×

จะทำอย่างไรเมื่อใจยังก้าวข้าม Beauty Standard ไม่ได้?

11.05.2023
  • LOADING...

หลายปีหลังมานี้เห็นได้ชัดว่า โลกดูเปิดรับเรื่องของความงามสำหรับทุกคน (Inclusive Beauty) มากขึ้น จากแรงขับเคลื่อนของเหล่าคนดังและสื่อที่ช่วยกันเป็นกระบอกเสียงให้แนวคิดดังกล่าวลบล้างมาตรฐานความงาม (Beauty Standard) ที่เป็นบรรทัดฐานทางสังคมมาตั้งแต่อดีตกาล 

 

โฆษณาในอุตสาหกรรมต่างๆ ที่เดิมทีนำเสนอเพียงนางแบบรูปร่างผอมเพรียว ผิวขาว ต่างถูกเพิ่มเติมด้วยภาพของบุคคลที่มีความหลากหลายในด้านรูปร่าง สีผิว เพศ วัย ชาติพันธุ์ เพื่อแสดงจุดยืนและสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนรักในสิ่งที่ตัวเองเป็น 

 

 

การที่สื่อและบุคคลสำคัญต่างออกมาเป็นกระบอกเสียงเรื่องดังกล่าว ถือเป็นสัญญาณที่ดีต่อการเปลี่ยนแปลงค่านิยมความงามที่ถูกปลูกฝังมานาน ทว่าสำหรับบางคนแล้วการจะพอใจและเห็นคุณค่าของตัวเอง (Self-Esteem) ได้อย่างเต็มร้อยนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายด้วยปัจจัยหลายอย่าง เช่น สังคมรอบข้าง หรือเหตุการณ์ที่เคยสร้างบาดแผลหยั่งลึกในจิตใจ

 

ภาพ: Anete Lusina / Pexels

 

วันนี้หากคุณยังก้าวข้ามผ่านมันไปไม่ได้ เราอยากให้คุณรู้ว่า ‘ไม่เป็นไร…คุณไม่ได้รู้สึกคนเดียว’ ไม่ต้องฝืนใจให้ยอมรับตัวเองเต็มร้อยถ้ายังไม่พร้อม เพียงแค่ลองปรับความคิดทีละนิด ทำความเข้าใจกับความรู้สึกตัวเองวันละหน่อย แล้วคุณจะค้นพบความงามมุมใหม่ในแบบฉบับของคุณอย่างแน่นอน

 

ภาพ: Anna Shvets / Pexels

 

You’re Unique

 

ปัจจุบันโลกเรามีประชากรอยู่ 8 พันล้านคน และคุณก็เป็น 1 ใน 8 พันล้านที่ถูกสร้างมาอย่างแตกต่าง ไม่เพียงรูปลักษณ์ภายนอก แต่ยังรวมไปถึงบุคลิก นิสัย และน้ำเสียง ทุกอย่างที่เป็นตัวคุณนั้นช่างมีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร ดังนั้นเลิกเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น มันไม่แปลกเลยที่คุณจะต่างกับเขา ในขณะเดียวกันคนอื่นก็เลียนแบบตัวตนของคุณไม่ได้เช่นกัน     

 

Embrace Your Imperfection

 

เวลาที่เราเห็นภาพของใครในสื่อโซเชียลแล้วถึงกับอุทานว่า “เธอช่างเพอร์เฟกต์จริงๆ” แล้วเกิดความรู้สึกด้อยค่าในตัวเองขึ้นมาไม่มากก็น้อย คำถามคือ อะไรคือเกณฑ์ที่บอกว่าสิ่งนั้นเพอร์เฟกต์? หากนำคำถามเดียวกันไปถามคนอีกร้อยคนจะได้คำตอบเดียวกันหรือไม่? 

