่อนที่จะเป็นที่นิยมในหมู่ชาวไทยในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

     เมื่อรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม รณรงค์ให้ประชาชนหันมาบริโภคก๋วยเตี๋ยวในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ และข้าวกลายเป็น

     สินค้าราคาแพง จากจุดหักเหในครั้งนั้น บวกกับความแพร่หลาย หากินง่าย ตั้งแต่ร้านข้างถนนไปจนภัตตาคารในโรงแรม

     ผัดไทยกลายเป็นหนึ่งในอาหารจานเดียวที่นักเปิบทั่วประเทศบริโภคกันเป็นปกติในชีวิตประจำวัน ก่อนจะสยายปีกความอร่อยไปทั่วโลก

     จนกลายเป็นหนึ่งในอาหารจานเด่นจาก ‘ไทยแลนด์’ ​ที่ต่างชาติซูฮกยกนิ้วให้ และมักจะลงคะแนนเลือกทุกครั้งที่มีการสำรวจความเห็น

     ในฐานะร้านอาหารไทยที่เสิร์ฟความอร่อยให้นักท่องเที่ยวและแขกต่างชาติจนได้รับการยอมรับในมาตรฐานความอร่อย

     ร้านเบซิล (Basil) โรงแรมเชอราตัน แกรนด์ คู่ควรกับเมนูที่เป็นหน้าตาของประเทศอยู่ไม่น้อย ทีมงานพูดคุยกับ เชฟเกษิณี วันทา ที่พกพาประสบการณ์ 11 ปี ในการดูแลห้องอาหารไทยเบซิล มาถ่ายทอดเอกลักษณ์ของอาหารไทยจากมุมมองของคนคุ้นเคยการทำครัวแบบมืออาชีพ

 

 

From Street Food To Star Dish

ทำไมคนถึงนิยมอาหารไทยจนไปตีตลาดโลกได้

     เพราะอาหารไทยมีเสน่ห์ มีเครื่องปรุงหลากหลาย และไม่ค่อยเหมือนที่ใด แต่ละภาคก็จะมีความโดดเด่นไม่เหมือนกัน พืชผักสมุนไพรที่ใช้ก็ไม่เหมือนกัน คุณสมบัติ รสชาติก็ไม่เหมือนกัน อาหารไทยมีเสน่ห์ตรงนี้

 

จุดเด่นด้านรสชาติเป็นอย่างไร อาหารไทยจึงไม่เหมือนชาติอื่น

     เรามีทุกอย่าง ทั้งเปรี้ยว เผ็ด หวาน ขม ทุกอย่างจะมีในส่วนผสม ขมได้จากมะระ เปรี้ยวได้จากน้ำมะขามหรือน้ำมะนาว เราเลยมีความแตกต่าง อย่างเมืองนอกถ้าเปรี้ยวก็ต้องน้ำส้มสายชูหรือมะนาว เขาก็จะได้จำกัดแค่ 2 อย่าง แต่ของเรามีน้ำมะขาม มีตัวอื่นอีกหลายอย่าง

 

สูตรผัดไทยที่เสิร์ฟมีความพิเศษอย่างไร

     จานนี้ถ้าเป็นที่อื่นก็จะมีแค่น้ำปลา น้ำมะขาม แล้วก็น้ำตาลทราย แต่สูตรของเราผัดกระเทียมกับกระเทียมก่อน จะได้กลิ่นหอมไหม้ๆ ของกระเทียม
กับหอม พอหอมได้ที่ก็เติมน้ำมะขาม น้ำปลา น้ำตาลทราย ซอสมะเขือเทศ ซอสศรีราชา และใส่เกลือลงไป แล้วปรุงรสชาติ เคี่ยวจนเหนียวค่ะ

 

ถ้าจะถามความเห็นส่วนตัว ทำไมผัดไทยถึงเป็นที่นิยมทั่วโลก

     คุณอย่าลืมว่าผัดไทยเนี่ยไม่จำเป็นต้องมากินที่โรงแรม ข้างล่างก็มีขาย เพราะฉะนั้น สตรีทฟู้ดบ้านเราถึงมีชื่อเสียง

 

คุณมองว่าที่ผัดไทยเป็นที่นิยมเพราะเป็นอาหารที่หากินได้ง่ายด้วย

ใช่ หากินได้ง่าย

 

รสชาติอาหารไทยของที่เบซิลเป็นอย่างไร สูตรดั้งเดิมมีการปรับ
ประยุกต์ให้ทันสมัย ปรับแต่งให้รสชาติอิงกับแขกที่มาพัก หรืออย่างไร

     ที่นี่เป็นแบบไทยต้นตำรับ แต่ถ้าถามว่าทำได้ทุกจานไหม ก็ไม่

 

หมายถึงว่าก็ไม่ได้เป็นสูตรต้นตำรับทุกจานใช่ไหม

     เพราะแขกของเราบอกระดับความเผ็ดมา อาหารบางอย่างเช่นอาหารใต้
คุณบอกเอาเผ็ดปานกลาง รสชาติความอร่อยก็ต้องดรอปลงนิดหนึ่งแล้ว

 

คุณมองว่าอาหารบางอย่างจะออกแบบมาให้ถึงรสชาติ ต้องเผ็ด
ถึงจะอร่อยใช่ไหม

     มันต้องถึงพริกแกง ถึงเครื่อง ถึงรสชาติตรงนั้น เช่น ถ้าสั่งผัดไทยไม่ใส่
พริกได้ไหม ได้ เพราะผัดไทยไม่จำเป็นต้องใส่พริกก็ได้ แต่ถ้าจะใส่พริก
ก็ใส่ได้

 

นี่อาจเป็นเหตุผลที่คนกินได้ คนนิยมเพราะมีรสชาติกลางๆ ใช่ไหม

     ใช่ เพราะเขาสามารถเลือกระดับความเผ็ดได้

 

ส่วนผสมอะไรที่ทำให้ผัดไทยดูอร่อยกลมกลืน

     อร่อยกลมกลืนน่าจะเป็นน้ำมะขามมากกว่า น้ำมะขามกับน้ำตาล แล้วก็ซอสพริก ซอสศรีราชา เพราะถ้ามีซอสพริกเข้าไปเป็นส่วนผสมก็ได้รสชาติกลมกล่อมขึ้น ดึงรสชาติอาหารให้โดดเด่นมากขึ้น

 

โดยปกติแล้วผัดไทยต้องผัดอย่างไรถึงจะอร่อย

     ต้องผัดให้เกรียมๆ นิดๆ

 

“เมนูผัดไทยไม่ง่ายนะคะ ถ้าคนทำไม่เป็น หนึ่ง เส้นแข็ง ไม่สุก กินไม่ได้ หรือไม่ก็เละเกินไป ใส่น้ำที่จะไปทำให้เส้นนุ่ม ใส่เยอะไปเส้นก็เละ ต้องมีความพอดีและชำนาญ”

 

เกรียมๆ

     ใช่ ก่อนจะจบไฟคุณต้องแรง ก็ทำให้เส้นมันเกือบไหม้นิดๆ จะมีความหอมขึ้นมา เพราะความหอมนี่เอาออกไม่ได้

 

เพราะกลิ่นใช่ไหม

     ใช่ ไม่มีได้ไหม…ได้ แต่เอาออกไปได้ไหม…ไม่ได้ เพราะเป็นกลิ่นชูโรงว่าหอมอะไร

 

เคล็ดลับของคุณคือ อยู่ที่การผัดเส้นถูกไหม

     ใช่ค่ะ

 

แล้วรสชาติเด่นของผัดไทยคือต้องหวานไหม

     ต้องกลมกล่อมมากกว่า ถ้าหวานอย่างเดียวก็ไม่อร่อย ผัดไทยต้องเปรี้ยว เค็ม หวาน

 

ผัดไทยเป็นอาหารที่เราคุ้นเคยอยู่แล้วตั้งแต่เด็ก แล้วมีการสืบค้นไหมว่าสูตรจริงๆ ควรเป็นแบบไหนถึงจะอร่อย บางร้านเขาจะบอกว่าต้องผัดแฉะๆ นิดหนึ่ง หรือบางที่อาจจะดูแห้ง ของที่นี่เป็นอย่างไร

     เราผสมซอส ฉะนั้นถามว่าแฉะไหม ต้องแฉะอยู่แล้ว แต่ถ้าเราคั่วจนแห้งได้ไหม…ก็ได้ แต่ส่วนใหญ่เราจะผัดให้มันปานกลางมากกว่า ถ้าแห้งไป เวลาอยู่ในอุณหภูมิของแอร์พักเดียวเส้นก็แข็งแล้ว เราต้องดูด้วยว่าเส้น
ที่ใช้คือเส้นอะไร แต่ที่นี่เราใช้เส้นจันทน์อย่างดี

 

ทำไมเส้นจันทน์ถึงอร่อยกว่า

     มันมีความเหนียวของเส้น มีความมัน ความเงาของเส้น

 

ผัดไทยดูเป็นอาหารเบสิกมากเลย ทำอย่างไรถึงจะดึงดูดลูกค้าโรงแรม มีเครื่องปรุงอะไรไหมที่ใส่แล้วมันเป็นสูตรพิเศษของที่นี่

     จริงๆ ผัดไทยมันเบสิก แต่ที่โรงแรมเราขายและเพิ่มมูลค่าจากวัตถุดิบอื่น เช่น กุ้งที่เราใช้ตัวใหญ่ สูตรของเราจะเอากุ้งไปทอดกับแป้งเทมปุระ

 

ผลลัพธ์ที่ได้คือ

     ได้กรอบข้างบน และมีรสชาติของความกรอบ ความหอมของแป้ง แต่พวกเครื่องปรุงพวกนี้เราต้องผัดให้หอมก่อนอยู่แล้ว

 

อุณหภูมิในการผัดเกี่ยวไหม นอกจากต้องผัดเส้นให้เหมือนจะไหม้นิดหนึ่ง

     อันดับแรกเราจะไม่ใช้ไฟแรงมาก เพราะว่าหนึ่งในเครื่องปรุงนั้นมีหอมที่
จะไหม้เร็ว แล้วก็หัวไชโป๊ที่ถ้ามันเกรียมไปก็จะไม่ค่อยดีแล้วสำหรับเรา

 

ทำไมถึงตัดสินใจมาเป็นเชฟ แล้วก็ทำอาหารไทย มีความหลงใหล
ในอะไร

     นอกจากชอบกินแล้ว เราเป็นคนชอบทำกับข้าว มีความสุขมากเลย จริงๆ อาหารเนี่ยถ้าได้ทำแล้วเหมือนเป็นการสานสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัว หรือไม่ก็เป็นแขกมาพักที่โรงแรมกับเชฟที่อยู่ในห้องอาหาร

 

สำหรับเชฟทั่วไป เมนูผัดไทยถือว่าเป็นจานยากไหม

     ไม่ง่ายนะคะ ถ้าคนทำไม่เป็น หนึ่ง เส้นแข็ง ไม่สุก กินไม่ได้ หรือไม่ก็เละเกินไป ใส่น้ำที่จะไปทำให้เส้นนุ่ม ใส่เยอะไปเส้นก็เละ ต้องมีความพอดี
และชำนาญ

 

 

ต้มยำกุ้ง

     อย่าสับสนกับชื่อภาษาอังกฤษ The Tom Yum Kung Effect ในหน้าถัดไป เราไม่ได้พูดถึงพิษทางเศรษฐกิจเมื่อ 20 ปีก่อน เราหมายถึงการที่รสชาติจัดจ้านของต้มยำกุ้งส่งผลให้อาหารจานเด่นจากประเทศไทยครองใจนักกินไปทั่วโลก

     แน่นอนว่าการที่นำชื่ออาหารชนิดนี้มาใช้เป็นส่วนประกอบในวลี ‘วิกฤตต้มยำกุ้ง’ เมื่อสองทศวรรษก่อน

     ย่อมแสดงถึงความเป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติของตัวมันเองได้เป็นอย่างดี จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ

     ที่ซุปเผ็ดร้อนจะกลายเป็นตัวเลือกอาหารไทยอันดับต้นๆ ของคนทั่วโลก เชฟป้อม-พัชรา พิระภาค จากร้านเสน่ห์จันทน์

     เชฟรุ่นใหม่วัย 27 ปี อาจมีคำตอบว่า ทำไมต้มยำกุ้งจึงกลายเป็นอาหารจานส่งออกที่เราควรภาคภูมิใจ

 

 

The Tom Yum Kung Effect

เชฟป้อมเป็นคนรุ่นใหม่ ทำไมถึงชอบอาหารไทย

     อาจโดนปลูกฝังตั้งแต่เด็กจากคุณยายค่ะ เพราะที่บ้านไม่ชอบรับประทานข้าวนอกบ้าน แล้วที่บ้านขายขนมหวาน เราโตจากตรงนั้น ตั้งแต่มัธยม
ก็มีผู้ใหญ่ให้โอกาสเปิดร้านเบเกอรีให้ เราก็ไปฝึกด้วย

     เราค้นพบตัวเองเร็วว่าชอบอาหารก็เลยมาสายนี้ ป้อมเรียนทำอาหารที่สวนดุสิตค่ะ ระหว่างเรียนก็ไปทำงานอาหารที่โรงแรมด้วย เชฟที่โรงแรมเห็นเราทำงาน ก็เลยบอกว่า อย่างนั้นไม่ต้องไปไหนนะ ก็คือทำงานที่นี่เลย ให้อยู่ครัวไทย อันนั้นคือจุดเริ่มต้นที่หนึ่ง ต่อมาประมาณปีกว่าเชฟชุมพล (เชฟชุมพล แจ้งไพร เชฟกระทะเหล็กอาหารไทย – THE STANDARD) ติดต่อมาบอกว่ามีงานตรงนี้ให้ทำ

 

ชอบอาหารไทยอยู่แล้วด้วยใช่ไหม

     ใช่ค่ะ แต่ในใจทีแรกด้วยความที่เราทำเบเกอรีมา เราก็จะรู้สึกเองว่า นี่เราถนัดขนม แต่เชฟบอกว่าป้อมเหมาะกับทำอาหารไทยมากกว่า ลองไหม
 ก็บอกว่าลองก็ได้ แล้วเชฟก็ฝึกเข้มงวดมาก 6 เดือนค่ะ พอเชฟเปิดร้านก็ไปฝึกตรงนั้น เชฟสอนทุกอย่าง จนกระทั่งวันหนึ่งร้านเสน่ห์จันทน์จะเปิด เชฟก็มาคุยกับผู้ใหญ่ค่ะ ผู้ใหญ่บอกว่าให้มาทำที่ร้านเสน่ห์จันทน์ ก็มา
ลองค่ะ ก็เอาความรู้ที่ได้มาจากคุณยาย ที่เชฟสอน และจากที่เราเคยเรียนมารวมกัน

 

ตอนนี้ทำมานานเท่าไรแล้ว

     2 ปีแล้วค่ะ คือเตรียมตัว 1 ปี แล้วก็เปิดร้านมาปีกว่าแล้วค่ะ

 

เชฟเรียนรู้การทำอาหารไทย 3 ช่วง เรียนที่บ้าน เรียนที่สวนดุสิต แล้วก็มาฝึกกับเชฟชุมพล

     ใช่ค่ะ

 

ตอนที่อยู่บ้านตำรับอาหารไทยที่เรียนกับคุณยายเป็นแนวไหน

     ต้องบอกว่าโบราณมาก คือที่บ้านค่อนข้างระเบียบเยอะ แม้กระทั่งเวลาจะใช้ถั่วลิสง ถ้าทำอาหารก็ต้องซอยบ้าง น้อยมากที่จะตำ เพราะว่ารสชาติบางอย่างต้องใช้ถั่วซอย คุณยายจะสอนอย่างนี้ค่ะ มะพร้าวเวลาใช้ก็ต้อง
ขูดเอง ผักสวนครัวเราปลูกเอง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด ไม่ได้ซื้อเลย การปรุงอาหารคุณยายก็จะบอกว่ามีอะไรบ้าง

     แล้วก็มาได้หลักการตอนเรียนสวนดุสิต ก็เป็นวิชาการขึ้นมาหน่อย จนมาอยู่กับเชฟชุมพล เชฟก็สอนว่าประเทศไทยมีอะไรดี ส่วนผสมเริ่มลงลึกคือเรารู้หมดแล้ว แต่ยังไม่ลึกว่าต้มยำมีเครื่องปรุงอะไร ข่าต้องใช้แบบไหน รากผักชี ผักชีต้องใช้แบบไหน ตะไคร้ต้องใช้ส่วนไหน ป้อมได้มาเจาะลึกตรงนี้ตอนอยู่กับเชฟ เพราะเชฟอยากให้เราเก่ง แล้วเราต้องอดทน เชฟให้เวลา 6 เดือน ศึกษาเครื่องปรุงทั้งหมดในประเทศไทยนะคะ คือให้ศึกษาพวกสมุนไพร เครื่องเทศ วัตถุดิบทั้งหมด แม้กระทั่งน้ำตาล ต้องใช้น้ำตาลอะไร น้ำตาลมะพร้าวต้องใช้ที่ไหน น้ำตาลโตนดต้องใช้ที่ไหน

     ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่าประเทศไทยมีวัตถุดิบดีๆ เยอะมาก มีอะไรที่ประเทศอื่นไม่มี ได้รู้ว่าข่าภาคใต้กับภาคอีสานไม่เหมือนกัน ภาคกลางไม่เหมือนกัน กลิ่นและรสชาติไม่เหมือนกัน เพราะว่าดินต่างกัน ก็เริ่มศึกษามาเรื่อยๆ อย่างถ้าต้มยำกุ้งต้องใช้ข่าภาคกลาง เพราะว่าภาคใต้จะเป็นหัวสีเหลืองๆ แล้วก็จะเผ็ดแรงมาก กลิ่นแรง ถามว่าดีไหม…ก็ดี แต่ว่าลำบากที่จะไปหา

“จริงๆ แล้วต้องบอกว่าตั้งแต่เรียนมา ความรู้เรื่องต้มยำกุ้ง รู้สึกว่าเป็นซุปธรรมดา แต่ว่าพระเอกสุดๆ เลยคือ กุ้ง กุ้งต้องดี ต้องสด”

 

ตอนที่เรียนทำอาหารต้องศึกษาประวัติศาสตร์ที่มาของแกงด้วย 
มีพูดถึงต้มยำกุ้งบ้างไหม

     จริงๆ แล้ว ป้อมได้ยินจากคุณยายค่ะ ต้องบอกว่าตอนเรียนนี่ปกติเลย 
ไม่ได้มีอะไรพิเศษ คือต้มยำกุ้งก็เป็นซุปธรรมดาอย่างหนึ่ง แต่ว่าคุณยายบอกว่า เมื่อก่อนกุ้งตามคลองมีเยอะ แม้กระทั่งคลองที่สะพานหัวช้าง คลองย่านนี้ปลาก็กินได้ กุ้งก็มี ทุกอย่างอุดมสมบูรณ์ แล้วกุ้งที่เขานำมาทำต้มยำเนี่ยหวานมาก ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องเก็บกุ้งไว้ทั้งหัวและเปลือก เพื่อนำมาทำน้ำสต๊อก แล้วจะเอาไปทำข้าวต้ม ผัดไทย หรืออะไรก็แล้วแต่ ต้องมีสต๊อกกุ้ง เพราะว่าน้ำซุปกุ้งเป็นน้ำซุปพิเศษจะหวานมาก แต่ว่า
กุ้งแม่น้ำสมัยนี้อาจจะไม่ได้หวานเหมือนยุคก่อนแล้ว

 

ธรรมชาติเปลี่ยนไปจากสมัยโน้น

     ใช่ค่ะ คุณยายบอกว่าเมื่อก่อนแทบไม่ต้องปรุงอะไรมาก กุ้งไม่คาวเลย 
แต่ตอนนี้ทำไมถึงได้ใช้เครื่องเทศเยอะ เมื่อก่อนมีแค่ข่ากับตะไคร้ พริก มะนาวแค่นี้ ไม่มีรากผักชีด้วย แล้วเขาก็ไปปรุงในถ้วย คือเราบีบมะนาวใส่ถ้วย ตำพริกใส่ ไม่ต้องรอให้น้ำเดือดแล้วค่อยเอาพริกลงไปเพื่อให้
พริกส่งกลิ่นหอมออกมา แต่ว่าตอนนี้ต้องทำแบบนั้น

 

เพราะฉะนั้นต้มยำกุ้งที่กินกับคุณยายไม่เหมือนสมัยนี้

     ไม่เหมือนค่ะ

 

ต้มยำกุ้งที่เคยกินตอนนั้นไม่ใช่ต้มยำกุ้งที่คนเดี๋ยวนี้รู้จัก

     ใช่ค่ะ เป็นน้ำใสเหมือนที่ร้านเสน่ห์จันทน์ปรุง แต่ว่าวิธีการทำนั้นต่างกัน เนื่องจากยุคสมัยก็ไม่เหมือนกันแล้ว เมื่อก่อนอุดมสมบูรณ์จริงๆ แต่ตอนนี้ไม่แล้ว เราก็ต้องปรับไปตามยุคตามสมัยด้วย

     จริงๆ แล้วต้องบอกว่าตั้งแต่เรียนมา ความรู้เรื่องต้มยำกุ้งรู้สึกว่าเป็นซุปธรรมดา แต่ว่าเรารู้สึกว่ามันพิเศษตอนที่คุณยายทำให้ดูแค่นั้นเองค่ะ 
แล้วเราก็เข้าใจไปเองว่า อ๋อ ความพิเศษมันอยู่ตรงนี้ จริงๆ แล้วพระเอกสุดๆ เลยคือ กุ้ง กุ้งต้องดี ต้องสด

 

แล้วพอมาเรียนกับเชฟชุมพลล่ะ

     เชฟก็สอนเหมือนเดิมว่า ต้มยำกุ้งสมัยโบราณที่ตั้งแต่สมัยคุณย่าของเชฟสอนก็คือ เป็นต้มยำน้ำใส ซึ่งเป็นวิธีเดียวกันกับที่คุณยายทำที่บ้าน เชฟบอกว่าจริงๆ เป็นน้ำใส แต่น้ำข้นในสมัยนี้ทำเพื่อให้ดูน่ากิน คำว่า
น้ำข้นของเขาคือ เขาเอามันกุ้งมาต้มแล้วจะกลายเป็นน้ำข้นโดยไม่ต้องใส่นม ใส่น้ำพริกเผา

 

พอมาทำต้มยำกุ้งของที่เสน่ห์จันทน์ก็เลือกที่จะให้มันเป็นต้มยำกุ้งน้ำใส

     ใช่ค่ะ ตั้งใจเลยว่าอย่างไรคอนเซปต์ของร้านก็คือไทยโบราณ ต้มยำกุ้งต้องเป็นน้ำใสนะคะ ถ้าเป็นไทยโบราณแต่ข้นได้ก็คือ ข้นได้จากมันกุ้งที่หัวกุ้ง

 

ในฐานะที่เชฟป้อมอยู่ในวงการอาหารตั้งแต่เด็ก ต้องเห็นอยู่แล้วว่าตอนนี้อาหารไทยไปไกลระดับโลก คิดว่าเพราะอะไรอาหารไทยถึงเป็นที่นิยมเหลือเกิน

     แน่นอนว่ารสชาติไม่เหมือนใครค่ะ เพราะว่าอาหารไทยมีทั้งเป็นพริกแกง ซึ่งกว่าจะได้มาก็มีส่วนผสมไม่รู้กี่สิบอย่าง แต่ละอย่างก็มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน เวลาปรุงก็ต้องดูว่าเราจะทำเมนูไหน รสชาติพริกแกงสำคัญที่สุด

 

 

ส้มตำ

     ถ้าข้อมูลทางประวัติศาสตร์ถูกต้อง ชาวสยามก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยาไม่เคยรู้จักอาหารชื่อว่า ‘ส้มตำ’ เพราะมีการบันทึกว่า ชาวสเปนและโปรตุเกสนำมะละกอ ซึ่งมีถิ่นกำเนิดจากอเมริกากลางมาปลูกในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น

     ในสมัยหนึ่งเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว ส้มตำยังเป็นอาหารพื้นๆ ธรรมดา ก่อนที่ความแซ่บของสารพัดสูตรจากส่วนผสมหลักคือ มะละกอดิบ จะพุ่งทะยานจากกระพุ้งแก้มแล้ว กระพุ้งแก้มเล่า แซงโค้งทิ้งอาหารจานอื่นๆ ไว้ข้างหลัง

     และก้าวสู่การเป็นหนึ่งในอาหารไทยยอดนิยมในหมู่ชาวต่างชาติ ทีมงาน THE STANDARD พกความอยากและน้ำลายสอมาเผยสูตรส้มตำที่เสิร์ฟในร้านสไปซ์ มาร์เก็ต โรงแรมอนันตรา สยาม กรุงเทพฯ และถามความเห็นจาก เชฟอิ๋ว-วรินธร สัมฤทธิ์ผล ว่าทำไมใครๆ ก็รัก ‘ตำบักหุ่ง’ เสียเหลือเกิน

 

 

Som Tum, Simply Irresistible

     ในการจัดอันดับโลก อาหารไทยติด Top 100 Top 50 เยอะมาก แต่มีอยู่ 5 อย่างเท่านั้น ที่ติดทุกปีของทุกสำนัก หนึ่งในนั้นคือส้มตำ

ส้มตำหารับประทานง่ายไงคะ คนต่างชาติก็เลยรู้จัก

 

เชฟคิดว่าเสน่ห์ของอาหารชนิดนี้คืออะไร

ส้มตำเวลากินแล้วรู้สึกสดชื่น กินแล้วมันปรี๊ดปร๊าดค่ะ คนที่เขารักสุขภาพ เขาก็ชอบอยู่แล้วแต่ก็ต้องลดเค็ม ถ้าเกิดเรากิน เราก็ชอบรสจัดจ้าน

 

จุดเด่นของเมนูอาหารไทยที่นี่คืออะไร

     เมนูอาหารไทยของเราที่แขกติดใจ ตั้งแต่แรกเริ่มที่เรามีมา เช่น ปูนิ่ม
พริกไทยอ่อน อาหารของเราเป็นอาหารไทย รสชาติเป็นไทย แต่สามารถระบุได้ว่าขอแบบเผ็ดน้อยเผ็ดมาก ถ้าเกิดว่าจะกินแกงไม่เผ็ดเลยเราก็จะไม่แนะนำแขก ลักษณะอาหารไทยจะต้องเป็นแบบนี้จะยังต้องคงอยู่  

 

พยายามรักษารสชาติอาหารไทยไว้ ไม่ปรับรสแบบที่ชาวต่างชาติชอบ

     คืออาจเผ็ดน้อยได้ แต่ถ้าแขกบอกว่าขอไม่เผ็ดเลย เราก็ต้องบอกแขกว่า ถ้าเป็นแกง อย่างไรต้องขอใส่พริกแกง เพราะไม่อย่างนั้นมันจะไม่เป็นแกง

 

ห้องอาหารสไปซ์ มาร์เก็ต เน้นอาหารไทยที่โดดเด่นด้วยเครื่องเทศ  

     ใช่ค่ะ อย่างมัสมั่นไก่ มัสมั่นเนื้อ แต่เนื้อเราใช้บิ๊กชีตค่ะ เราก็จะเอาไปตุ๋นทำให้นุ่มก่อน เป็นเวลากี่ชั่วโมงก็ว่าไป ซึ่งก็ใช้เวลาพอสมควร อาหารไทย
ของเราส่วนมากจะเป็นภาคกลางค่ะ

 

ปกติในเมนูส้มตำมีอะไรให้เลือกบ้าง

     มีส้มตำไทย ส้มตำเจ ส้มตำหมูกรอบ แล้วก็ส้มตำ/ข้าวเหนียว/ไก่ย่าง ที่มีอยู่แล้วในสไปซ์ มาร์เก็ตบางอาทิตย์อาจจะมีส้มตำไข่เค็ม ตำข้าวโพด 
แล้วแต่ว่าเชฟจะนำเสนอช่วงไหน

 

แต่ไม่มีส้มตำปลาร้า เพราะต่างชาติอาจจะกินไม่ไหว

     ที่นี่ไม่เสิร์ฟส้มตำปลาร้าค่ะ นอกจากมีโปรโมชัน ส่วนใหญ่ก็จะต้องถามแขกก่อนว่าโอเคไหม แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยชอบ

 

ส้มตำของสไปซ์ มาร์เก็ต มีวิธีการทำแตกต่างจากที่อื่นอย่างไร

     เราใช้ส่วนผสมสดใหม่นะคะ แล้วเวลาที่เราทำเส้น จะต้องแช่ในน้ำเย็นจัด เสร็จแล้วนำขึ้นให้สะเด็ดน้ำ จะได้เส้นมะละกอที่กรอบน่ารับประทาน

 

ทราบว่าบางโอกาสที่นี่มีโปรโมชันส้มตำถาดด้วย

     ใช่ค่ะ เพราะอยากให้ชาวต่างชาติรู้จักส้มตำของไทยว่าไม่ได้มีแบบเดียว ไม่ได้มีแค่ส้มตำไทย เรามีตำไทยปู เรามีส้มตำปูม้า ตำข้าวโพด ตำถาด ตำซั่ว ตำมั่ว นำเสนอให้เขาดูว่าเรามีส้มตำที่หลากหลาย

 

ส้มตำถาดกำลังได้รับความนิยม พอจะรู้ที่มาที่ไปของมันไหม

     ส้มตำถาดเป็นอาหารประจำท้องถิ่นของคนอีสานอยู่แล้ว เขาเอาส่วนผสมหลายๆ อย่างมาวางไว้ในถาด แล้วกินแนมกับส้มตำ ตำไทย ตำปลาร้า 
ตำปู เขาก็วางไว้ มีเครื่องต่างๆ เป็นผักชีลาว ถั่วงอก ผักกาดดอง แล้วแต่เขาจะใส่อะไร ถ้าเรามีหอยก็เอาส้มตำมาทบ มาวางที่หอยเรา แล้วก็กินอย่างนี้ จะได้ความรู้สึกแบบตักไข่เค็มหรือบางคนเขาก็ผสม ก็แล้วแต่
คนชอบ แล้วแต่สไตล์คนค่ะ

“อาหารไทยมีจุดเด่นเฉพาะตัว ถ้าทำให้ต่างชาติรู้จักว่า ส้มตำคือส้มตำ ต้มยำคือต้มยำ ชาวต่างชาติจะติดใจแน่นอน มันมีลักษณะเอกลักษณ์เฉพาะตัว ด้วยรสชาติและวัตถุดิบ”

 

ร้านอาหารไทยเปิดที่ต่างประเทศเยอะมาก คิดว่าเอกลักษณ์และเสน่ห์ของอาหารไทยอยู่ตรงไหน

     อาหารไทยมีจุดเด่นเฉพาะตัว ถ้าทำให้ต่างชาติรู้จักว่า ส้มตำคือส้มตำ ต้มยำคือต้มยำ ชาวต่างชาติจะติดใจแน่นอน มันมีลักษณะเอกลักษณ์เฉพาะตัว ด้วยรสชาติและวัตถุดิบ

 

บางคนบอกว่าอาหารไทยมีหลายรส 6 รสบ้าง 9 รสบ้าง มีทั้งรสขม รสเผ็ด รสมัน รสกลมกล่อม คิดว่าเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้คนติดใจอาหารไทยไหม

     เวลากินอาหารไทย เราไม่ได้มากินแค่แกงอย่างเดียว มีผัด มีทอด มีสลัด คือเวลากิน อันโน้นรสหนึ่ง อันนี้รสหนึ่ง พอผสมผสานเข้าไปแล้วทำให้
รู้สึกน่าอร่อย มีหลายรสชาติ

 

ด้วยความที่เราเป็นคนทำอาหารไทย จำเป็นไหมที่เราต้องรู้ประวัติของอาหารชนิดนั้นว่าตำรับที่แท้จริงเป็นอย่างไร

     ก็เคยมีไปค้นหาดูบ้างนะคะว่าเขาใช้วัตถุดิบอะไร สมมติส้มตำบางคนใช้น้ำมะขาม บ้างใช้น้ำมะนาว บางคนใช้ทั้ง 2 อย่างผสมกัน มันได้รสชาติ
ที่เปรี้ยวไม่เหมือนกัน น้ำมะขามคือมันเปรี้ยวก็จริง แต่ถ้าเจอน้ำมะขาม
ที่อมหวาน มันก็จะเปรี้ยวกลมกล่อมถูกไหมคะ แต่ถ้าน้ำมะนาวเนี่ยมันจะเปรี้ยวจี๊ดเลย

 

คนไทยใช้น้ำมะขามเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องปรุงอยู่แล้ว

     สมมติต้มข่าเหมือนกัน ใส่น้ำมะขามเข้าไปนิดหนึ่ง อร่อยมาก มันเปรี้ยว
ต่างจากที่เราจะใช้น้ำมะนาวอย่างเดียว พอใส่น้ำมะขามเข้าไปมันจะนัว น้ำมะขามปกติที่เราใส่น้ำต้มข่าก็น้ำมะขามเปียกคั้นนี่ล่ะค่ะ คั้นสด ของเราจะไปเคี่ยวแล้วก็ปรุงรสด้วยน้ำตาล น้ำปลา แล้วค่อยมาใส่ต้มข่าแต่ถ้าน้ำที่ทำส้มตำของเราใช้น้ำมะนาวนะคะ เท่าที่ทราบคือเขาก็ใช้น้ำมะขามเปียก แต่ไม่ใช่แบบมะขามเปียกข้นๆ ขนาดนั้น

 

เดิมคนต่างชาติอาจจะเคยรู้จักส้มตำแบบเดียว แต่พอมีการแนะนำส้มตำถาดเข้ามา ก็เหมือนเป็นการสะท้อนมิติความหลากหลายของเมนูนี้ไปเลย  

     เดี๋ยวนี้ส้มตำมีหลายแบบมาก ส้มตำทอด ส้มตำหลอด เอาเครื่องส้มตำ
ใส่ในแผ่นก๋วยเตี๋ยว หรือแผ่นเวียดนามโรลค่ะ แช่น้ำเสร็จแล้วใส่ ม้วน ตัด แล้วก็เอาน้ำหยอดแล้วก็กินเป็นคำๆคล้ายๆ ปอเปี๊ยะสด เขาจะเรียกกันว่าส้มตำหลอด วิวัฒนาการมาเรื่อยๆ 
ถามว่าหลักในการทำส้มตำของเขาเหมือนเดิมไหม ก็เหมือนเดิมนี่ล่ะค่ะ

 

หลักในการทำส้มตำให้ออกมาสมบูรณ์

     เครื่องต้องครบค่ะ มีพริก กระเทียม เส้นมะละกอต้องแช่ในน้ำเย็น แล้วทำ
ให้เส้นสะเด็ดน้ำ ถ้าไม่สะเด็ดน้ำ พอเอาไปตำรสชาติมันจะเจือจาง เวลาเราโขลกส้มตำอย่าโขลกแรง แค่ให้รู้สึกว่าคลุกเคล้ากับน้ำยำ ไม่อย่างนั้น
เส้นจะช้ำ ช้ำปุ๊บ มันก็จะไม่มีความกรอบ ไม่อร่อยค่ะ

 

 

มัสมั่นเนื้อ

     “…มัสมั่นแกงแก้วตา หอมยี่หร่ารสร้อนแรง ชายใดได้กลืนแกง แรงอยากให้ใฝ่ฝันหา…”

     ข้อความข้างต้นจาก กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

     เป็นเครื่องเตือนใจถึงความเอร็ดอร่อยของเมนูนี้ได้เป็นอย่างดี

     มัสมั่นเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการกินของชาวมลายู เมื่อเข้ามาในสยามประเทศ มีการปรับสูตรไปตามครรลองและได้รับความนิยมต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน จนกลายมาเป็นหนึ่งในอาหารไทยที่ติดอันดับโลก

     เราเลือกร้านน้ำ (NAHM) จากโรงแรมเมโทรโพลิแทน มานำเสนอเมนูเด็ด ‘แกงมัสมั่นหางวัว’​ ที่นักชิมติดใจ และมีโอกาสพูดคุยกับ เชฟปริญญ์ ผลสุข ผู้รับหน้าที่ดูแลร้านเป็นหลักแทน เดวิด ทอมป์สัน เจ้าของผู้ปลุกปั้นจนร้านอาหารนี้สร้างชื่อไปทั่วโลก

 

 

The Mouth-Watering Massaman

ในมุมมองของเชฟ จุดเด่นของอาหารไทยคืออะไร

     จุดเด่นของอาหารไทยจริงๆ อยู่ที่ความซับซ้อนของรสชาติ มันกลมกล่อม มีหลายรส สำหรับผมแฟชั่นก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้อาหารไทยเป็นที่นิยม 
มีการเปิดร้านไปทั่วทุกมุมโลก มีสูตรของแม่ ของยาย จังหวัดนั้น จังหวัดนี้ ก็ช่วยสร้างความหลากหลายให้เกิดขึ้น มีความกล้าทำ กล้าขายมากขึ้น ไม่ใช่แค่แกงเขียวหวาน ต้มยำกุ้ง ผัดไทยแบบสมัยก่อน เทรนด์อาหารในสมัยนี้คือ ต้องมีความท้าทายที่จะขายมากขึ้น แสดงออกให้เห็นว่ามันมีอะไรให้ลองมากขึ้น มันมีมากกว่าที่เคยเห็นในท้องตลาด ตอนนี้ไม่ใช่ว่าอาหารไทยมีแค่ 10 อย่างแบบที่เคยเป็นมา แต่ละสูตรมีเรื่องราวว่าเกิดขึ้นอย่างไร เช่น ร้านศรีตราด ก็มาจากตราด ขายประสบการณ์ว่าอาหารตราดเป็นอย่างไร หรือร้านขายอาหารเชียงใหม่ก็ย่อรูปแบบของอาหารให้
แยกย่อยลงไปมากกว่าอาหารเหนือ แต่เป็นอาหารสูตรเชียงใหม่โดยเฉพาะ

 

อาหารไทยมีความซับซ้อน ลองขยายความสักหน่อย

     อย่างจานจานหนึ่งที่เราพยายามนำเสนอมีหลายรสชาติ ทั้งเปรี้ยว เค็ม หวาน เป็นหลักอยู่แล้วใช่ไหมครับ แต่นอกจากเปรี้ยว เค็ม หวาน เรายัง
มีขม มีเฝื่อน มีรสของสมุนไพรที่หอมขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง มีความข้นมันจาก
กะทิ มีความเผ็ดร้อนและกลิ่นฉุนของพริกในแกงป่า เวลาที่เราทำก็พยายามคิดเรื่องเลเยอร์ด้วย เพราะแค่รสชาติหลักมันไม่สนุกพอ

     บางทีที่เราเห็นอาหารอย่างหนึ่งเช่นแกงมัสมั่นนี่ เราคิดว่าอะไรต้อง
มาก่อนมาหลัง เพราะเราพยายามเล่นมากกว่านั้น พยายามให้เค็มมาก่อน เปรี้ยวตามมา แล้วก็หวาน เราจะทำอย่างไรถึงจะได้รสแบบที่ต้องการ

     ผมทดลองสูตรกับเชฟเดวิดอยู่ประมาณหนึ่งเดือน เพราะเป็นสูตรที่ไม่มีการชั่งตวงแบบจริงจัง และแปลกอีกอย่างคือ มีพริกแกง ไม่มีข่า ตะไคร้ หอมแดง ไม่มีส่วนผสมของไทย มันเหมือนแกงแขกจริงๆ ที่ใส่พวกของแห้งและพริก ที่อื่นอาจเป็นสูตรที่ใหม่กว่าสูตรที่เรานำเสนอ น่าจะเป็นสูตร
หลังรัชกาลที่ 5 หรือ 6 ซึ่งมีการใช้มันฝรั่งเป็นส่วนผสมด้วย