 

ภาพของรูปลักษณ์ภายนอกที่เราเห็นตามสื่อ (ที่ส่วนใหญ่ผ่านการปรับแต่งมาแล้ว) อาจทำให้เรามองว่าร่างกายของเราผิดปกติ ทั้งหน้าท้องที่พับเป็นชั้นเวลานั่ง รอยแตกลาย ฟันห่าง คางยื่น รักแร้-ขาหนีบคล้ำ ผมชี้ฟู ผิวเป็นสิว รูขุมขนชัด ริ้วรอยที่นับเส้นไม่ถูก ฯลฯ สิ่งที่เรามองว่าเป็นจุดบกพร่องทั้งหมดนี้มันคือ ‘ธรรมชาติ’ ของร่างกายมนุษย์ และสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน หากเรามองร่างกายตัวเองได้อย่างเป็นกลาง (Body Neutrality) และยอมรับได้ว่าเนื้อหนังของเราไม่จีรัง คุณจะรู้สึกดีกับตัวเองได้มากขึ้น   

 

Beauty Has No Definition

 

หากมองย้อนไปในอดีต เราจะเห็นได้ว่านิยามความงามมันเปลี่ยนไปตามยุคสมัย อะไรที่ผู้คนเคยมองว่าสวยในยุคหนึ่ง อาจถูกมองว่าไม่สวยในอีกยุคหนึ่งก็ได้ ปัจจุบันค่านิยมความงามในแต่ละประเทศเองก็ยังแตกต่างกันออกไปอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นคุณจะนิยามความงามแบบไหนก็ได้โดยไม่ต้องกังวลว่าโลกจะไม่ยอมรับ เพราะโลกเราเองยังไม่มีนิยามความงามที่ตายตัวเลย  

 

The Point of Being Beautiful 

 

การอยากทำให้ตัวเองดูดีนั้นไม่ใช่เรื่องผิดแปลก แต่อยากให้ลองถามใจตัวเองอีกครั้งว่าคุณอยากดูดีเพื่ออะไร? หนึ่งในแนวคิดที่ผู้เขียนมักถามตัวเองบ่อยๆ คือ หากวันหนึ่งเรามีรูปลักษณ์ทุกอย่างสมปรารถนา จนพูดได้เต็มปากว่า “ฉันสวยแล้ว” แต่ต้องใช้ชีวิตคนเดียวแบบที่ไม่มีใครเห็น ไม่ต้องเจอใคร เราจะยังพอใจอยู่ไหม? มันอาจเป็นประเด็นที่ดูเทียบกันได้ไม่เต็มร้อย แต่มันเป็นคำถามที่คอยเตือนสติผู้เขียนได้เสมอ 

 

สรุปคือคุณมีอิสระในการเลือกปรนนิบัติตัวเองให้ดูดีได้เต็มร้อย ตราบใดที่มันไม่ทำให้คุณเสียสุขภาพจิต ไม่ทำร้ายตัวเอง ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน

 

และหากวันใดเริ่มรู้สึกว่าไม่เป็นตัวเองอีกต่อไปหรือกำลังทำเพื่อเอาใจใคร คุณคงต้องกลับมาทบทวนข้อนี้ใหม่แล้วล่ะ

 

The Beauty of Charisma

 

หากลองมองข้ามเรื่องของรูปลักษณ์ภายนอก สิ่งที่จะช่วยให้คุณดูดีได้ยังมีอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นความสามารถ ทัศนคติ การพูด หรือแพสชัน ที่ล้วนหลอมรวมเป็น ‘เสน่ห์’ สะท้อนตัวตน และอยู่ยงกว่าสิ่งภายนอกเสียอีก

 

บทความตอนหนึ่งจากหนังสือ The Charisma Factor เขียนโดย Leesa Rowland ได้เผยถึงวิธีเพิ่มเสน่ห์ให้ตัวเองได้น่าประทับใจ 

 

ลุคมันไม่สำคัญขนาดนั้น การจะมีเสน่ห์นั้นคุณไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่ดูดีที่สุดในห้อง ในทางกลับกันคุณควรจะเป็นแม่เหล็กมากกว่า จริงอยู่ที่การดูดีมันเป็นข้อดี แต่มันไม่ใช่คุณสมบัติของการมีเสน่ห์นะ มีคนมากมายที่ไม่ได้มีลุคโดดเด่นต้องตา แต่กลับมีเสน่ห์มากและมีบุคลิกที่แสนจะเปล่งประกายชวนให้คนนับล้านอยากติดตาม ดังนั้นแล้วเสน่ห์มันอยู่เหนือรูปลักษณ์ภายนอก มันสะท้อนออกมาจากข้างในต่างหาก”   