     ต้นตำรับคือ เป็นแกงมาจากอินเดียหรือแถบอาหรับ ผมไม่แน่ใจว่าแกงมัสมั่นเข้าเมืองไทยตอนไหน อาจจะสมัยอยุธยา เพราะเป็นช่วงที่ชาวอาหรับเข้ามาเป็นเสนาบดีทำงานให้กับพระราชา เมื่อเข้ามาเขาก็ต้องอยากกินอาหารของเขา มันก็มาถูกกับจริตคนไทยตรงที่มีพริกแกง คนไทยทำพริกแกงอะไรบ้าง เรามีข่า ตะไคร้ หอมแดง ก็เอามารวมกัน คนสมัยก่อนฉลาดที่ทำให้ส่วนผสมทั้งหมดดึงรสชาติอย่างอื่นออกมาด้วย ไม่ใช่แค่พวกสมุนไพรแห้งอย่างเดียว ความหอมของข่าและตะไคร้ที่ใส่เพิ่มเข้าไปอีก
ชั้นหนึ่ง ถ้าเราไปกินแกงของมุสลิมก็จะได้แค่สมุนไพรตากแห้ง แต่พอมีข่าและตะไคร้ก็จะมีน้ำหนักอีกเลเยอร์หนึ่ง หลังจากนั้นคงมีการรวบรวมสูตรโดยท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ สมัยรัชกาลที่ 5 เช่น แกงมัสมั่นใส่
ส้มซ่า พริกแกงก็ต่างจากเราไป เมื่อมีวัฒนธรรมมุสลิมเข้ามาเราก็ได้รับอิทธิพลมาด้วย มีการทำตามส่วนผสมที่มีอยู่ว่าอันไหนมันน่าจะเหมาะสม อย่างเขามีเปรี้ยวจากส้มมะขาม น้ำมะขาม เราก็มีเปรี้ยวจากส้มซ่าที่ใส่ลงไปให้มันหอมมากขึ้น ดูดีมากขึ้น น่ากินมากขึ้นตามจริต

 

สูตรมัสมั่นที่เรากำลังทำ เชฟเล่าที่มาให้ฟังหน่อยว่าได้สูตรมาจากไหน

     จากปัตตานีครับ เชฟเดวิดไปท่องเที่ยวแล้วก็ได้มา ตอนที่ผมอ่านสูตร คิดในใจว่า “จะอร่อยเหรอวะ” เพราะในพริกแกงจะมีพริกแดงแห้งเม็ดใหญ่ กระวาน กานพลู ลูกจันทน์เทศ ใบกระวาน พริกไทย และถั่วลิสง

“ผมว่ามัสมั่นกินง่ายนะครับ ไม่รู้สึกหนักเหมือนแกงอื่น มีเครื่องเทศมาก และมีความข้น การกินก็ง่าย กินกับข้าวหรือขนมปังก็ได้ รสชาติไม่เผ็ดจัด มีเปรี้ยว มีเค็ม มีหวาน ถ้าเจ้าไหนตุ๋นจนนิ่ม รสสัมผัสของตัวเนื้อจะมีความละมุนจากความเปรี้ยว เค็ม หวานด้วย หอมจากสมุนไพรเบาๆ ทำให้มันอร่อย”

 

แวบแรกที่เห็นสูตร ทำไมถึงคิดว่า “มันจะอร่อยเหรอ”

     เราสงสัยว่าพริกแกงแบบนี้มันจะอร่อยเหรอ เพราะเราเคยชินกับพริกแกงที่มีข่า ตะไคร้ หอมแดง กระเทียม รากผักชี แต่สูตรนี้มีแค่นี้ เอาของแห้งมาตำแล้วคั่วให้เข้ากัน พอมาอ่านสูตรเลยสงสัยว่าจะอร่อยไหม เราคุ้นชินกับพริกแกงแบบเดิม สูตรนี้ไม่ใช้กะปิ เหมือนแกงแขก แต่ก็เป็นแกงมัสมั่นที่ใส่ขิง หอม น้ำมะขาม คือเป็น 3 รส เค็ม เปรี้ยว หวาน แต่เราเสริมด้วยการใส่ส้มจี๊ดเข้าไป เสริมความเปรี้ยวจากมะขาม คือทางใต้ ทางมาเลย์ 
อินโดฯ เขาจะใส่ลูกส้มจี๊ด แล้วโชคดีที่ผมไปเจอลูกจันทน์เทศ มีความเปรี้ยวมากและหอมเหมือนลูกจันทน์สด เลยกลายเป็นเปรี้ยว 3 อย่าง

 

พอเชฟเห็นสูตรแล้ว ก็จะหาอะไรเพิ่มเติมเข้าไป เพื่อให้รสชาติแตกต่าง

     ใช่ครับ ให้มีความหลากหลาย คิดว่าทางใต้เขากินอะไรบ้าง ก็เพิ่มเข้าไปให้รู้สึกว่าไม่ขาดอะไร แล้วพอผัดออกมามันหอมมาก จากที่เราเคยคิดว่าจะอร่อยเหรอ เราทำตามสูตรไปก่อน แต่ดูขาดอะไรไปสักนิด ขาดเลเยอร์ที่เราอยากให้มี เลยมีไอเดียว่าจะใส่อะไรเพิ่ม มีขิงป่นเพิ่มเข้าไปนิดหน่อย เราเพิ่มวิธีคิดแบบฝรั่งว่า ต้องเพิ่มอะไรเข้าไป โน่นนิด นี่หน่อย เพื่อให้เลเยอร์ที่เราคิดไว้มันแตกตัวออกมา พอกินแล้วคนต้องคิดว่า “เฮ้ย เขาใส่อะไรบ้าง” พอไปกัดโดนลูกจันทน์เทศก็มีความเปรี้ยว “ฮะ เปรี้ยวจากอะไร” คนส่วนใหญ่อาจไม่เคยพบมาก่อนในสารบบการกิน

 

ทดลองไปทดลองมาอยู่หนึ่งเดือน จนได้เป็นสูตรที่นำเสนอให้เลือกในเมนูอยู่ทุกวันนี้

     ครับ มันตอบสิ่งที่ผมบอกว่าอาหารไทยสนุก อาจเพราะผมสนุกที่จะทำด้วย แต่คนกินจะสนุกหรือเปล่าไม่รู้

 

เวลาที่มีการจัดอันดับอาหารยอดนิยมทั่วโลก อาหารไทยมักจะติดอันดับสูงๆ บางอย่างติดอันดับ 1 ในบางปี มัสมั่นเป็นหนึ่งในนั้น ทำไมคนถึงชอบมัสมั่น

     อย่างแรกผมว่ามัสมั่นกินง่าย ไม่รู้สึกหนักเหมือนแกงอื่น มีเครื่องเทศมาก และมีความข้น ขณะที่แกงสมัยนี้จะมีน้ำมากแทนที่จะเป็นแกงขลุกขลิกแบบสมัยก่อน กินก็ง่าย อย่างที่สอง กินกับข้าวหรือขนมปังก็ได้ รสชาติ
ไม่เผ็ดจัด มีเปรี้ยว มีเค็ม มีหวาน ส่วนใหญ่จะออกหวานมากกว่า สามารถกินเปล่าๆ ได้ด้วย ถ้าเจ้าไหนตุ๋นจนนิ่ม รสสัมผัสของตัวเนื้อจะมีความ
ละมุนจากเปรี้ยว เค็ม หวานด้วย หอมจากสมุนไพรเบาๆ ทำให้มันอร่อย

 

มัสมั่นหางวัวสูตรที่เสิร์ฟที่ร้านอยู่ในเมนูมานานหรือยัง เสียงตอบรับเป็นอย่างไรบ้าง

     ตั้งแต่เดือนเมษายน เสียงตอบรับดีครับ ใช้หางวัววันละ 5 หาง จริงๆ ก็กลัวเรื่องกระดูก เพราะผมใส่น้ำกระดูกลงไปด้วย แต่มันให้ความรู้สึกว่าเป็นหางวัวจริงๆ ไม่ได้ปลอมเนื้อส่วนอื่นมา อย่างที่บอกว่ามัสมั่นเป็นแกงที่
กินง่ายและไม่เผ็ด แต่ที่นี่จะมีรสจัดและข้นมากกว่า ลักษณะของแกง
ตามความคิดอ่านของผม เมื่อก่อนคนไทยกินข้าวเหนียว ข้าวเจ้ามาทีหลัง ใช้มือเปิบ แกงเลยมีลักษณะข้นมากกว่า

 

ถ้าโลกนี้ไม่มีอาหารไทย เชฟจะขอเลือกอาหารชาติไหนเป็นอาหารที่ต้องกินประจำ

     อิตาเลียน ผมว่าวิธีกินเหมือนกัน รสชาติซับซ้อนใกล้เคียง ผมชอบอาหารอิตาเลียน ที่สำคัญหากินง่าย และสังคมอิตาลีก็กินอาหารกันแบบทุกคน
ในครอบครัวแบ่งปันกัน

 

ทุกวันนี้ถ้าเจอสูตรอาหารที่น่าสนใจก็ยังพยายามทดลองทำอยู่ไหม

     ทำทุกวันครับถ้ามีโอกาส คือเชฟเดวิดจะไม่ค่อยได้อยู่ร้านเท่าไร ผมก็ทำแล้วถ่ายรูปส่งไป นอกจากดูแลร้านแล้ว ก็ช่วยดูเรื่องบริการบ้าง สมัยนี้
ต่างจากสมัยก่อน สมัยก่อนเชฟไม่ค่อยมีอำนาจในการดูแลร้านเท่าไร 
คนที่มีอำนาจจริงๆ คือผู้จัดการร้าน แต่สมัยนี้เปลี่ยนไป คนยอมรับเชฟมากขึ้น

     รสชาติอยู่ในมือเชฟ ต้องให้ความสำคัญกับเชฟบ้าง

     ก็เลยมีการเปลี่ยนแปลงในทำนองที่ว่า อาชีพเชฟมีความหมายมากขึ้น

 

The post เอมโอชรสไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/issue18-cover-story/feed/ 0
THE DIVINE ASCENT TO HEAVEN https://thestandard.co/divine-ascent-heaven/ https://thestandard.co/divine-ascent-heaven/#respond Tue, 07 Nov 2017 14:50:48 +0000 https://thestandard.co/?p=41400

     “…โอ้ชีวิตหนอล้วนรอความตายทุก […]

The post THE DIVINE ASCENT TO HEAVEN appeared first on THE STANDARD.

]]>

     “…โอ้ชีวิตหนอล้วนรอความตายทุกคน หลีกไปไม่พ้นทุกข์ทนอาทรร้อนใจ

ทนทรมานมามากแล้วจะกราบลาแสงเทียนบูชาจะดับพลัน แสงเทียนบูชาดับลับไป…”

สารหลักจากเพลงพระราชนิพนธ์ แสงเทียน ตอกย้ำว่า ทุกอย่างล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป แต่พอถึงเวลา

ที่ต้องบอกลาบุคคลอันเป็นที่รัก คนส่วนใหญ่มักจะรับมือกับความสูญเสียได้ยาก ไฉนเลยพสกนิกรชาวไทยจะทำใจได้

เมื่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จสวรรคตเมื่อหนึ่งปีที่ผ่านมา…

     จากวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 แม้ทุกคนจะทราบถึงการเตรียมงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ

พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นที่รักยิ่งตลอดมา แต่ยิ่งใกล้วันสำคัญ บรรยากาศแห่งความโศกเศร้าเข้าปกคลุม

ราวกับทั้งประเทศตกอยู่ในม่านหมอกสีดำทะมึน ไร้แสงเทียนนำทาง

     พระราชพิธีสำคัญตลอด 5 วัน ระหว่างวันที่ 25-29 ตุลาคม พ.ศ. 2560 ผ่านพ้นไปท่ามกลางความอาลัย

ของคนไทยทั้งประเทศ และการยอมรับสัจธรรมชีวิตเรื่อง ‘อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา’

     THE STANDARD รวบรวมเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ เมื่อพสกนิกรชาวไทยทุกแห่งหน

น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายความอาลัยต่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้

Before the Day Thailand Stood Still

     ช่วงเวลาก่อนถึงวันพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช นอกเหนือจากกระบวนซ้อมตามหมายกำหนดการ สิ่งหนึ่งที่เป็นปรากฏการณ์สำคัญคือ พสกนิกรจากภูมิภาคต่างๆ เริ่มจับจองพื้นที่ใกล้กับบริเวณจุดคัดกรอง หลายคนพักค้างคืนริมถนนเพื่อให้แน่ใจว่า เมื่อถึงเวลา

     ตนเองจะเป็นส่วนหนึ่งของคนที่ได้เข้าสู่พื้นที่สนามหลวง เพื่อชมพระราชพิธีสำคัญนี้ สำหรับคนที่อยู่รอบนอกต่างก็มีจุดหมายเช่นเดียวกันคือ จับจองพื้นที่ใกล้เคียงพระราชพิธี

     เพื่อร่วมส่ง ‘พ่อของแผ่นดิน’ และถวายความอาลัยแด่มหาราชาภูมิพลให้ใกล้ที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

 

The Greatest King’s Voyage to Heaven

     ในด้านหนึ่ง พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

     ในวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2560 เป็นบันทึกแห่งประวัติศาสตร์ของความโศกเศร้าที่ชาวไทยทั้งประเทศไม่อยากให้เกิดขึ้น ในอีกด้านหนึ่ง นี่คือความสวยงามของโบราณราชประเพณีที่ได้รับการถ่ายทอดออกมาให้เห็นเป็นรูปธรรมอย่างวิจิตรบรรจง รวมทั้งยังเป็นโอกาสได้เห็นพลังแห่งความสามัคคีของพสกนิกรที่ร่วมกัน

     เป็นส่วนหนึ่งของการเทิดพระเกียรติมหาราช ผู้สถิตอยู่ในใจคนไทยตลอด 70 ปีที่ผ่านมา และตลอดไป

 

     ประชาชนร่วมแรงร่วมใจเตรียมงาน จัดสถานที่สำหรับพิธีวางดอกไม้จันทน์ ณ พระเมรุมาศจำลอง บริเวณสวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา
ศูนย์ราชการจังหวัดนราธิวาส ตำบลโคกเคียน อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส และพระเมรุมาศจำลอง บริเวณมณฑลพิธี ณ ลานหน้า อบจ. จันทบุรี จนแล้วเสร็จอย่างงดงาม
สมบูรณ์

 


     พสกนิกรทุกหมู่เหล่าตั้งมั่นเดินทางมาร่วมพิธีวางดอกไม้จันทน์ ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติจังหวัดเชียงใหม่ โดยไม่ย่อท้อต่อสภาพอากาศใดๆ


 

 

     ประชาชนชาวหัวหินรวมหัวใจจุดเทียนถวายความอาลัยหน้าพระราชวังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 1 วัน ก่อนหน้าพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

 

     คนไทยในซานฟรานซิสโกนับพันคนรวมตัวกันบริเวณซานฟรานซิสโก ซิตี้ ฮอลล์ ในขณะที่พี่น้องชาวไทยในเมืองเลสเตอร์ ประเทศอังกฤษ รวมตัวกันที่สนามคิงเพาเวอร์ สเตเดี้ยม เพื่อถวายความอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในบรรยากาศหม่นเศร้า

 

Ever and Ever,  Still on Our Mind

     นอกจากพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ในวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2560 ตามหมายกำหนดการ
 ยังมีพระราชพิธีสำคัญระหว่างวันที่ 27-29 ตุลาคม พ.ศ. 2560 ทั้งพระราชพิธีเก็บพระบรมอัฐิ พระราชพิธีอัญเชิญ
พระโกศพระบรมอัฐิและพระผอบพระบรมราชสรีรางคารไปยังพระบรมมหาราชวัง พระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลพระบรมอัฐิ

     และพระราชพิธีอัญเชิญพระบรมราชสรีรางคารไปบรรจุ ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร

     และวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร โดยทีมงาน THE STANDARD ติดตามรายงานความเคลื่อนไหวตลอด 3 วันที่เหลือ

     เพื่อเป็นการปิดท้ายงานพระราชพิธีครั้งประวัติศาสตร์อย่างสมพระเกียรติ

 

The post THE DIVINE ASCENT TO HEAVEN appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/divine-ascent-heaven/feed/ 0
89 YEARS OF THE KING OF KINGS https://thestandard.co/89-years-of-the-king-of-kings/ https://thestandard.co/89-years-of-the-king-of-kings/#respond Tue, 31 Oct 2017 14:00:22 +0000 https://thestandard.co/?p=36987

     ในหนึ่งชีวิต คนคนหนึ่งจะรับผิดชอบทำ […]

The post 89 YEARS OF THE KING OF KINGS appeared first on THE STANDARD.

]]>

     ในหนึ่งชีวิต คนคนหนึ่งจะรับผิดชอบทำงานได้มากที่สุดขนาดไหน และศาสตร์กี่แขนงที่เราจะสามารถเรียนรู้จนเชี่ยวชาญ

ตลอดรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระองค์มีพระราชดำริอันเป็นที่มาของ

โครงการพัฒนามากกว่า 4,000 โครงการ ขณะที่ทรงสนพระราชหฤทัยในศาสตร์หลากหลาย และทรงศึกษาจนเชี่ยวชาญ

ทั้งในด้านวิทยาการและความรู้ ตลอดจนศิลปะแขนงต่างๆ จนพระองค์ทรงได้รับการขนามพระนามว่าเป็นเอกอัครศิลปิน และทรงใช้ความรอบรู้ทั้งหมดพัฒนาออกมาให้เกิดผลงานเป็นรูปธรรมหลากหลายรูปแบบอย่างที่เราได้ประจักษ์

นับจากวันที่เสด็จขึ้นครองราชย์ตั้งแต่พระชนมายุ 19 พรรษา จนถึงวันที่เสด็จสวรรคตในวันที่ 13 ตุลาคม 2559

นี่คือช่วงเวลา 70 ทศวรรษที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็นดั่งร่มโพธิ์ร่มไทรให้ความร่มเย็น

แก่พสกนิกรทั่วหล้า THE STANDARD ขอน้อมรำลึกถึงพระมหากษัตริย์ผู้ทรงงานหนักที่สุดในโลก ด้วยการย้อนกลับไปยัง 89 ปีที่ผ่านมา เพื่อจดจำช่วงเวลาสำคัญแต่ละปีในชีวิตของพระองค์ ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้

 

1

 

     พระราชโอรสพระองค์ที่ 2 ของสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดชฯ กรมขุน-สงขลานครินทร์ (พระอิสริยยศในขณะนั้น) และหม่อมสังวาลย์ มหิดล ณ อยุธยา ประสูติเมื่อวันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. ​2470 ณ โรงพยาบาลเมานต์ ออเบิร์น เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา หลังมีพระประสูติกาลได้ไม่ถึง 3 ชั่วโมงดี ทูลกระหม่อมพ่อก็ทรงรีบส่งโทรเลขแจ้งข่าวถวายสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสามาตุจฉาเจ้า (พระอิสริยยศในขณะนั้น) พระราชมารดา และขอพระราชทานนามแก่พระโอรส

 

“ลูกชายเกิดเช้าวันนี้ สบายดีทั้งสอง

ขอพระราชทานนามทางโทรเลขด้วย”

 

     พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานนามพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าพระองค์ใหม่ว่า ‘ภูมิพลอดุลเดช’ (เดิมสะกดว่าอดุลเดช ต่อมาสะกดว่าอดุลยเดช ซึ่งกลายเป็นแบบที่เขียนมาจนปัจจุบัน)

     เมื่อครั้งยังเป็นเจ้านายเล็กๆ พระวรวงศ์เธอ-พระองค์เจ้าภูมิพลอดุลยเดช ทรงพบเจอกับการเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่หลายครั้ง ทั้งทรงสูญเสียสมเด็จพระราชบิดา ต้องทรงโยกย้ายจากบ้านเกิดเมืองนอนไปทรงศึกษาต่อและทรงเจริญวัยที่สวิตเซอร์แลนด์ แต่พระองค์ทรงได้รับการอภิบาลอย่างดียิ่งจากสมเด็จพระบรมราชชนนี ทั้งการสนับสนุนให้พระโอรสและพระธิดาอยู่กับธรรมชาติ จนเป็นที่มาของความสนพระราชหฤทัยในด้านการกั้นน้ำสร้างเขื่อนและการชลประทาน ตลอดจนเรื่องความมีวินัย ประหยัดอดออม และที่สำคัญคือ มีความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง ทำให้เมืองไทยมีพระมหากษัตริย์ผู้ทรงงานหนัก และห่วงใยทุกข์สุขของพสกนิกรมาตลอด 70 ปี แห่งการครองราชย์

 

1

พ.ศ. 2471

 

     สมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดชฯ กรมหลวงสงขลานครินทร์ (พระอิสริยยศในขณะนั้น) หม่อมสังวาลย์ พร้อมด้วยพระโอรสและพระธิดา เสด็จนิวัตประเทศสยาม ในเดือนธันวาคม

 

7

พ.ศ. 2477

     วันที่ 2 มีนาคม พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล เสด็จขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 8 แห่งราชวงศ์จักรี

 

10

 

 

     ในทศวรรษที่ 2 ของพระชนมชีพ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช ก็ยังทรงประสบความผันแปรอย่างใหญ่หลวง เมื่อต้องเสด็จฯ เถลิงถวัลยราชสมบัติทั้งที่พระชนมายุยังไม่เต็ม 19 พรรษาดี หลังจากทรงจัดการพระราชพิธีต่างๆ ถวายพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 ที่เสด็จสวรรคตโดยกะทันหันเรียบร้อยแล้ว พระองค์ก็เสด็จฯ กลับไปศึกษาต่อยังประเทศสวิตเซอร์แลนด์ อย่างไรก็ตาม ก่อนจะนิราศร้างแผ่นดินไทยไปอีกวาระหนึ่ง พระองค์ทรงได้ยินใคร
คนหนึ่งในหมู่ฝูงชนที่มาเฝ้าส่งเสด็จ ตะโกนขึ้นมาด้วยความโทมนัสว่า “อย่าทิ้งประชาชน” มีพระราชดำรัสตอบในพระราชหฤทัยทันทีว่า “ถ้าประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะทิ้งประชาชนอย่างไรได้”

 

“อดคิดถึงพี่ไม่ได้แม้แต่ขณะเดียว ฉันเคยคิดว่า ฉันจะไม่ห่างจากพี่ตลอดชีวิต แต่มันเป็นเคราะห์กรรม ไม่ได้คิดเลยว่าจะเป็นกษัตริย์ คิดแต่จะเป็นน้องของพี่เท่านั้น”

พระราชปรารภของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9

ในบทความเรื่อง เมื่อข้าพเจ้าบินไปสืบกรณีสวรรคต ที่สวิตเซอร์แลนด์ ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ เกียรติศักดิ์

ฉบับวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2491 (ข้าพเจ้าในที่นี้หมายถึงพระพินิจชนคดี)

 

19

พ.ศ. 2489

 

     รัชกาลที่ 8 เสด็จสวรรคตในวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 รัฐบาลอัญเชิญสมเด็จพระเจ้า-น้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดชขึ้นครองราชย์ เป็นพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรี ทรงเฉลิมพระปรมาภิไธยว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช

 

20

     แม้จะเริ่มต้นทศวรรษที่ 3 ของพระชนมชีพด้วยข่าวอันน่าหวาดหวั่น เนื่องจากทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์อย่างรุนแรงที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ หากแต่ในเวลาต่อมา ก็ทรงมอบความปีติหลั่งรินสู่ใจคนไทยด้วยข่าวการหมั้นหมายกับ หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ตามมาด้วยพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส และพระราชพิธีบรมราชาภิเษกตามโบราณราชประเพณี ทรงพระราชทานปฐมบรมราชโองการว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” คนไทยได้อุ่นใจ แผ่นดินไทยได้รับการพัฒนาใต้พระบรมโพธิสมภารนับแต่นั้นมา

 

“เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”

 

22

พ.ศ. 2492

 

     ทรงหมั้น หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ณ พระตำหนักที่ประทับเมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์​  พระราชทานพระธำมรงค์เพชรหนามเตยรูปหัวใจ ซึ่งเคยเป็นพระธำมรงค์ที่สมเด็จพระบรมราชชนกใช้หมั้นสมเด็จพระบรมราชชนนี

 

24

พ.ศ. 2494

 

     เสด็จนิวัตประเทศไทยเป็นการถาวร

 

30

     สถานการณ์ของประเทศไทยช่วงต้นรัชกาล ราษฎรยังคงทุกข์ยากและมีชีวิตที่แร้นแค้นโดยเฉพาะในถิ่นทุรกันดาร ปัจจัยสี่ด้านการดำรงชีวิตขาดแคลนไปเสียสิ้น ทั้งขาดโอกาส เจ็บป่วย ยากจน พระราชกรณียกิจในช่วงนี้จึงมุ่งเน้นแก้ปัญหาเฉพาะหน้าสำคัญ จะเห็นได้จากที่ทรงริเริ่มโครงการต่างๆ ที่จำเป็นต่อปากท้องและสุขภาพของประชาชน ทั้งการพระราชทานพันธุ์ปลาเพื่อให้เป็นอาหารโปรตีนที่ราคาถูกแก่คนไทย  ทั้งการก่อตั้งโรงพยาบาล รวมถึงทรงจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ เวชภัณฑ์ต่างๆ ตลอดจนจัดตั้งหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พระราชทานแก่ราษฎรในพื้นที่ห่างไกล ถือเป็นการสร้างคุณภาพชีวิตพื้นฐานให้แข็งแรงในเบื้องต้นก่อน เพื่อเตรียมคนให้พร้อมในการรับการพัฒนาด้านอื่นต่อไป

 

“เรามีโชคดีที่มีภาษาของตนเองแต่โบราณกาล จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะรักษาไว้ ปัญหาเฉพาะในด้านรักษาภาษานี้ก็มีหลายประการ อย่างหนึ่งต้องรักษาให้บริสุทธิ์ ในทางออกเสียงคือ ให้ออกเสียงให้ถูกต้องชัดเจน  อีกอย่างหนึ่งต้องรักษาให้บริสุทธิ์ในวิธีใช้ หมายความว่าวิธีใช้คำมาประกอบเป็นประโยค นับเป็นปัญหาที่สำคัญ ปัญหาที่สามคือความร่ำรวยในคำของภาษาไทย ซึ่งพวกเรานึกว่าไม่ร่ำรวยพอ จึงต้องมีการบัญญัติศัพท์ใหม่มาใช้”

พระราชดำรัสในการประชุมทางวิชาการของชุมนุมภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

วันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2505

 

     ในทศวรรษนี้ เสด็จฯ เยี่ยมเยียนราษฎรทั่วทุกภูมิภาค เมื่อปัญหาเฉพาะหน้าต่างๆ ของพสกนิกรเริ่มคลี่คลาย ก็ทรงหันมาดำเนินงานพัฒนาด้านอื่นๆ เช่น โครงการที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำที่มีมากมาย ตั้งแต่บนยอดดอยจรดชายฝั่ง

     ในขณะเดียวกัน ก็ทรงต้องเสด็จฯ เยือนต่างประเทศทั้งยุโรปและอเมริกานานกว่าครึ่งปี ทั้งเพื่อเจริญสัมพันธไมตรี และทรงจับตาดูสถานการณ์โลก รวมถึงท่าทีต่างๆ ที่มหาอำนาจมีต่อกันในยุคสงครามเย็น ผลจากการเสด็จประพาสต่างแดนครั้งนั้น ก็ทำให้ไทยเป็นที่ยอมรับในประชาคมโลกอย่างภาคภูมิ

 

33

พ.ศ. 2503

 

     ทรงเริ่มต้นการเสด็จฯ​ เยือนอเมริกาและยุโรปรวม 14 ประเทศ ตั้งแต่กลางเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2503 จนถึงกลางเดือนมกราคม พ.ศ. 2504 รวมทั้งสิ้น 7 เดือน สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 โดยเสด็จด้ว

 

40

 

 

     หลังจากเสด็จประพาสต่างประเทศในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เพื่อเจริญพระราชไมตรีกับบรรดามิตรประเทศเหล่านั้น พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงใช้เวลาในช่วงทศวรรษนี้ทุ่มเทพระวรกายเพื่อทรงงานในประเทศ โดยมิได้เสด็จประพาสต่างบ้านต่างเมืองอีกเลย นอกจากเสด็จฯ เยือนประเทศแคนาดาอีกครั้งเดียวเมื่อ พ.ศ. 2510

     มีโครงการในพระราชดำริเกิดขึ้นมากมายในช่วงนี้ ในปี พ.ศ. 2517 พระองค์มีพระราชดำรัสเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงครั้งแรก ก่อนจะได้รับการน้อมนำไปปฏิบัติอย่างกว้างขวางหลัง พ.ศ. 2540

 

“การกีฬานั้นมีหลักสำคัญอยู่ที่ว่าจะต้องฝึกฝนตนเองให้แข็งแรง ให้มีความสามารถในกีฬาของตน เพื่อจะพร้อมที่จะไปปฏิบัติหน้าที่ในการแข่งขันและได้ชัยชนะมา ถึงเวลาเข้าแข่งขัน ก็จะต้องตั้งสติให้ดี เพื่อให้ปฏิบัติได้เต็มที่ตามที่ได้ฝึกฝนมา”

ตอนหนึ่งในพระบรมราโชวาท

พระราชทานแก่นักกีฬาที่จะเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาแหลมทอง ครั้งที่ 5  ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน

วันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2512

 

40

พ.ศ. 2510

     ทรงชนะเลิศเหรียญทอง การแข่งขันเรือใบ กีฬาแหลมทอง ครั้งที่ 4 ระหว่างวันที่ 9-16 ธันวาคม ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ และทรงได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลเหรียญทองจากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ รัชกาลที่ 9 เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม

 

42

พ.ศ. 2512

 

 

     โครงการฝนหลวงดำเนินการทดลองปฏิบัติการจริงในท้องฟ้าเป็นครั้งแรกวันที่ 1-2 กันยายน หลังจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จัดตั้งหน่วยบินปราบศัตรูพืชกรมการข้าว และพร้อมให้การสนับสนุนในการสนองพระราชประสงค์ หลังจากพระองค์มีพระราชดำริให้จัดตั้งโครงการและศึกษาความเป็นไปได้มาตั้งแต่ พ.ศ. 2489

 

50

     นอกจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จะทรงสถาปนาสมเด็จพระเทพฯ เป็นสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี นับเป็นสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงพระองค์แรกที่ทรงดำรงพระอิสริยยศ ‘สยามบรมราชกุมารี’ แห่งราชวงศ์จักรี ในช่วงทศวรรษนี้โครงการสำคัญจากแนวพระราชดำริมีออกมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งโครงการจากทฤษฎีแกล้งดิน

 

“ทั้งนี้ เนื่องจากดินมีสารประกอบไพไรท์ ทำให้มีกรดกำมะถัน เมื่อดินแห้ง ทำให้ดินเปรี้ยว ควรปรับปรุงดินให้ดีขึ้น ดังนั้นเห็นสมควรที่จะมีการปรับปรุงพัฒนา โดยให้มีหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมาดำเนินการศึกษาและพัฒนาพื้นที่พรุร่วมกัน”

พระราชดำรัส วันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2524 อันเป็นที่มาของโครงการแกล้งดิน ตามแนวพระราชดำริ

 

50

พ.ศ. 2520

 

 

     วันที่ 5 ธันวาคม ในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล-อดุลยเดช มีพระบรมราชโองการสถาปนาพระอิสริยศักดิ์สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา กิติวัฒนาดุลโสภาคย์ เฉลิมพระนามตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฏว่า สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี นับเป็นสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงพระองค์แรก ที่ทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น ‘สยามบรมราชกุมารี’ แห่งราชวงศ์จักรี

 

54

พ.ศ. 2524

 

 

     เสด็จเยี่ยมราษฎรที่จังหวัดนราธิวาส (อันเป็นที่มาของภาพทรงนั่งพิงรถยนต์พระที่นั่งที่จอดบนสะพาน) และมีพระราชดำริให้จัดตั้งศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง อันเนื่องมาจากพระราชดำริขึ้น

 

60

     ในช่วงวัยที่คนปกติจะเกษียณจากการทำงาน พ่อของแผ่นดินยังทรงงานหนักไม่เปลี่ยนแปลง  หลังจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมิได้เสด็จเยือนประเทศไหนอีกเลย ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ทรงเสด็จฯ เยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ  สยามบรมราชกุมารี ระหว่างวันที่ 8-9 มีนาคม พ.ศ. 2537 ซึ่งนับเป็นการเสด็จฯ เยือนต่างประเทศอีกครั้ง หลังจากว่างเว้นมาเป็นเวลานานกว่า 20 ปี และนับเป็นการเสด็จฯ เยือนต่างประเทศเป็นครั้งสุดท้ายของพระองค์ ในช่วงปลายทศวรรษนี้มีการจัดพระราชพิธีกาญจนาภิเษก เฉลิมฉลองเนื่องในวาระที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี นับเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงครองราชย์ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย

 

“แล้วก็ใครจะชนะ  ไม่มีทางชนะ อันตรายทั้งนั้น มีแต่แพ้ คือต่างคนต่างแพ้ ผู้ที่เผชิญหน้าก็แพ้ แล้วก็ที่แพ้ที่สุดก็คือประเทศชาติ”

พระบรมราชาธิบาย วันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 แก่ตัวแทนทั้งสองฝ่ายในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ

 

60

พ.ศ. 2530

 

     1 มกราคม พระราชทาน ส.ค.ส. โดยการปรุแถบโทรพิมพ์ ลงรหัสส่วนพระองค์ว่า กส.9 ปรุ 311430 ธค 2529. ทรงทดลองใช้โปรแกรมฟอนทาสติก(Fontasitc) ในคอมพิวเตอร์ สร้างตัวอักษรไทยและโรมัน รูปแบบและขนาดต่างๆ

 

 

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ทรงให้การต้อนรับสมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ และสมเด็จพระจักรพรรดินีมิชิโกะ ณ พระบรมมหาราชวังในปี พ.ศ. 2534

 

69

พ.ศ. 2539

     พระราชพิธีกาญจนาภิเษก เฉลิมฉลองเนื่องในวาระที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี

 

70

     ขณะที่ประเทศไทยเผชิญกับวิกฤตการเงิน ‘ต้มยำกุ้ง’ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระราชทานแนวคิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งพระองค์ทรงเคยมีพระราชดำรัสมาก่อนหน้านี้หลายทศวรรษ ต่อมาแนวคิดดังกล่าวได้รับการยอมรับว่าเป็นแนวทางพัฒนาสู่ความยั่งยืน

     ในปลายทศวรรษ รัฐบาลจัดพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี อย่างยิ่งใหญ่ โดยมีพระราชอาคันตุกะคือ สมเด็จพระราชาธิบดี สมเด็จพระราชินี มกุฎราชกุมาร และผู้แทนพระประมุขจาก 25 ราชวงศ์ทั่วโลก

 

“การจะเป็นเสือนั้นมันไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่เราพออยู่พอกิน และมีเศรษฐกิจการเป็นอยู่แบบพออยู่พอกิน แบบพอมีพอกินหมายความว่า อุ้มชูตัวเองไว้ให้มีความพอเพียงกับตัวเอง”

ตอนหนึ่งในพระราชดำรัสแก่คณะบุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าฯ ถวายชัยมงคล

เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2540

 

72

พ.ศ. 2542

 

     พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม

 

75

พ.ศ. 2545

 

 

     26 พฤศจิกายน พระราชนิพนธ์ เรื่อง ทองแดง วางจำหน่ายเป็นวันแรก

 

80

     ในช่วง 10 ปีสุดท้ายในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีเหตุการณ์สำคัญที่ปวงชนชาวไทยต้องน้อมรำลึกถึงไปตราบชั่วชีวิต เช่น พ.ศ. 2550 เป็นปีที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี และเป็นปีที่มีการเฉลิมพระเกียรติตลอดทั้งปี หลังจากนั้น ก็มีช่วงเวลาที่พระองค์เสด็จฯ ประทับรักษาพระอาการประชวรที่โรงพยาบาลศิริราชบ่อยครั้ง แต่กระนั้น พระองค์ก็ยังพระราชทานแนวคิดแก้ไขปัญหาในเรื่องต่างๆ และยังมีโครงการในพระราชดำริที่สำคัญอีกจำนวนหนึ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ ก่อนที่ปวงชนชาวไทยจะต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่เป็นความวิปโยคทั่วทั้งแผ่นดินในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2559

 

“ความมั่นคงของประเทศชาตินั้น จะเกิดมีขึ้นได้ ก็ด้วยประชาชนในชาติอยู่ดีมีสุข ไม่มีทุกข์ยากเข็ญ ดังนั้น การสิ่งใดที่เป็นความทุกข์เดือดร้อนของประชาชน ทุกคน ทุกฝ่าย จึงต้องถือเป็นหน้าที่ จะต้องร่วมมือกัน ปฏิบัติแก้ไขให้เต็มกำลัง”

พระราชดำรัสในการเสด็จออกมหาสมาคม งานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา พ.ศ. 2554 ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยมไหยสูรยพิมาน  วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2554

 

84

พ.ศ. 2554

 

 

     5 ธันวาคม งานพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ พระบาทสมเด็จ-พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จออกมหาสมาคมรับการถวายพระพรชัยมงคล ณ มุขเด็จ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท เป็นการเสด็จออก ณ มุขเด็จ เป็นครั้งสุดท้าย โดยมีการติดตั้งพระวิสูตรบนมุขเด็จ และเลื่อนพระราชอาสน์ออกสู่มุขเด็จเป็นครั้งแรกในพระราชพิธีครั้งนั้น มีพระราชดำรัสความตอนหนึ่งว่า “ข้อสำคัญจะต้องไม่ขัดแย้งแตกแยกกัน อาจจะต้องให้กำลังใจซึ่งกันและกัน เพื่อให้งานที่ทำบรรลุผลที่มีประโยชน์ เพื่อความผาสุกของประชาชนและความมั่นคงปลอดภัยของประเทศชาติ”

 

87

พ.ศ. 2557

 

 

     3 ตุลาคม พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เสด็จฯ ประทับรักษาพระอาการประชวร ณ โรงพยาบาลศิริราช

 

89

พ.ศ. 2559

 

 

     13 ตุลาคม พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จสวรรคต ณ โรงพยาบาลศิริราช เวลา 15.52 น. สิริพระชนมพรรษาปีที่ 89 ทรงครองสิริราชสมบัติได้ 70 ปี

 

The post 89 YEARS OF THE KING OF KINGS appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/89-years-of-the-king-of-kings/feed/ 0
THE MAJESTIC FAREWELL https://thestandard.co/the-majestic-farewell/ https://thestandard.co/the-majestic-farewell/#respond Tue, 24 Oct 2017 11:15:49 +0000 https://thestandard.co/?p=37013

     ในช่วงเวลาสำคัญที่ผองพสกนิกรชาวไทยน […]

The post THE MAJESTIC FAREWELL appeared first on THE STANDARD.

]]>

     ในช่วงเวลาสำคัญที่ผองพสกนิกรชาวไทยน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณตราบนิรันดร์ ทีมงาน THE STANDARD รวบรวมประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เพื่อเป็นข้อมูลให้ผู้ที่จะเดินทางไปร่วมถวายความอาลัยตามจุดต่างๆ รวมทั้งผู้ที่จะรับชมการถ่ายทอดทางสื่อต่างๆ ได้เตรียมพร้อมก่อนถึงวันจริง

     พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นพระราชพิธีที่รัฐบาลไทยจัดขึ้น  โดยกำหนดระหว่างวันที่ 25–29 ตุลาคม พ.ศ. 2560 เพื่อถวายความอาลัยเป็นครั้งสุดท้ายแด่พระมหากษัตริย์ลำดับที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรี ผู้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ณ พระเมรุมาศ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง โดยวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2560 เป็นวันถวายพระเพลิง

 

ราชรถ ราชยาน

เครดิตภาพ : งานพระศพสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก พ.ศ. 2472

ภาพ สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ภ.003 หวญ 33/7/37

 

     ราชยาน หมายถึง พาหนะสำหรับพระเจ้าแผ่นดินและพระบรมวงศ์

     คำว่า ‘ยาน’ ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน หมายถึง เครื่องนำไปหรือพาหนะต่างๆ เช่น รถ เกวียน เรือ เป็นต้น เมื่อสมาส     กับคำว่า ‘ราช’ ซึ่งหมายถึงพระเจ้าแผ่นดิน จึงหมายถึง พาหนะสำหรับพระมหากษัตริย์นั่นเอง

     ราชรถ คือ พาหนะของพระมหากษัตริย์ นักวิชาการส่วนใหญ่กล่าวว่า พัฒนารูปแบบมาจากเกวียน 2 ล้อ ขนาดเล็ก นั่งได้เพียงคนเดียว เทียมด้วยม้าหรือสัตว์อื่นๆ เช่น วัว ควาย ลา ล่อ หรือแม้แต่คน

 

1.

     พาหนะสำหรับโดยสารไปยังที่ต่างๆ ในสมัยโบราณมีหลายรูปแบบ แล้วแต่ฐานะของผู้ใช้ มีทั้งแบบใช้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน หรือพาหนะที่แสดงถึงตำแหน่งทางราชการของผู้เป็นเจ้าของ

 

2.

     ราชรถที่เทียมด้วยม้ามักเป็นรถศึก ส่วนรถที่พระมหากษัตริย์ทรงใช้เมื่อเสด็จฯ นอกพระราชวัง ถ้าหากเป็นราชรถที่ลากด้วยคนจะมีขนาดใหญ่ และใช้ในการพระราชพิธีสำคัญ เช่น พระราชพิธีพระบรมศพ

 

 

3.

     ยาน เป็นเครื่องประกอบยศของบุคคลชั้นสูงในสังคมสมัยโบราณ เป็นเครื่องแสดงถึงฐานะและอำนาจที่ต่างจากสามัญชนทั่วไป

 

4.

     หลักฐานการใช้ราชรถในราชสำนักปรากฏชัดเจนในสมัยกรุงศรีอยุธยา เช่น การใช้ราชรถในการอัญเชิญผ้าพระกฐิน การอัญเชิญพระราชสาส์นจากพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมื่อ พ.ศ​. 2230

 

5.

     ในสมัยกรุงธนบุรีไม่ปรากฏว่ามีการสร้างราชรถเพื่อใช้ในการพระเมรุ เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า-จุฬาโลกมหาราช ทรงสถาปนากรุงเทพฯ เป็นราชธานี เมื่อ พ.ศ. ​2325 จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างราชรถขึ้นมา 7 องค์ เพื่อถวายพระเพลิงพระอัฐิสมเด็จ-พระปฐมบรมมหาชนก (ทองดี) เมื่อ พ.ศ.​ 2339 ราชรถ ราชยาน จึงกลายเป็นหนึ่งในเครื่องประกอบในริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศ​ พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพสืบมา

 

6.

     เพื่อถวายพระเกียรติแก่พระบรมศพตามโบราณราชประเพณีซึ่งสืบทอดมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา จะต้องใช้พระมหาพิชัยราชรถสำหรับอัญเชิญพระบรมศพ

 

7.

     พระมหาพิชัยราชรถ อยู่ในริ้วขบวนที่ 2 เป็นราชรถทรงบุษบก ทำด้วยไม้แกะสลักลงรักปิดทอง ประดับกระจก สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1 ใช้เพื่ออัญเชิญพระโกศพระอัฐิสมเด็จพระ-ปฐมบรมมหาชนกออกพระเมรุ เมื่อ พ.ศ.​2339 ต่อมาใช้อัญเชิญพระบรมโกศพระมหากษัตริย์และพระโกศพระบรมวงศ์จนถึงปัจจุบัน

 

8.

     พระมหาพิชัยราชรถเป็นราชรถที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในริ้วขบวนพระบรม-ราชอิสริยยศ ด้วยความสูง 11.20 เมตร กว้าง 4.84 เมตร ยาว 18 เมตร และหนักถึง 13.7 ตัน ต้องใช้พลฉุดชักทั้งหมด 216 นาย แบ่งออกเป็นส่วนด้านหน้า 172 นาย ด้านหลัง 44 นาย และพลควบคุม 5 นาย

 

 

9.

     พระยานมาศสามลำคาน อยู่ในริ้วขบวนที่ 1 มีคานหามขนาดใหญ่ทำด้วยไม้จำหลักลวดลายลงรักปิดทอง มีพนักอยู่โดยรอบ 3 ด้าน มีคานหาม 3 คาน มีความยาวพร้อมคานหาม 7.73 เมตร สูง 1.78 เมตร น้ำหนัก 700 กิโลกรัม สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 2 เพื่อใช้อัญเชิญพระบรมโกศ รัชกาลที่ 1 เป็นครั้งแรก

 

10.

     พระยานมาศสามลำคานเป็นพระ-ราชยานสำหรับอัญเชิญพระบรมโกศจากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทในพระบรมมหาราชวัง ไปประดิษฐานบนพระมหาพิชัยราชรถที่จอดเทียบรออยู่ใกล้กับพลับพลายกบริเวณทิศตะวันออกของวัดพระเชตุพน-วิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร

 

 

11.

     ราชรถปืนใหญ่ อยู่ในริ้วขบวนที่ 3 มีความยาว 7 เมตร สูง 1.85 เมตร เป็นราชรถที่เชิญพระโกศพระบรมศพพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศ์ที่ทรงรับราชการทหารเมื่อครั้งดำรงพระชนม์ชีพแทนพระยานมาศ-สามลำคานตามธรรมเนียมเดิมจากพระบรมมหาราชวังสู่พระเมรุมาศและแห่อุตราวัฏ (เวียนซ้าย) รอบพระเมรุมาศ 3 รอบ ใช้จำนวนพล 40 นาย แบ่งเป็นพลฉุดชัก 30 นายพลบังคับเลี้ยว 2 นาย พลประคองกลาง 6 นาย พลประคองท้าย 2 นาย

 

12.

     พระที่นั่งราเชนทรยาน ที่สร้างขึ้นสมัยรัชกาลที่ 1 มีลักษณะเป็นทรงบุษบกย่อมุมไม้สิบสอง หลังคาซ้อน 5 ชั้น สร้างด้วยไม้แกะสลักลงรักปิดทองประดับกระจก มีคานหาม 4 คาน ใช้คนหาม 56 คน พระราชพิธีครั้งนี้พระที่นั่งราเชนทรยานเป็นพระราชยานประดิษฐานพระโกศพระบรมอัฐิ อยู่ในริ้วขบวนที่ 4 และ 5

 

13.

     พระที่นั่งราเชนทรยานน้อย อยู่ในริ้วขบวนที่ 4 สร้างขึ้นใหม่ในปีนี้โดยใช้รูปแบบและลวดลายเดียวกับพระที่นั่งราเชนทรยาน แต่มีขนาดเล็กกว่า และใช้สำหรับอัญเชิญพระบรมราช-สรีรางคาร

พระเมรุมาศ

เครดิตภาพ : พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

ภาพ สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ภ.003 หวญ. 11/20/1

 

     พระเมรุมาศ​ คือสถาปัตยกรรมชั่วคราว สร้างขึ้นเพื่อใช้ในการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระมหากษัตริย์และเจ้านายชั้นสูง สำหรับการตายที่ใช้ราชาศัพท์ว่า ‘สวรรคต’

 

1.

     ภายในพระเมรุมาศมีพระเมรุทอง ลักษณะของพระเมรุมาศที่ปรากฏการสร้างมี 2 รูปแบบคือ พระเมรุมาศทรงปราสาท ที่สร้างมาแต่โบราณ มีขนาดใหญ่โตมโหฬาร พระเมรุมาศทรงบุษบก ที่เริ่มใช้ในพระราชพิธีพระบรมศพรัชกาลที่ 5 ที่มีพระราชดำริว่า การพระราชพิธีพระบรมศพอย่างโบราณสิ้นเปลืองแรง พระราชทรัพย์ จึงใช้พระเมรุมาศทรงบุษบกมาตลอด และยังถือเป็นแบบพระเมรุมาศเฉพาะพระมหากษัตริย์เท่านั้น

     พระเมรุมาศรัชกาลที่ 9 เป็นพระเมรุมาศทรงบุษบก 9 ยอด ตามโบราณราชประเพณี โดยนายก่อเกียรติ ทองผุด นายช่างศิลปกรรมชำนาญงาน สำนักสถาปัตยกรรม กรมศิลปากร เป็นผู้ออกแบบพระเมรุมาศทรงบุษบกยกสูง 50.49 เมตร (ต่อมาได้ขยายเป็น 53 เมตร) มีชั้นเชิงกลอน 7 ชั้น ผังพื้นที่ใช้งานเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาดกว้างด้านละ 60 เมตร  

 

     นายก่อเกียรติ ทองผุด กล่าวว่า ได้สเกตช์ภาพพระเมรุมาศยอดบุษบกไว้ 3 รูปแบบ คือ หนึ่ง พระเมรุมาศทรงบุษบกยอดเดียว คล้ายกับของรัชกาลที่ 6 และรัชกาลที่ 8  สอง พระเมรุมาศทรงบุษบก 5 ยอด คล้ายกับพระเมรุมาศของรัชกาลที่ 5 สาม พระเมรุมาศทรงบุษบก 9 ยอด ซึ่งไม่เคยมีในประวัติศาสตร์มาก่อน และตัวเขาเองชอบทรงบุษบก 9 ยอดมากที่สุด เพราะสื่อถึงรัชกาลที่ 9

 

3.

     สีของพระเมรุมาศจะมีทั้งสิ้น 5 สี คือ สีทอง คือ สีประจำวันพระราชสมภพ

     สีขาว คือ ธรรมแห่งการปกครอง สีน้ำเงิน คือ พระมหากษัตริย์ สีชมพู คือ การเสริมความมงคล และสีเขียว คือ ทรงนำความอุดมสมบูรณ์มาสู่แผ่นดินไทย

 

 

4.

     พระเมรุมาศตั้งอยู่บนฐานชาลารูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส 3 ชั้น มีบันไดทางขึ้น

     ทั้ง 4 ทิศ ทิศตะวันตกหันหน้าเข้าพระที่นั่งทรงธรรม ทิศตะวันออกติดตั้งลิฟต์ และทิศเหนือติดตั้งสะพานเกรินสำหรับเชิญพระบรมโกศจากราชรถปืนใหญ่ขึ้นบนพระเมรุมาศ

 

5.

     โครงสร้างพระเมรุมาศ ประกอบด้วยส่วนต่างๆ ดังนี้

     ลานอุตราวัฏ หรือพื้นรอบฐานพระเมรุมาศ มีสระอโนดาตทั้ง 4 ทิศ และเขามอจำลอง ภายในสระประดับด้วยประติมากรรมสัตว์หิมพานต์ ได้แก่ ช้าง โค สิงห์  ม้า และสัตว์หิมพานต์ตระกูลต่างๆ

     ฐานชาลาชั้นที่ 1 เป็นชั้นล่างสุด มีฐานสิงห์เป็นรั้วราชวัตร ฉัตรแสดงอาณาเขตพระเมรุมาศ และมีเทวดานั่งคุกเข่าถือบังแทรก ส่วนมุมทั้งสี่ของฐานมีประติมากรรมท้าวจตุโลกบาลประทับยืนหันหน้าเข้าสู่บุษบกองค์ประธาน

     ฐานชาลาชั้นที่ 2 มีหอเปลื้องทรงบุษบกรูปแบบเดียวกันตั้งอยู่ที่มุมทั้งสี่ ใช้สำหรับจัดเก็บพระโกศทองใหญ่และพระโกศไม้จันทน์ รวมถึงอุปกรณ์สำหรับงานพระราชพิธี

     ฐานชาลาชั้นที่ 3 ฐานบุษบกประธานประดับประติมากรรมเทพชุมนุมจำนวน 132 องค์โดยรอบ รองรับด้วยฐานสิงห์ ซึ่งประดับประติมากรรมครุฑยุดนาคโดยรอบอีกชั้นหนึ่ง มุมทั้งสี่ของฐานชั้นที่ 3 นี้ เป็นที่ตั้งของทรงบุษบกยอดมณฑป

     ชั้นเชิงกลอน 5 ชั้น ใช้สำหรับพระพิธีธรรม 4 สำรับ นั่งสวดอภิธรรมสลับกันไปตลอดนับตั้งแต่พระบรมศพประดิษฐานบนพระจิตกาธาน กระทั่ง ถวายพระเพลิงพระบรมศพเสร็จ

     จุดกึ่งกลางชั้นบนสุด มีบุษบกองค์ประธานตั้งอยู่ เป็นอาคารทรงบุษบกยอดมณฑปชั้นเชิงกลอน 7 ชั้น โดยภายในมีพระจิตกาธานเป็นที่ประดิษฐานพระบรมโกศ ผนังโดยรอบเปิดโล่ง ติดตั้งพระวิสูตร (ม่าน) และฉากบังเพลิง เขียนภาพพระนารายณ์อวตารตอนบน และภาพโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริตอนล่าง และที่ยอดบนสุดประดิษฐานนพปฎลมหาเศวตฉัตร (ฉัตรขาว 9 ชั้น)

 

 

6.

     พระจิตกาธาน คือเชิงตะกอน หรือฐานที่ทำขึ้นสำหรับเผาศพ เป็นคำที่ใช้สำหรับพระเจ้าแผ่นดินและพระบรม-วงศานุวงศ์ ประกอบด้วย แท่นฐานสำหรับเผาทรงสี่เหลี่ยม ภายในใส่ดิน

     เสมอปากฐานสำหรับวางฟืน ไม้จันทน์ พระจิตกาธานมักประดับตกแต่งด้วยกระดาษสีและเครื่องสด เช่น ดอกไม้ ใบไม้ ใบตอง หยวกกล้วย และผลไม้บางชนิด เป็นต้น สำหรับเป็นเครื่องกันไฟ

 

7.

     ดร. พรธรรม ธรรมวิมล ภูมิสถาปนิก สำนักสถาปัตยกรรม กรมศิลปากร ผู้ดูแลการวางผังของพระเมรุมาศ รัชกาลที่ 9 ได้กล่าวถึงแนวคิดเรื่องการวางผังพระเมรุมาศว่า มีความเชื่อมโยงกับศาสนสถานโบราณสำคัญที่อยู่บริเวณรอบมณฑลพิธีท้องสนามหลวง โดยกำหนดที่ประดิษฐานของบุษบกองค์ประธาน ที่ตั้งของพระจิตกาธานสำหรับถวายพระเพลิงพระบรมศพ จากจุดตัดของเส้นทิศเหนือ-ใต้ ซึ่งลากจากยอดพระศรีรัตนเจดีย์ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม กับเส้นทิศตะวันออก-ตะวันตก ที่ลากจากเขตพุทธาวาส วัดมหาธาตุยุวราช-รังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร หากมองพระเมรุมาศจากกึ่งกลางทางเข้าด้านทิศเหนือ (หันหน้าเข้าพระบรมราชวัง) จะมองเห็นยอดพระศรีรัตนเจดีย์ของวัดพระแก้วซ้อนอยู่ในบุษบกองค์ประธาน เป็นความงามทางภูมิสถาปัตย์ที่น่าประทับใจยิ่ง นับเป็นความตั้งใจของกรมศิลปากร หน่วยงานรับผิดชอบการจัดสร้างเพื่อให้พระเมรุมาศมีความงดงาม ยิ่งใหญ่ สมพระเกียรติของรัชกาลที่ 9

 

     กรมศิลปากรเป็นหน่วยงานรับผิดชอบการจัดสร้างพระเมรุมาศ เริ่มดำเนินงานเตรียมการตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2559 ด้วยความตั้งใจให้พระเมรุมาศงดงาม ยิ่งใหญ่ สมพระเกียรติรัชกาลที่ 9   มากที่สุด

ขบวนพระบรมราชอิสริยยศ

เครดิตภาพ : พระมหาพิชัยราชรถอัญเชิญพระบรมโกศพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล

29 มีนาคม พ.ศ. 2493 ภาพ สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ภ.003 หวญ. 30/6/55

 

     ‘ริ้วขบวน’ ตามโบราณราชประเพณี หมายถึง ขบวนพระราชอิสริยยศในการอัญเชิญพระบรมศพจากพระมหาปราสาทไปสู่พระเมรุมาศ หรืออัญเชิญพระบรมอัฐิจากพระเมรุมาศมาสู่พระบรมมหาราชวัง หรือพระบรมราชสรีรางคารไปบรรจุหรือลอยพระอังคาร เป็นการถวายพระเกียรติยศสูงสุดตามคติความเชื่อของไทย ที่ยกย่องพระมหากษัตริย์เป็นสมมติเทพ หมายถึงเป็นเทวดาจุติมายังโลกมนุษย์ เมื่อสวรรคตจึงหมายถึงการเสด็จกลับสู่สรวงสวรรค์

 

ริ้วขบวนในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพรัชกาลที่ 9 มีด้วยกัน
ทั้งหมด 6 ริ้วขบวน ประกอบด้วยการอัญเชิญพระบรมศพ, พระบรมอัฐิ, พระบรมราชสรีรางคาร

 

2.

     ในริ้วขบวนจะมีเครื่องประกอบพระอิสริยยศมากมาย มีฉัตรซึ่งเป็นเครื่องสูง หนึ่งในองค์ประกอบสำคัญ เช่น พระมหาเศวตฉัตร 9 ชั้น นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีเครื่องสูงประกอบพระราชอิสริยยศอื่นๆ อีกด้วย เช่น บังพระสูริย์ บังแทรก จามร เชิญไปในขบวนเพื่อกันแสงแดด รวมถึงพุ่มดอกไม้เงิน พุ่มดอกไม้ทอง เป็นริ้วแถวสองข้างขบวน สมมติเป็นพุ่มดอกไม้จากสวรรค์

 

3.

     ความหมายของฉัตรเป็นคติความเชื่อที่สืบทอดมาแต่โบราณ ทั้งจากจีนและอินเดีย โดยเชื่อว่าพัฒนามา
จากร่ม ซึ่งบุคคลระดับหัวหน้าจะมีคนกางให้ ร่มจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของผู้มีอำนาจมาแต่โบราณ

4.

     อินเดียโบราณมีความเชื่อเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่มีชัยทั้ง 8 หรือ 10 ทิศ ทั้งสวรรค์และบาดาล ความยิ่งใหญ่ดังกล่าวจึงถูกสะท้อนผ่านจำนวนร่มศัตรูที่ยึดได้ในสงคราม โดยคติความเชื่อนี้แผ่ขยายมาสู่ไทย จึงนำร่มของเมืองขึ้นทั้ง 8 ทิศ มาซ้อนเป็นชั้น และเพิ่มทิศของตนเองอีก 1 ทิศ รวมเป็น 9 ทิศ เป็นเศวตฉัตร 9 ชั้น สำหรับพระมหากษัตริย์ จัดว่าเป็นเครื่องสูงที่มีความสำคัญสูงที่สุด เรียกว่า ‘พระนพปฎลมหาเศวตฉัตร’

 

5.

     พระนพปฎลมหาเศวตฉัตร มีชื่อย่อว่าพระมหาเศวตฉัตร เป็นฉัตรผ้าขาว 9 ชั้น ใช้แขวนหรือปักในสถานที่และโอกาสต่างๆ เช่น ใช้ปักเหนือราชบัลลังก์ในท้องพระโรง, ใช้แขวนเหนือพระบรมโกศทรงพระบรมศพ, ใช้ปักบนพระยานมาศสามลำคานในการเชิญพระบรมศพ เป็นต้น

 

6.

     พระเสลี่ยงกลีบบัว เป็นพระราชยานสำหรับสมเด็จพระสังฆราชหรือพระราชาคณะนั่งอ่านพระอภิธรรม นำพระโกศพระบรมศพ

 

7.

     ริ้วขบวนที่ 1 วันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2560 เชิญพระโกศทองใหญ่โดยพระยานมาศสามลำคาน มาจากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ผ่านทางประตูเทวาภิรมย์ แล้วใช้เส้นทางถนนมหาราช เลี้ยวเข้าถนนท้ายวัง มุ่งหน้าถนนสนามไชย จากนั้นเชิญพระโกศทองใหญ่ขึ้นประดิษฐานในบุษบกพระมหาพิชัยราชรถ บริเวณวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราช-วรมหาวิหาร รวมระยะทาง 817 เมตร ใช้เวลาราว 30 นาที

 

8.

     เกรินบันไดนาค คืออุปกรณ์ที่ใช้เชิญพระโกศพระบรมศพขึ้นหรือลงจากราชรถและพระเมรุมาศ แทนการใช้นั่งร้านไม้ต่อยกสูงแบบสมัยโบราณ ที่ใช้กำลังคนยกขึ้นลง โดยทำเป็นรางเลื่อนขึ้นลงด้วยกว้านหมุนลักษณะ
เหมือนลิฟต์ในปัจจุบัน ราวสองข้าง
ตกแต่งเป็นรูปพญานาคเป็นที่มาของชื่อเรียกเกรินบันไดนาค

 

 

9.

     ริ้วขบวนที่ 2 วันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2560 เชิญพระโกศทองใหญ่ขึ้นประดิษฐานในบุษบกพระมหาพิชัย-ราชรถโดยเกรินบันไดนาค จากหน้าวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราช-วรมหาวิหาร ยาตราขบวนจากถนนสนามไชยเข้าสู่ถนนราชดำเนินใน จากนั้นขบวนพระบรมราชอิสริยยศแห่เชิญพระโกศทองใหญ่เข้าสู่ท้องสนามหลวง รวมระยะทาง 890 เมตร ใช้เวลาราว 2 ชั่วโมง

 

10.

     ริ้วขบวนที่ 4 วันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2560 เชิญพระโกศพระบรมอัฐิขึ้นประดิษฐานบุษบกพระที่นั่งราเชนทร-ยาน เชิญพระบรมราชสรีรางคารขึ้นประดิษฐานในพระที่นั่งราเชนทร-
ยานน้อย จากนั้นเคลื่อนขบวน พระที่นั่งราเชนทรยานน้อยมุ่งหน้าสู่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เชิญพระผอบพระบรมราชสรีรางคารพักไว้ที่
พระศรีรัตนเจดีย์ ส่วนขบวนพระโกศพระบรมอัฐิโดยพระที่นั่งราเชนทรยาน เคลื่อนเข้าสู่ประตูพิมานไชยศรี เชิญพระโกศพระบรมอัฐิเข้าสู่บริเวณพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทประดิษฐานที่บุษบกแว่นฟ้าทอง รวมระยะทาง 1,074 เมตร ใช้เวลาราว 30 นาที

 

11.

     ริ้วขบวนที่ 5 วันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2560 เชิญพระโกศพระบรมอัฐิโดยพระที่นั่งราเชนทรยาน จากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ขึ้นประดิษฐาน ณ พระวิมาน บนพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท รวมระยะทาง 63 เมตร ใช้เวลาราว 10 นาที

 

12.

     ริ้วขบวนที่ 6 วันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2560 ขบวนกองทหารม้าเชิญพระบรม-

     ราชสรีรางคารจากพระศรีรัตนเจดีย์ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยรถยนต์
พระที่นั่งออกจากพระบรมมหาราชวัง ทางด้านประตูวิเศษไชยศรีไปยังวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร จากนั้นขบวนกองทหารม้าเชิญ
พระบรมราชสรีรางคารจากวัดราช-
บพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร โดยรถยนต์พระที่นั่ง ไปบรรจุ ณ วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร

มหรสพสมโภช

เครดิตภาพ : มหรสพงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา

กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ภาพ วารสารโดยสำนักงาน กปร. ฉบับที่ 3/2551

 

     การถวายพระเพลิงพระบรมศพแต่ครั้งโบราณจัดเป็นงานใหญ่ มีมหรสพสมโภชงานออกพระเมรุพระบรมอัฐิเป็นแบบแผนสืบทอดกันมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีถือว่าเป็นงานออกทุกข์ ทั้งยังถือเสมือนเป็นการแสดงพระกฤดาธิการของพระมหากษัตริย์

 

1.

     ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์มีการจัดมหรสพสมโภชงานออกพระเมรุ
ตามแบบแผนประเพณีเป็นครั้งแรกในรัชกาลที่1 ในงานออกพระเมรุพระบรมอัฐิ สมเด็จพระปฐมบรม-มหาชนก พ.ศ. 2339

 

2.

     งานแสดงมหรสพสมโภชในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพถือเป็นสัญลักษณ์ของงานออกทุกข์ หรือการออกพระเมรุ โดยในอดีตประกอบไปด้วยการแสดงนาฏศิลป์ชั้นสูงในราชสำนัก และการแสดงมหรสพจากต่างชาติอย่างเช่น งิ้วและรำญวน เข้ามาผสมผสาน

 

3.

     ละครหุ่นหลวงจะแสดงในเรื่องรามเกียรติ์ ตอน หนุมานเข้าห้องนางวานรินทร์ เมื่อ พ.ศ. 2559 กรมศิลปากร

     มีโครงการรื้อฟื้นจัดทำหุ่นหลวง 3 ตัว คือ ตัวหนุมาน ตัวมานพ และตัวนาง จึงได้เลือกมาจัดเป็นชุดการแสดงในพระราชพิธีครั้งนี้ และถือเป็นโอกาสรื้อฟื้นหุ่นหลวงอีกครั้ง ความพิเศษของหุ่นหลวงคือ เครื่องแต่งกาย และความสามารถของผู้เชิดที่ใช้สายใยในการชักจำนวนมาก

 

 

4.

     การแสดงหุ่นกระบอก จะแสดงเรื่องพระอภัยมณี ตอน สุดสาครจับม้านิลมังกร โดยจัดอยู่ในเวทีที่ 2 ทางด้านทิศเหนือ ท้องสนามหลวง ซึ่งหุ่นหลวงใช้เวลา 20 นาที หุ่นกระบอก ใช้เวลา 40 นาที

 

5.

     การแสดงอื่นๆ ในเวทีที่ 2 อีก คือการแสดงละครเรื่อง พระมหาชนก รำกิ่งไม้เงินทอง ละครใน เรื่อง อิเหนา ตอน บุษบาชมศาล-อิเหนาตัดดอกไม้-ฉายกริช ท้าวดาหาบวงสรวง และละครเรื่อง มโนห์รา

 

6.

     การแสดงหุ่นหลวง เป็นมหรสพหลวง ที่มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ก่อนจะสูญไปเมื่อสมัยรัชกาลที่ 5 เนื่องจากติดขัดเรื่ององค์ประกอบต่างๆ ของตัวหุ่น จำเป็นต้องใช้ผู้มีความสามารถสูงในการเชิด จึงมีหุ่นเล็กและหุ่นกระบอกขึ้นมาแทน

 

7.

     สมัยรัตนโกสินทร์ การแสดงมหรสพสมโภชถูกยกเลิกไปในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ รัชกาลที่ 5 ด้วยพระองค์ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งให้ลดทอนความใหญ่โตในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระองค์ออก ซึ่งนั่นหมายรวมถึงการลดทอนงานมหรสพออกไปด้วย

 

8.

     พ.ศ. 2539 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการรื้อฟื้นการประโคมดนตรีและการมหรสพอีกครั้งในการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติสืบมา

 

9.

     สำหรับงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพรัชกาลที่ 9 ได้จัดให้มีการแสดงมหรสพสมโภชทั้งหมด 3 เวที ตั้งอยู่บริเวณทิศเหนือของสนามหลวง

 

10.

     การแสดงมหรสพสมโภชทั้งหมดใช้นักแสดงกว่า 3,000 คน เริ่มแสดงทุกเวทีพร้อมกันตั้งแต่เวลา 18.00 น. ในวันที่ 26 ตุลาคม จนถึงเวลา 06.00 น. ของเช้าวันที่ 27 ตุลาคม (การแสดงของทุกเวทีจะหยุดการแสดงเมื่อมีพระราชพิธีในพระเมรุมาศ)

 

11.

     นอกจากเวทีด้านทิศเหนือแล้ว ยังมีการแสดงหน้าพระที่นั่งทรงธรรม หรือพระเมรุมาศ หรือที่เรียกกันว่า โขนหน้าไฟ เรื่อง รามเกียรติ์ ชุดพระรามข้ามสมุทร-ยกรบ และการแสดงชุดรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ ที่จะจัดแสดงไปพร้อมกัน

 

 

12.

     ผู้แสดงโขนเรื่อง รามเกียรติ์ ชุดพระรามข้ามสมุทร-ยกรบ รำลึกเป็นนาฏศิลปินจากสำนักการสังคีต นักเรียน นักศึกษาวิทยาลัยนาฏศิลปทั่วประเทศ 12 แห่ง และสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ รวมกว่า 89 คน ผู้พากย์ ผู้บรรเลง ขับร้อง และส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกว่า 360 คน พร้อมประพันธ์บทขึ้นใหม่ เพื่อเทิดพระเกียรติ และรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้

 

13.

     สำหรับการแสดงทั้ง 3 เวที ที่เปิดให้ประชาชนเข้าชม ประกอบด้วย

เวทีที่ 1 หนังใหญ่ โขน

เวทีที่ 2 พระมหาชนก หุ่นหลวง

หุ่นกระบอก รำกิ่งไม้เงินทอง ละครใน เรื่อง อิเหนา ละคร เรื่อง มโนห์รา เวทีที่ 3 ดนตรีสากล บัลเลต์ เรื่อง

มโนห์รา

 

*หาข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องการแสดงทั้ง 3 เวทีได้ทาง www.thestandard.co

 

  • กำหนดการพระราชพิธี •

พุธที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2560

  • 17.30 น. พระราชพิธีพระราชกุศลออกพระเมรุมาศ ณ พระที่นั่งดุสิต-มหาปราสาท

 

พฤหัสบดีที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2560

  • 07.00 น. พระราชพิธีเชิญพระบรมศพรัชกาลที่ 9  ออกพระเมรุมาศ ณ ท้องสนามหลวง โดยริ้วขบวนที่ 1 ริ้วขบวนที่ 2 และริ้วขบวนที่ 3
  • 17.30 น. พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพรัชกาลที่ 9
  • 22.00 น. พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพรัชกาลที่ 9 จริง

ศุกร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2560

  • 08.00 น. พระราชพิธีเก็บพระบรมอัฐิ และเชิญพระบรมอัฐิสู่พระบรม-มหาราชวัง โดยริ้วขบวนที่ 4

 

เสาร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2560

  • 17.30 น. พระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลพระบรมอัฐิ ณ พระที่นั่ง-ดุสิตมหาปราสาท

 

อาทิตย์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2560

  • 10.30 น. พระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลและเชิญพระบรมอัฐิขึ้นประดิษฐาน ณ พระวิมานบนพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท โดยริ้วขบวนที่ 5
  • 17.30 น. พระราชพิธีเชิญพระบรม-ราชสรีรางคารไปบรรจุ ณ วัดราชบพิธฯ และวัดบวรนิเวศฯ โดยริ้วขบวนที่ 6

 

The post THE MAJESTIC FAREWELL appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/the-majestic-farewell/feed/ 0
THROUGH THE LENS OF THE GREAT KING https://thestandard.co/through-the-lens-of-the-great-king/ https://thestandard.co/through-the-lens-of-the-great-king/#respond Tue, 17 Oct 2017 15:00:45 +0000 https://thestandard.co/?p=35508

     “ที่ของข้าพเจ้าในโลกนี้ คือการที่ได […]

The post THROUGH THE LENS OF THE GREAT KING appeared first on THE STANDARD.

]]>

     “ที่ของข้าพเจ้าในโลกนี้ คือการที่ได้อยู่ท่ามกลางประชาชนของข้าพเจ้า นั่นคือคนไทยทั้งปวง”

     ข้อความบางส่วนจากพระราชหัตถเลขาของรัชกาลที่ 9 ที่ทรงมีไปถึงพระสหายในต่างประเทศ ภายหลังที่เสด็จขึ้นครองสิริราชสมบัติ เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยอย่างหาที่สุดมิได้

     ใครจะทราบว่า เสียงหนึ่งที่ตะโกนแทรกเข้าพระกรรณว่า “ในหลวงอย่าทิ้งประชาชน” ระหว่างที่รถพระที่นั่งแล่นผ่านฝูงชนที่มาส่งเสด็จจากสยามประเทศเพื่อไปศึกษาต่อ ณ สวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2489 จะกลายเป็นที่มาของความผูกพันที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีต่อประเทศไทยและประชาชนไทยอย่างแน่นแฟ้น

     จากเหตุการณ์ในคราวนั้น พระองค์ไม่เพียงแต่ทรงนึกตอบในพระทัยว่า “ถ้าประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะทิ้งประชาชนได้อย่างไร” ตลอดรัชสมัยขององค์พระภูมินทร์ รัชกาลที่ 9 ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่อชาติและประชาชน กลายเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ราษฎรได้อยู่เย็นเป็นสุขใต้ร่มพระบารมี

 

 

     THE STANDARD ขอน้อมรำลึกถึงพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ด้วยการเก็บภาพส่วนหนึ่งใน นิทรรศการภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ ช่วงที่พระองค์เสด็จเยี่ยมราษฎรและทรงงานในโครงการต่างๆ เป็นภาพของประเทศไทยและประชาชนในสายพระเนตรของพระองค์ อันเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดว่า พระองค์ทรงห่วงใยพสกนิกรอย่างแท้จริง จนเรารับรู้ร่วมกันว่า “ที่ของพระองค์ อยู่ตรงกลางใจไทยทั้งมวล”

 

“ถ้ามีน้ำ คนอยู่ได้”

     โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีทั้งหมดกว่า 4,000 โครงการฯ ซึ่งหากนำมาระบุลงในแผนที่ประเทศไทย จะเห็นได้ว่าพระองค์ทรงงานครอบคลุมทุกพื้นที่ ตั้งแต่ยอดดอยจรดชายฝั่ง และกว่า 3,000 โครงการฯ ล้วนเกี่ยวพันกับการพัฒนาน้ำทั้งสิ้น เช่น ฝนหลวง กังหันน้ำชัยพัฒนา โครงการแก้มลิง เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ฯลฯ สะท้อนชัดถึงความห่วงใยในพระราชหฤทัยเกี่ยวกับปัญหาเรื่องน้ำที่เกิดขึ้นในประเทศไทย และเป็นไปในมิติที่แตกต่างกัน ทั้งน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค, น้ำเพื่อการเพาะปลูก, พลังงานน้ำ, การบริหารจัดการน้ำบรรเทาอุทกภัย, รักษ์น้ำในแหล่งป่าต้นน้ำ ดังจะเห็นได้จากพระราชดำรัสที่พระราชทานแก่คณะบุคคลที่เฝ้าฯ ณ​ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2529 ว่า

“…หลักสำคัญว่า ต้องมีน้ำ น้ำบริโภคและน้ำใช้ น้ำเพื่อการเพาะปลูก เพราะชีวิตอยู่ที่นั่น ถ้ามีน้ำ คนอยู่ได้ ถ้าไม่มีน้ำ คนอยู่ไม่ได้ ไม่มีไฟฟ้า คนอยู่ได้ แต่ถ้ามีไฟฟ้า ไม่มีน้ำ คนอยู่ไม่ได้…”

 

‘‘ปลูกต้นไม้ในใจคน”

“…ควรจะปลูกต้นไม้ในใจคนเสียก่อน แล้วคนเหล่านั้นก็จะพากันปลูกต้นไม้ลงบนแผ่นดิน และรักษาต้นไม้ด้วยตนเอง…”  

พระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่

31 ธันวาคม พ.ศ. 2502

 

     ตลอดระยะเวลา 70 ปีที่ทรงครองราชย์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จพระราชดำเนินไปทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย ทรงเห็นสภาพป่าไม้เสื่อมโทรม และทรงตั้งพระราชปณิธานจะหาแนวทางฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าไม้

     โครงการศึกษาและพัฒนาการปลูกชาน้ำมันของมูลนิธิชัยพัฒนา เป็นหนึ่งในโครงการตามแนวพระราชดำริเพื่อสร้างวิถีที่ยั่งยืนระหว่างคนกับป่า ขณะที่ศูนย์การศึกษาพัฒนาห้วยทราย ตำบลสามพระยา อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ได้รับการจัดตั้งให้เป็นศูนย์ศึกษาการพัฒนาด้านป่าไม้อเนกประสงค์ หลังจากพระองค์เสด็จพระราชดำเนินเมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2526 และทรงพบสภาพป่าเสื่อมโทรม ศูนย์แห่งนี้มีการดำเนินงานเพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศและปลูกป่า ทั้งไม้โตเร็ว ไม้ผล และไม้มีค่าทางเศรษฐกิจ เพื่อสร้างสมดุลทางธรรมชาติของป่าให้คืนสู่สภาพเดิม

 

“เดิมพันคือบ้านเมือง”

“…ความจริงมันน่าท้อถอยหรอก…บางเรื่องมันน่าท้อถอย…แต่ว่าฉันท้อไม่ได้ เพราะเดิมพันของเรานั้นสูงเหลือเกิน เดิมพันของเรานั้นคือบ้านคือเมือง…คือความสุขของคนไทยทั่วประเทศ”

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

มีพระราชกระแสตอบหลังจากหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ทูลถามพระองค์ว่า

ทรงเคยเหนื่อยหรือทรงท้อบ้างหรือไม่?

(ข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ​ ฉบับวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2557)

 

     พระปฐมบรมราชโองการในวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” ได้รับการพิสูจน์ให้ประจักษ์แก่ใจคนไทยทั่วประเทศ เพราะตลอดรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงห่วงใยพสกนิกรใต้ร่มพระบารมีอยู่มิรู้คลาย นอกจากจะเสด็จพระราชดำเนินไปยังพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ พระองค์ยังสนพระทัยศึกษาปัญหาของพื้นที่เพื่อนำกลับไปหาทางแก้ไข เพื่อให้ราษฎรสามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตได้อย่างยั่งยืน ไม่มีพระมหากษัตริย์พระองค์ใดในโลกอีกแล้วที่ทรงงานหนักเพื่อพสกนิกรของพระองค์ได้มากเพียงนี้

 

“ต้องขยัน เชื้อเพลิงจะเกิดขึ้นใหม่”

“ถ้าน้ำมันเชื้อเพลิงหมดแล้ว ก็ยังใช้เชื้อเพลิงอย่างอื่นได้ มี แต่ต้องขยัน ต้องหาวิธีที่จะทำให้เชื้อเพลิงเกิดขึ้นมาใหม่”

พระราชดำรัสพระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าฯ​ ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา

4 ธันวาคม พ.ศ. ​2548

 

     พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชพระราชทานพระราชดำริให้หน่วยงานต่างๆ คิดค้นพัฒนาเครื่องจักรกลใช้พลังงานทดแทน จนเป็นที่มาของโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริหลายโครงการ รวมทั้งโรงไฟฟ้าพลังน้ำศูนย์พัฒนาปางตอง อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน เพราะทรงเห็นว่าการผลิตไฟฟ้าด้วยเครื่องยนต์ดีเซลมีความลำบากในเรื่องการลำเลียงน้ำมันเชื้อเพลิง และภายในศูนย์พัฒนามีแหล่งน้ำที่สามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างอเนกประสงค์

 

“ไม่โลภอย่างมาก”

“คนเราถ้าพอใจในความต้องการ…ก็มีความโลภน้อย… เมื่อมีความโลภน้อยก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย ถ้าทุกประเทศมีความคิดว่าทำอะไรต้องพอเพียง หมายความว่าพอประมาณ ไม่สุดโต่ง ไม่โลภอย่างมาก …คนเราก็อยู่เป็นสุข…”

พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

พระราชทานแก่คณะบุคคลที่เข้าเฝ้าฯ ณ ศาลาดุสิดาลัย

4 ธันวาคม พ.ศ. 2541

 

     โครงการพัฒนาส่วนพระองค์ ตำบลบางแตน อำเภอบ้านสร้าง จังหวัดปราจีนบุรี เป็นโครงการที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงใช้ที่ดินและพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จัดทำโครงการพัฒนาในรูปแบบต่างๆ เพื่อเป็นตัวอย่างให้ประชาชนได้นำไปปฏิบัติตาม สนับสนุนเศรษฐกิจแบบพอเพียง ให้ประชาชนได้อยู่อย่างพอมีพอกิน ไม่เดือดร้อน ในขณะที่ระบบเศรษฐกิจของชาติกำลังอยู่ในภาวะถดถอย

 

“อยู่ดีมีสุข”

“…ความมั่นคงของประเทศชาตินั้นจะเกิดมีขึ้นได้ก็ด้วยประชาชนในชาติอยู่ดีมีสุข ไม่มีทุกข์ยากเข็ญ ดังนั้นการใดที่เป็นความทุกข์เดือดร้อนของประชาชน ทุกคนทุกฝ่ายจึงต้องถือเป็นหน้าที่ที่จะต้องร่วมมือกันปฏิบัติแก้ไขให้เต็มกำลัง…”

พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในการเสด็จออกมหาสมาคม

ในงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม พ.ศ. 2554 ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท

 

     หนึ่งในแนวคิดอันเนื่องมาจากพระราชดำริคือให้เน้นการพัฒนาเพื่อให้ประชาชนพึ่งตนเองได้ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงให้แนวทางสำคัญในการส่งเสริมชุมชนหรือการพัฒนาชนบทที่สำคัญๆ คือการที่ทรงมุ่งช่วยเหลือพัฒนาให้เกิดการพึ่งตนเองได้ของคนในชนบทเป็นหลัก โครงการตามแนวพระราชดำริที่ดำเนินการอยู่หลายพื้นที่ทั่วประเทศ ล้วนแล้วแต่มีเป้าหมายสุดท้ายอยู่ที่การพึ่งตนเองได้ของราษฎรทั้งสิ้น

 

“ระเบิดจากข้างใน”

“…ในการพัฒนาประเทศนั้น จำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น เริ่มด้วยการสร้างพื้นฐานคือความมีกินมีใช้ของประชาชนก่อนด้วยวิธีการที่ประหยัดระมัดระวัง แต่ถูกต้องตามหลักวิชา เมื่อพื้นฐานเกิดขึ้นมั่นคงพอควรแล้วจึงค่อยสร้างเสริมความเจริญขั้นที่สูงขึ้นตามลำดับต่อไป ก็เพื่อป้องกันความผิดพลาดล้มเหลวและเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จแน่นอนบริบูรณ์…”

พระบรมราโชวาทพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลเดช

ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

19 กรกฎาคม พ.ศ.​ 2517

 

     พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงมีความเชื่อมั่นในศักยภาพของ ‘คน’ ว่าสามารถพัฒนาต่อยอดได้ ทรงมีพระราชดำริว่าการพัฒนา ‘ต้องระเบิดจากข้างใน’ หมายถึงชาวบ้านต้องตื่นรู้และมีแรงกระตุ้นจากภายใน ซึ่งจะทำให้ชาวบ้านหรือชุมชนนั้นมีความเข้มแข็งและพร้อมสำหรับการพัฒนา มิใช่นำความเจริญจากสังคมภายนอกเข้าไปหาชุมชนที่หากยังไม่พร้อมต่อกระแสใหม่ๆ สิ่งที่ตามมาคือการพัฒนาที่ล่มสลาย หรือเป็นการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืน

     แต่การจะกระตุ้นให้เกิดการระเบิดจากข้างในได้ นักพัฒนาจะต้องเข้าใจภูมิสังคมอย่างถ่องแท้เสียก่อน ในช่วงกลางรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระองค์เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียนราษฎรในทุกถิ่นที่ ภาพที่เห็นบ่อยครั้งคือพระองค์ประทับร่วมกับชาวบ้านที่มารอเข้าเฝ้าฯ อย่างไม่ทรงถือพระองค์ และทรงซักถามประชาชนของพระองค์ถึงปัญหาและความทุกข์ยากที่พวกเขาต้องเผชิญ ในขณะเดียวกันก็ทรงกำลังเก็บข้อมูลอันเป็นจริงจากบุคคลในพื้นที่ เพื่อจะทรงวิเคราะห์แก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด นั่นคือทรงเริ่มจากการศึกษาภูมิสังคม

 

 

     ดร. สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ผู้ตามเสด็จฯ และถวายงานพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมาโดยตลอด ได้อธิบายถึงหลักการทรงงานของพระองค์ไว้ในการแสดงปาฐกถาในงานเฉลิมพระเกียรติ ‘พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับการพัฒนาคนไทยที่สมบูรณ์แบบ’ เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2553 ที่สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาจัดร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมีใจความตอนหนึ่งว่า ภูมิ นั้นหมายถึงภูมิศาสตร์ ทรัพยากรธรรมชาติ ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่อยู่รอบตัวเรา ซึ่งต่างกันไปในแต่ละท้องที่ ดินอีสานเป็นแบบหนึ่ง ดินทางเหนือเป็นอีกแบบหนึ่ง ปัญหาของคนแต่ละท้องที่ก็ย่อมไม่เหมือนกัน ส่วนอีกคำคือ สังคม หมายถึงคน ซึ่งมีความหลากหลายไม่น้อยไปกว่าดิน น้ำ ลม ไฟ เลย

     เพราะฉะนั้นจึงต้องเคารพคน รู้จักคน เข้าใจคน เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง

 

The post THROUGH THE LENS OF THE GREAT KING appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/through-the-lens-of-the-great-king/feed/ 0
THE MIGHTY MERKEL https://thestandard.co/the-mighty-merkel/ https://thestandard.co/the-mighty-merkel/#respond Tue, 10 Oct 2017 09:50:42 +0000 https://thestandard.co/?p=33793

     อังเกลา แมร์เคิล เคยกล่าวถึงตัวเองใ […]

The post THE MIGHTY MERKEL appeared first on THE STANDARD.

]]>

     อังเกลา แมร์เคิล เคยกล่าวถึงตัวเองในวัยเด็กว่าเป็น “A little movement idiot” เพราะในวัย 5 ขวบเด็กหญิงอังเกลาไม่เคยเดินโดยไม่หกล้มได้เลย

     จากวารวัยที่เติบโตในเยอรมนีตะวันออก อาศัยอยู่อย่างแออัดในโรงเรียนสอนศาสนาที่เต็มไปด้วยผู้พิการ เข้าสู่รุ่นสาวด้วยการถูกเพื่อนชายร่วมชั้นล้อเลียนเกี่ยวกับรูปโฉมที่ไม่โดดเด่น แต่นั่นไม่สำคัญ เพราะอังเกลาพัฒนามุมมองที่มีต่อชีวิต ลับสมองจนแหลมคม และใช้สติปัญญาเป็นอาวุธประมือกับคู่ต่อสู้ จนผงาดขึ้นเป็นสตรีที่ทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งของโลก และล่าสุดรักษาตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของเยอรมนีเป็นสมัยที่ 4 ไว้ได้

     ภายใต้ดวงตานิ่งล้ำลึกและท่าทีสุขุม หญิงเหล็กแห่งยุโรปผู้นี้เดินผ่านถนนชีวิตแบบใดมาบ้าง? เราจะไปดูกัน  

 

 

เพราะแตกต่างจึงเติบโต

     อังเกลาเป็นนักการเมืองที่โดดเด่นและแตกต่างจากผู้นำคนก่อนๆ ของเยอรมนี ไม่ใช่เพราะเธอเป็นผู้หญิงเท่านั้น แต่เพราะเธอเติบโตขึ้นในประเทศคอมมิวนิสต์เยอรมนีตะวันออก ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม ปี 1954 เด็กหญิงอังเกลา โดโรเธีย แคสเนอร์ ถือกำเนิดขึ้น พ่อของเธอ ฮอร์สท แคสเนอร์ เป็น บาทหลวงนิกายลูเทอร์แรน ส่วนแม่ เฮอร์ลินด์ แคสเนอร์ เป็นครูสอนภาษาอังกฤษและภาษาละติน แม้เธอจะเกิดที่เมืองฮัมบวร์ก เยอรมนีตะวันตก แต่ไม่กี่สัปดาห์หลังลืมตาดูโลก พ่อของเธอก็โยกย้ายทั้งครอบครัวไปเยอรมนีตะวันออก  และลงหลักปักฐานที่เมืองเทมปลิน  ห่างจากกรุงเบอร์ลินราว 50 ไมล์

     ครอบครัวแคสเนอร์อาศัยอยู่ในโรงเรียนสอนศาสนาวาลดอร์ฟของคริสตจักรลูเทอร์แรน ที่นั่นไม่เพียงแต่เป็นบ้านของครอบครัวเล็กๆ นี้เท่านั้น หากแต่ยังเป็นบ้านของผู้พิการอีกหลายร้อยคน อยู่รวมกันอย่างแออัดในบรรยากาศน่าหดหู่ ห้องเล็กๆ เพียงห้องเดียวต้องรองรับคนมากถึง 60 คน และมีเครื่องเรือนแค่เตียงผ้าใบเท่านั้น

     อังเกลาเคยกล่าวถึงวาลดอร์ฟว่า “การต้องเติบโตมาในสถานที่ที่แวดล้อมไปด้วยผู้พิการและผู้ป่วยเป็นประสบการณ์สำคัญในชีวิตของฉัน มันสอนให้ฉันเรียนรู้ที่จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเป็นปกติ”

     อย่างไรก็ตาม การเติบโตในประเทศคอมมิวนิสต์ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินกว่าที่อังเกลาจะจัดการ แม้ครอบครัวของเธอจะต้องรอรับเสื้อผ้า อาหาร และเงินจากญาติที่ฮัมบวร์ก แต่เธอยังคงมีทัศนคติที่ดีต่อชีวิต ดังที่เธอเคยกล่าวกับ แฮร์ลินด์ เคิลเบิล ช่างภาพชาวเยอรมันเมื่อปี 1991 ว่า “ฉันค่อนข้างจะมีจิตวิญญาณที่เจิดจ้า ฉันคาดหวังเสมอว่าเส้นทางชีวิตของฉันจะสดใส ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันไม่มีวันยอมให้ตัวฉันเองต้องรู้สึกขมขื่น ฉันมักฉกฉวยพื้นที่หรือโอกาสอันเป็นอิสระใดๆ ก็ตามที่เป็นไปได้ภายในดินแดนของสาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี ชีวิตวัยเด็กของฉันไม่มีเงามืดของความเศร้าหมองมาบดบัง และฉันไม่จำเป็นต้องอยู่แบบที่มีความขัดแย้งกับกฎเกณฑ์ของประเทศ”

 

 

มันสมองที่เปรื่องปราด

     อังเกลาเรียนหนังสือเก่งมาตั้งแต่เด็ก วิชาที่เธอโปรดปรานและทำได้ดีมาตลอดคือ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และภาษา

     เอริกา เบนน์ ครูสอนภาษารัสเซียของอังเกลาสมัยเรียนอยู่ที่เทมปลิน เคยเล่าถึงลูกศิษย์คนนี้ไว้ใน The New Yorker ว่า อังเกลาในช่วงวัยรุ่นไม่เคยเป็นเด็กสาวแสบๆ ที่แก่แดด หรือชอบหว่านเสน่ห์ ส่วนใหญ่ใครๆ มักรู้สึกว่าเธอไม่สนใจการแต่งตัว กับทรงผมยิ่งแล้วใหญ่ เพื่อนปากร้ายบางคนบอกว่า ผมของเธอเหมือนกาน้ำครอบอยู่บนหัว หนำซ้ำยังแปะป้ายว่า เธอต้องอยู่ใน Club of the Unkissed (สมาคมคนไม่เคยถูกจูบ) เสียด้วยซ้ำ

     แต่ไม่ว่าใครจะวิจารณ์เธออย่างไร เรื่องหนึ่งซึ่งไม่มีใครประมาทเธอได้เลยก็คือ ผลการเรียนอันยอดเยี่ยม ตอนเกรด 8 อังเกลาได้รับเลือกจากครูเบนน์ให้เข้าร่วมชมรมภาษารัสเซีย ครูเบนน์ฝึกฝนลูกศิษย์คนนี้เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการแข่งขันภาษารัสเซีย และอังเกลาก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เธอกวาดชัยชนะในทุกเวที ตั้งแต่ระดับโรงเรียนสู่ระดับประเทศ

     อีกหลายสิบปีต่อมา เมื่ออังเกลากลายเป็นผู้นำประเทศ เธอยืนเคียงข้างประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูติน ผู้ชื่นชมและประทับใจอังเกลาอย่างมาก เพราะเธอเป็นผู้นำระดับโลกคนแรกที่สื่อสารกับเขาด้วยภาษาแม่ของเขาเอง และเรื่องนี้ก็นำความปลาบปลื้มมาสู่ครูเบนน์อย่างที่สุด

     หลังจบการศึกษาระดับมัธยม อังเกลาเข้าเรียนต่อด้านฟิสิกส์และเคมีที่มหาวิทยาลัยไลพ์ซิก และที่นี่เองที่เธอได้พบกับ อูลริช แมร์เคิล สามีคนแรก ทั้งคู่แต่งงานกันในปี 1977 และหย่ากันในปี 1982 คู่ชีวิตคนถัดมาของเธอเป็นศาสตราจารย์ด้านเคมีนามว่า โยอาคิม ซาวเออร์ รักครั้งนี้ยืนยาวมาจนปัจจุบัน

     หลังจากเรียนจบปริญญาตรีในปี 1978 อังเกลาเดินหน้าศึกษาต่อที่สถาบันชั้นนำด้านวิทยาศาสตร์ของเยอรมนี กรุงเบอร์ลิน จนสำเร็จปริญญาเอกสาขาเคมีควอนตัม ในปี 1986

 

When it comes to

human dignity,

we cannot make

compromises.

 

 

ถนนสายการเมือง

     หลังจากกำแพงเบอร์ลินล่มสลายลงในปี 1989 อังเกลาเข้าร่วมกลุ่มตื่นตัวทางประชาธิปไตย (Democratic Awakening) งานแรกที่ลงมือทำในสายการเมืองคือ แกะกล่องคอมพิวเตอร์ และจัดการติดตั้งให้พร้อมใช้งาน ถัดมาอีก 1 ปี เธอจึงกลายเป็นโฆษกหญิงของที่นี่ และเปลี่ยนชื่อเป็น พันธมิตรเพื่อเยอรมนี (Alliance for Germany)

     แม้อังเกลาโดดเด่นเป็นที่จับตามากขึ้น แต่เธอก็ยังคงเป็นผู้ไม่สนใจกับภาพลักษณ์ของตัวเอง นุ่งกระโปรง
หลวมๆ สวมรองเท้าแตะ และตัดผมสั้นทรงธรรมดาที่สุดในโลก และถูกวิพากษ์วิจารณ์เชิงลบจากเพื่อนร่วมงานผู้ชาย ถึงขั้นมีคนเสนอจะออกเงินซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้เธอ

     อังเกลาก้าวสูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเข้าร่วมกับพรรคสหภาพประชาธิปไตยคริสเตียน (CDU-Christian Democratic Union) พรรคการเมืองที่ใหญ่ที่สุดในเยอรมนีตะวันตก ในปี 1990 เยอรมนีจัดการเลือกตั้งครั้งแรก หลังจากรวมประเทศสำเร็จ เธอได้รับเลือกเข้าสภาในนามตัวแทนพรรค CDU และได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงสตรีและเยาวชน

     ต่อมาในปี 1994 อังเกลาก็ได้ครองตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงสิ่งแวดล้อมและพลังงานนิวเคลียร์ ถัดมาอีกเพียง 4 ปี เธอได้รับเลือกให้เป็นเลขาธิการพรรค CDU ตามด้วยการเป็นหัวหน้าพรรคในปี 2000

     ปี 2005 ประวัติศาสตร์การเมืองของเยอรมนีต้องได้รับการบันทึกอีกครั้ง เมื่ออังเกลาได้รับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของเยอรมนี ปัจจุบันเธอครองตำแหน่งต่อเนื่อง 3 สมัย และกำลังก้าวเข้าสู่สมัยที่ 4 หลังผลการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งครั้งใหญ่ของเยอรมนีสิ้นสุดลงเมื่อวันจันทร์ที่ 24 กันยายนที่ผ่านมา

 

Always be more than you

appear and never appear

to be more than you are.

 

 

นักวิเคราะห์สถานการณ์

     อังเกลาคือตัวแทน ‘ความแตกต่าง’ ที่หาไม่เจอในตัวนักการเมืองเยอรมนีไม่ว่าจะยุคสมัยใด เธอเป็นผู้หญิง เคยหย่า แต่งงานใหม่ ไม่มีลูก เป็น ดร. ทางเคมีควอนตัม และเป็น Ossi ซึ่งหมายถึงผลผลิตจากยุคสมัยของเยอรมนีตะวันออก เธอฉลาดเป็นกรด และเล่นเกมเป็น อดีตหัวหน้างานในรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี โจนาธาน โพเวลล์ แห่งสหราชอาณาจักร เคยกล่าวกับ BBC ว่า “หนึ่งในสิ่งที่ผู้คนมักไม่เข้าใจอังเกลา คือแท้จริงแล้วเธอเป็นนักการเมืองที่ไร้ความปรานี เธอมีเล่ห์เหลี่ยมมากมายที่ใช้จัดการคู่แข่งในพรรค CDU และสามารถกำจัดพวกเขาได้แค่เพียงยักคิ้ว”

     อังเกลาขึ้นสู่จุดสูงสุดเมื่อเธอทำให้เยอรมนีเป็นพี่ใหญ่ในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจในยูโรโซน ในเวลาที่ชาติต่างๆ ยอมรับว่า ไม่สามารถแบกรับหนี้อันท่วมท้นได้ มีเพียงเยอรมนีที่เศรษฐกิจขยายตัวถึง 3% มีสินค้าส่งออกอันดับ 1 ของยุโรป อัตราการจ้างงานก็เพิ่มขึ้น

     อังเกลาแก้ปัญหาแบบนักวิทยาศาสตร์ เธอเป็นนักวิเคราะห์สถานการณ์ชั้นเยี่ยม ในหัวของเธอเหมือนลิ้นชักที่ช่องหนึ่งกำลังเปรียบเทียบสถานการณ์ อีกช่องหนึ่งประมวลผลถึงสิ่งที่จะตามมาหลังจากตัดสินใจ ในขณะที่ลิ้นชักถัดมากำลังชั่งน้ำหนักความเสี่ยงต่างๆ  

     ปีนี้อังเกลาอายุ 63 ปี เป็นนายกรัฐมนตรีมาแล้ว 12 ปี และจะดำรงตำแหน่งไปอีก 4 ปี หากสมัยที่ 4 ของการเป็นผู้นำเยอรมนีไม่มีเหตุมาทำให้สะดุดลงกลางคัน อังเกลา แมร์เคิล จะกลายเป็นผู้นำเยอรมนีที่ครองอำนาจนานที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศ และเป็นสตรีที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งของโลก

 

DID YOU KNOW? 

 

 

First Female Chancellor

     ปี 2005 อังเกลา แมร์เคิล ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของเยอรมนี ปีนั้นเธออายุ 51 ปี ถือเป็นผู้นำประเทศที่อายุน้อยที่สุดที่เยอรมนีเคยมีมา

 

 

Meeting with Kony

     อังเกลาเคยโดนสุนัขกัด จึงกลัวสุนัขมาก เมื่อเธอพบประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ครั้งแรก เขาหยอกเธอแรงๆ ด้วยการมอบของเล่นรูปสุนัขให้ ครั้งต่อมาปูตินปล่อยเจ้าโคนี สุนัขพันธุ์ลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์ ตัวใหญ่เข้ามาป้วนเปี้ยนใกล้ๆ อังเกลากล่าวถึงการกระทำของปูตินนั้นว่า “เขาหวาดกลัวความอ่อนแอของตัวเอง รัสเซียไม่ประสบความสำเร็จไม่ว่าการเมืองหรือเศรษฐกิจ ทั้งหมดที่เขามีก็คือ หมาตัวนั้นนั่นแหละ”

 

Plum Cake

     ไม่เพียงเป็นนักการเมืองที่เก่งการ การบ้านการเรือนของอังเกลาก็ไม่บกพร่อง เธอทำอาหารอร่อย โดยเฉพาะขนมเค้กพลัม 
สมัยที่เธอเป็นนักการเมืองรุ่นเยาว์ และยังพอมีเวลาสำหรับอบเค้กพลัมของโปรดของสามี ตรงข้ามกับปัจจุบัน ภาพที่คนเห็นโดยบังเอิญอยู่ประปรายคือ ผู้นำประเทศ คนนี้มีเวลาเพียงซื้อข้าวของจากร้านของชำในละแวกบ้านเธอเท่านั้นเอง

 

Mutti

     อังเกลาได้รับการชื่นชมว่า เป็นผู้นำประเทศคนแรกที่สนับสนุนด้านกีฬา เธอไปร่วมให้กำลังใจทีมชาติเยอรมนีในการแข่งขันฟุตบอลโลก และเข้าไปแสดงความยินดีอย่างเป็นกันเองถึงในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า เหล่านักกีฬาต่างปลาบปลื้มในความใส่ใจและยกให้เธอเป็นมาสคอตของทีม และเรียกเธอว่า Muttivation หรือ Mutti ซึ่งมีความหมายว่า ‘แม่’ นั่นเอง

 

 

Person of the Year

     ปี 2015 นิตยสาร TIME ยกย่องให้ อังเกลา แมร์เคิล เป็นบุคคลแห่งปี คาร์ล วิก บรรณาธิการใหญ่ของ TIME ประกาศว่า อังเกลาเป็นผู้นำของสหภาพยุโรปอย่างแท้จริง เธอเปรียบเหมือนเสาหลักให้ประเทศอื่นๆ ที่อยู่ในภาวะเปราะบาง ที่ผ่านมายุโรปต้องเผชิญ ภาวะสั่นคลอนหลายอย่าง ไม่ว่าวิกฤต หนี้กรีซ ยูโรโซน และวิกฤตผู้ลี้ภัย แต่เธอก็สามารถเป็นหลักและนำทางให้ทุกชาติได้ในที่สุด

The post THE MIGHTY MERKEL appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/the-mighty-merkel/feed/ 0
YOUNG WILD&FREE https://thestandard.co/young-wild-and-free/ https://thestandard.co/young-wild-and-free/#respond Fri, 06 Oct 2017 05:22:52 +0000 https://thestandard.co/?p=32910

เติร์ด-ธนาภพ อยู่วิจิตร AGE: 19 NATIONALITY: THAI TEAM: […]

The post YOUNG WILD&FREE appeared first on THE STANDARD.

]]>

เติร์ด-ธนาภพ อยู่วิจิตร

AGE: 19

NATIONALITY: THAI

TEAM: MOO

 

     ในวัย 19 ปี ธนาภพอายุน้อยที่สุดในจำนวนผู้เข้าแข่งขัน 5 คน ที่ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้าย หนุ่มผมทอง และเปิดเผยเพศสภาพของตนเองแบบไม่ปกปิด มีฝันที่จะทำสิ่งที่ชอบให้ดีที่สุด และอยากเป็นแรงบันดาลใจให้คนหลากหลายทางเพศกล้ายืนหยัดในแบบที่ตัวเองเป็น

 

เติร์ดตัดสินใจมาประกวดได้อย่างไร

     ตอนแรกไม่รู้ว่ามันจะเป็นอย่างไร เคยเห็นซีซันเก่า แล้วก็คิดว่า “น่าจะลองดู” มันดราม่ามากเลย

 

แล้วชอบเรื่องดราม่าหรือเปล่า

     โชคดีที่ The Face ไม่ได้ดราม่าขนาดนั้น เพราะทุกคนเป็นเพื่อนกัน  ที่มาสมัครเพราะคิดว่าเราน่าจะทำอาชีพนี้ได้ ก่อนหน้านี้เติร์ดก็ทำมาแล้ว รู้สึกว่าอยากเป็นแรงบันดาลใจให้คนที่เป็น LGBT ว่า ไม่ว่าคุณจะเป็นใครก็ตาม คุณก็สามารถเดินตามความฝันที่คุณอยากทำได้

 

 

ความฝันของคุณคืออะไร

     ความฝันของเติร์ดมันมีหลายอย่างมาก เติร์ดอยากเป็น The best of myself and the best of myself in being good at whatever I’m doing. อยากทำทุกอย่างให้ได้ในสายอาชีพนี้ ไม่จำเป็นว่าจะต้องดัง มีเงินเยอะ แต่ขอให้มีความสุขในการทำงาน

 

ชอบทำงานอะไรที่สุดในวงการ

     ชอบถ่ายแฟชั่นกับเดินแบบ เติร์ดว่าทำ 2 อย่างนี้ได้ดีที่สุด งานแสดงอาจจะ
ไม่ถนัดเท่าไร แต่คิดว่าทำได้ดี

 

มีจุดไหนที่ทำให้รู้สึกว่า “ไม่น่ามาประกวดเลย” ไหม

     ไม่ค่อยมีครับ เติร์ดรู้สึกว่าเราทำมาทั้งหมดตั้งแต่แรก คือแม้เราจะไม่ชนะก็แล้วแต่  แต่อย่างน้อยก็ได้ประสบการณ์ชีวิตที่คนอื่นอีกหลายคนเขาอยากมาอยู่ในจุดนี้แต่ทำไม่ได้

 

สิ่งที่ชอบที่สุดในการมาแข่งขันรายการนี้

     เพื่อน หนึ่งอย่าง แล้วการได้รับคำแนะนำจากทีมเมนเทอร์ มันเป็นการได้พัฒนาศักยภาพและความคิดของตัวเอง ได้ทำสิ่งที่เราไม่เคยคิดว่าอยากจะทำเลยหลายอย่าง หรืออะไรที่เราคิดว่าทำไม่ได้ ก็ปรับเปลี่ยนจนกลายเป็น
ว่าเราทำได้

 

มีเรื่องความประทับใจหลังกล้องที่คนดูไม่ได้เห็นไหม

     มีเยอะมาก ตอนแรกไม่มีใครรู้จักกันเลย แต่พอไปอยู่บ้านเดียวกัน เราผูกมิตร แล้วทุกคนก็เป็นมิตรกันหมด ที่มันไม่ได้ออกมาทางหน้าจอทีวีคือ มิตรภาพ ความรัก แรงสนับสนุนซึ่งกันและกัน แต่พอตัดต่อออกมา People want drama. People like it. What can you say?

 

เติร์ดประกาศว่าต้องการเป็นแรงบันดาลใจให้คนหลากหลายทางเพศ

     เติร์ดอยากเป็นแรงบันดาลใจให้คนดูแล้วรู้สึกว่าทำในสิ่งที่อยากทำไปเถอะ 
ไม่ต้องมองสิ่งรอบข้าง เติร์ดอยากให้เขารู้มากกว่าว่าในฐานะปัจเจก เขาทำได้ เติร์ดไม่ได้อยากมาโชว์แทนใครขนาดนั้น เพราะท้ายที่สุดแล้ว I’m doing this for myself as well.

 

มองภาพตัวเองอีก 5 ปีข้างหน้าอย่างไร จะมาเป็นเมนเทอร์ในรายการไหม

     Maybe, I don’t know. เติร์ดมองว่าตอนนี้เราพยายามทำปัจจุบันให้ดีก่อน อนาคตข้างหน้าค่อยว่ากัน go with the flow ไปก่อน เพราะในวงการนี้ เราก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรที่อยากทำคือ เป็นครูสอนโยคะ มีสตูดิโอสอนอยู่ริมทะเล

 

เติร์ดเป็นคนมั่นใจในตัวเองไหม

     ระดับหนึ่ง ถ้าเป็นในชีวิตประจำวัน เติร์ดเป็นคนไม่มีความมั่นใจในตัวเองเลย แต่พอทำงานเราเป็นคนละคน พอออกมาจากกอง เติร์ดก็เป็นเติร์ด

 

เติร์ดแบบที่ไม่ได้อยู่หน้ากล้องเป็นอย่างไร

     เอ๋อๆ แต่งตัวชุดเดิมอาทิตย์หนึ่ง ชิลล์ๆ เติร์ดพยายามทำให้ชีวิตเราง่ายที่สุดเท่าที่จะทำได้ ใช้ชีวิตตามสภาพทุกอย่าง ไม่อยากทำให้มันยาก

 

 

ตอนที่เป็นเด็กวัยนี้ คนทั่วไปมักจะเร่งวันเร่งคืนอยากก้าวไปสู่วัยผู้ใหญ่ เติร์ดเป็นเหมือนกันไหม

     ไม่ เติร์ดอยากหยุดเวลาไว้เท่านี้ I don’t know. ไม่รู้ว่าโตแล้วจะเป็นอย่างไร เป็นผู้ใหญ่ดูเหนื่อยกับชีวิต ดูมีความรับผิดชอบเยอะ ไม่พร้อมที่จะโตเลย คือเราทำได้ เราพร้อมรับผิดชอบ แต่ไม่อยากโต

 

คุณรับมือกับเสียงวิจารณ์อย่างไร

     เติร์ดรับรู้ทุกอย่าง สิ่งไม่ดีที่เขาว่า เขาติ เราก็เอามาพัฒนา อะไรที่เขาชม เราก็เก็บไว้ แต่เติร์ดไม่ค่อยดูโซเชียลมีเดีย เติร์ดคิดว่าเสียเวลา เติร์ดมีเฟซบุ๊กและอินสตาแกรม แต่จะไม่ค่อยใส่ใจคอมเมนต์แรงๆ ฟังแต่คนที่เราเชื่อถือในคำติชมของเขา คนที่เราทำงานด้วย คนที่อยู่ในกอง เพราะคนภายนอกอาจจะเห็นแค่ส่วนหนึ่ง แต่เขาไม่รู้ว่าจริงๆ เรามีเงื่อนไขอะไร

 

เคยนึกกลัวไหมก่อนที่จะเข้ามาแข่ง เพราะช่วงหลังในเมืองไทยอะไรๆ ก็ดราม่า โซเชียลมีเดียกลายเป็นเวทีสร้างเรื่องใหญ่โต

     เติร์ดว่าเราเป็นแค่คนหนึ่งที่ทำงานในสายอาชีพนี้ ไม่ใช่คนที่ทำอะไรแย่อยู่แล้ว ถ้าเขาจะถ่ายรูปเติร์ดไปวิจารณ์อะไรก็ตาม I don’t care. This is how I live my life. I’m not gonna change. ถ้าเราพยายามจะดูแลภาพลักษณ์มากๆ ยูก็หาว่าไอหยิ่ง ไอทำตัวเป็นไอเกินไป ยูหาว่าไอไม่เหมาะจะเป็นคนดัง เติร์ดก็คงไม่เข้าใจ ขอเป็นตัวเองแบบนี้ ทำในสิ่งเราที่อยากทำ แค่รู้ว่ามันโอเค ไม่ได้แย่เกินไปก็พอ

 

เรื่อง ยศยอด คลังสมบัติ, นิธินาฏ ปุโรทกานนท์

ภาพ นวลตา วงศ์เจริญ

สไตลิสต์ ฐิติกาญจน์ กาญจนภักดี

ผู้ช่วยช่างภาพ ณภัทร ศิริสินชุติเดช

ช่างแต่งหน้า บุศย์รินทร์ หวังวิศาล

ช่างทำผม หฤษฏ์ ปัญญาอ้าย

เสื้อผ้า Leisure Project Store, P.MITH

สถานที่ Sonder Living Thailand

The post YOUNG WILD&FREE appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/young-wild-and-free/feed/ 0
THE DREAM CHASER https://thestandard.co/the-dream-chaser/ https://thestandard.co/the-dream-chaser/#respond Thu, 05 Oct 2017 09:13:27 +0000 https://thestandard.co/?p=32689

โจเซฟ แอนจิโล AGE: 23 NATIONALITY: THAI-ITALIAN TEAM: P […]

The post THE DREAM CHASER appeared first on THE STANDARD.

]]>

โจเซฟ แอนจิโล

AGE: 23

NATIONALITY: THAI-ITALIAN

TEAM: PEACH

 

หนุ่มลูกครึ่งไทย-อิตาเลียนถือสัญชาติไทยและอังกฤษรายนี้ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของรายการโดยไม่รู้ว่า The Face คืออะไร ผ่านงานเบื้องหลังในฐานะช่างภาพ ชอบวาดรูป และหลงใหลในเกาะบาหลีที่เล่นกีฬาโต้คลื่นสุดโปรดได้ทั้งปี โจเซฟพัฒนาความผูกพันต่อทะเล เพราะเติบโตที่ภูเก็ต อาศัยนอนโซฟาที่บ้านเพื่อน และ Airbnb ระหว่างถ่ายทำรายการนี้ และกำลังไล่ตามความฝันในวงการภาพยนตร์ หลังจากมีประสบการณ์ในการเรียนการแสดงที่อังกฤษ 3 ปี

 

โจเซฟเคยอยู่ที่ภูเก็ตนานเลยใช่ไหม

นานเลยครับ ผมเกิดที่ขอนแก่น อยู่ที่นั่น 5 ปี แล้วย้ายไปภูเก็ต เรียนโรงเรียนนานาชาติที่ภูเก็ต อยู่ที่นั่น 15 ปี แล้วครับ

 

ก่อนมาแข่งรายการนี้ มีโอกาสมากรุงเทพฯ บ้างไหม

ไม่ค่อยได้มาครับ แต่พ่อผมเคยทำงานที่กรุงเทพฯ ก็เคยมาเยี่ยมเขาทุกวันเสาร์-อาทิตย์ ก็นานมากแล้วครับ พอพ่อย้ายไปที่อื่น ผมก็ไม่ได้มากรุงเทพฯ เลย หลังจากเรียนจบที่ภูเก็ต ผมก็ย้ายไปเรียนการแสดงที่อังกฤษ 3 ปี

 

ไม่อยากหาลู่ทางเป็นนักแสดงที่นั่นเหรอ

คิดอยู่ครับ เพราะผมชอบศิลปะ ชอบการแสดงละครเวที แต่แม่อยากให้กลับมาเมืองไทยมากกว่า ผมก็เลยกลับมาอยู่ภูเก็ต เป็นช่างภาพ ชอบถ่ายภาพทะเล อะไรที่มีแดด เกาะ ป่า ผมยังอยากทำงานละคร งานศิลปะที่เมืองไทย เพราะที่นี่มีเรื่องโบราณ นาฏศิลป์ไทย ผมอยากทำศิลปะร่วมสมัย

 

 

โจเซฟมีความฝันที่หลากหลายนะ เล่นกีฬา เป็นช่างภาพ แล้วยังเรียนการแสดง

ใช่ครับ ผมชอบศิลปะมากเลย ชอบอะไรที่มันครีเอทีฟ เพราะพ่อผมก็เป็นนักวาด เป็นจิตรกร เป็นคนเล่นกีตาร์ ก็เลยได้ทุกอย่างจากพ่อ พ่อแนะนำว่าอย่าไปทำงานออฟฟิศนะ

 

จริงๆ ถ้าชอบเรื่องศิลปะทั้งหลาย อยู่ลอนดอนน่าจะเหมาะเลยนะ

    เหมาะมากครับ แต่ว่าลอนดอนเป็นที่แบบ ถ้ายูเป็นคนผมทอง ตาสีฟ้า โอเค เป็นพระเอกได้ แต่ถ้าเป็นผิวแบบนี้คือแปลก

 

โอกาสที่จะได้บทเด่นก็น้อย

น้อยครับ พอมาเมืองไทยก็น้อยเหมือนกัน จึงคิดว่าสร้างโอกาสเองดีกว่า I’ll make my own stuff. เลยทำหนัง ทำวิดีโอ ถ่ายภาพเอง ผมคิดว่าถ้าเราทำได้เอง จะไปทางไหนก็ได้

ผมคิดว่าอยู่เมืองไทยโชคดีมากครับ รู้สึกโชคดีที่มีสายเลือดไทย เพราะถ้าผมเป็นคนอังกฤษ ผมคงจะเศร้า แล้วตอนอยู่ที่ลอนดอน สภาพอากาศมันหนาว คนก็ดีนะครับ แต่ว่าการแข่งขันสูง เพราะมีนักแสดงจำนวนมากที่ต้องแข่งขันกัน เมืองไทยก็เหมือนกัน แต่การเป็นลูกครึ่งก็สร้างโอกาสได้มากกว่า เพื่อนผมที่เป็นลูกครึ่งหลายคน พอไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่เมืองนอกแล้วเขาก็ไม่กลับมา เพราะคิดว่าประเทศอื่นดีกว่า แต่สำหรับผม อยู่เมืองไทยโอกาสดีกว่า อยากเป็นตัวแทนของไทย ผมอยากเปลี่ยนวงการศิลปะที่นี่มาก

 

เรื่องอะไรที่โจเซฟอยากเปลี่ยน

ก็เรื่องอุตสาหกรรมหนัง ผมคิดว่าผมสามารถทำให้เกิดอะไรได้มากกว่าที่เป็นอยู่ I think i can do more to it. เรามีแนวแอ็กชันแบบองค์บาก ซึ่งดีมากเลย เพื่อนที่เมืองนอก พอเขานึกถึงอะไรเกี่ยวกับเมืองไทย ก็จะนึกถึงเรื่องหนังแอ็กชัน หรือโทนี จา ผมว่าละครช่อง 7 ช่อง 3 มีแนวทางของตัวเอง คงไปเปลี่ยนไม่ได้ ผมอยากเอาอะไรมาเสริมที่เมืองไทย ทั้งละครเวที หนังอินดี้ ให้คนได้เห็นมากกว่าเดิม อะไรที่แปลกๆ ไม่ใช่เพื่อการค้า หรือดูซ้ำซาก

 

ดูโจเซฟมีความสุขกับชีวิต

ก็มีครับ แต่กรุงเทพฯ มันก็จะเศร้าๆ นิดหน่อย เพราะตอนนี้ผมนอนโซฟาบ้านเพื่อน ไม่ได้มีบ้านที่นี่ รู้สึกเกรงใจเพื่อน บางช่วงผมก็อยู่ Airbnb ก็เลยไม่ใช่อะไรที่ลงตัว I have to keep moving.

 

คุณแม่ที่ภูเก็ตคงคิดถึงแย่ ตอนเรามาทำงานที่นี่

ครับ แต่คุณแม่ก็ไม่อยากให้ผมอยู่บ้านด้วย อาจจะเบื่อและรำคาญ (หัวเราะ) ตอนผมอยู่ภูเก็ต ผมเช่าบ้านอยู่ติดทะเล ผมชอบทะเลมาก เป็นเด็กป่า ผมชอบปีนต้นไม้ ชอบดำน้ำ ยิ่งเดือนนี้นะครับ ฝนตก ลมพัดแรงมาก ถ้าเกิดอยู่เกาะตอนนี้ You can really feel it alive. เกาะมันมีชีวิตน่ะครับ ผมกับเพื่อนจะไปดูในกูเกิล แมป แล้วหาที่ลับที่คนไม่เคยไป ขับรถไป ปีนเขา หรือดำน้ำไป ไปมาทุกที่แล้วครับ

 

หนังที่อยากกำกับในอนาคตจะออกมาเป็นรูปแบบไหน

ผมอยากทำหนังอินดี้ ผมเขียนสคริปต์แล้วหลายเรื่อง จะมีเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับผู้หญิงที่ขายดอกไม้ที่ถนนข้าวสาร ไปสัมภาษณ์มาแล้ว ผมชอบสัมภาษณ์คนที่มีชีวิตไม่ธรรมดา และอยากทำเป็นหนังแบบ Greek Tragedy คนที่นอนด้วยกัน ฆ่ากัน และมีดราม่า

แต่ผมอยากใส่ปรัชญาลงไปในหนังด้วย อยากทำซีรีส์เด็กลูกครึ่งที่โตมาในเมืองไทยแล้วมีศาสนา วัฒนธรรมของฝรั่งและคนไทย แล้วเกิดความรู้สึกว่า “I don’t belong anywhere.” ตอนผมไปอังกฤษ เขาก็คิดว่าผมเป็นคนไทย ตอนผมมาเมืองไทย เขาก็คิดว่าผมเป็นคนอังกฤษ “I don’t know what to do.”

ผมมีโครงการทำหนังกับอติลาและแมน ผมไปเห็นคนไม่มีบ้าน นอนป้ายรถเมล์ มีกระเป๋าพะรุงพะรัง เขาน่าจะมาจากต่างจังหวัดคนแบบนี้จะมาหางานในเมืองแล้วกลายเป็นคนไร้บ้าน ผมอยากทำสารคดี พาเขานั่งรถกลับบ้านไปด้วยกัน

 

 

ความพิเศษที่ไม่คิดว่าจะได้จากการแข่งขันรายการนี้คืออะไร

ได้เจอเพื่อนที่กลายมาเป็นเพื่อนสนิทกัน แล้วรู้ว่าจะทำงานร่วมกันเป็นโปรเจกต์ได้

 

ตอนแข่งขันในรายการ มีช่วงไหนที่รู้สึกว่าไม่อยากทำไหม

ไม่ใช่ว่าไม่อยากทำ แต่แค่รู้สึกว่าแคมเปญบางอย่างทำไมไม่แมนกว่านี้ ควรจะมี more actions มันรู้สึกแบ๊วๆ ไม่แมนเลยครับ

 

การที่มีรายการที่ผู้ชายมาประกวดหลายอย่างไม่แพ้ผู้หญิง 
โจเซฟว่าสมัยนี้ผู้ชายก็ดูเหมือนวัตถุทางเพศกลายๆ ไหม

รู้สึกในบางครั้งครับ I feel like an object. (หัวเราะ)​

 

เรื่อง ยศยอด คลังสมบัติ, นิธินาฏ ปุโรทกานนท์

ภาพ นวลตา วงศ์เจริญ

สไตลิสต์ ฐิติกาญจน์ กาญจนภักดี

ผู้ช่วยช่างภาพ ณภัทร ศิริสินชุติเดช

ช่างแต่งหน้า บุศย์รินทร์ หวังวิศาล

ช่างทำผม หฤษฏ์ ปัญญาอ้าย

เสื้อผ้า Leisure Project Store, P.MITH

สถานที่ Sonder Living Thailand

The post THE DREAM CHASER appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/the-dream-chaser/feed/ 0