 

Break Free from Toxic Cycles

 

“ทำไมอ้วนจัง ไปทำอะไรมา?, เมื่อไรจะผอม?, ทำไมสิวเต็มหน้า ล้างหน้าไม่สะอาดเหรอ?, ฟันเหยินขนาดนี้ ถ้าดัดฟันจะสวยขึ้นเยอะเลยนะ, ดำแบบนี้อย่าใส่เสื้อขาวเชียว เดี๋ยวสีตก” 

 

เดิมทีเราอาจไม่ได้รู้สึกแย่กับตัวเองเท่าไร จนกระทั่งวันที่ถูกกระตุ้นด้วยความคิดเห็นจากคนรอบข้าง ที่แย่คือบางเคสเกิดจากคนใกล้ตัวหรือแม้กระทั่งคนในครอบครัว  

 

ในฐานะผู้เขียนที่มีประสบการณ์เรื่องนี้โดยตรง ทั้งการอยู่ในจุดที่ถูกบูลลี่และถูกสรรเสริญเยินยอเรื่องรูปร่างในวันที่เราเปลี่ยนแปลงตัวเอง ทำให้เราเห็นว่า สังคมช่างเก่งเรื่องการวิจารณ์เสียจริง ใครอยากพูดอะไรก็ได้ และอ้างว่านี่คือเสรีภาพในการแสดงออกทางความคิด ซึ่งมานั่งคิดตามมันก็จริง แต่การวิพากษ์วิจารณ์แล้วทำให้ผู้อื่นต้องทุกข์ตรมคงไม่ใช่สิ่งที่น่ารักเท่าไร เพราะคุณไม่รู้ว่าเบื้องหลังชีวิตของคนที่คุณวิจารณ์อย่างสนุกปากเผชิญกับอะไรบ้าง 

 

วิธีรับมือกับคนเหล่านี้คือ การทำความเข้าใจกับเจตนาของผู้พูดก่อน หากฟังแล้วดูเข้าข่ายหวังดี เราสามารถรับมือโดยการรับฟัง แต่ไม่ต้องเก็บมากดดันตัวเองจนเกินไป หากคำพูดของคนที่สนิทฟังดูทำร้ายจิตใจเกินไป ก็ลองเปิดใจพูดกันตรงๆ 

 

ส่วนคนที่คุณสัมผัสได้ว่าเขาแค่ต้องการพูดเอาสนุกปาก เราแนะนำให้เอาตัวเองออกมาให้ห่างจากวงจรนั้นดีกว่า เวลาของคุณมีค่าเกินกว่าจะซึมซับความท็อกซิกจากคนท็อกซิก  

 

Love Yourself 

 

หากเรารักใครสักคน เราคงอยากจะหยิบยื่นแต่สิ่งดีๆ ให้กับคนคนนั้น สำหรับตัวเองก็เช่นกัน การพูดสิ่งดีๆ กับตัวเองในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นการชม การให้กำลังใจ หรือให้รางวัลตัวเองเล็กๆ น้อยๆ สามารถเสริมสร้างสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดีได้ในระยะยาว 

 

หลายครั้งคุณอาจใจร้ายกับตัวเองโดยไม่รู้ตัวด้วยการกดดัน ดุด่า หรือดูถูกตัวเองต่างๆ นานา ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลเสียต่อทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตในระยะยาวได้เช่นกัน

 

Health is Everything

 

ชีวิตต้องมีความสมดุล อะไรที่หย่อนหรือตึงไปก็ไม่ดี ไม่ว่าวันนี้คุณจะทำอะไรเพื่อตัวเองอยู่ ขอให้ย้ำเตือนตัวเองเสมอว่า สุขภาพเป็นสิ่งสำคัญที่สุด จะมีประโยชน์อะไรหากวันหนึ่งคุณมีรูปลักษณ์ภายนอกที่สมบูรณ์แบบตามความคิดของคุณ แต่กลับต้องนอนติดเตียงในโรงพยาบาลไปตลอดชีวิต 

 

ผู้เขียนเคยมีประสบการณ์เฉียดตายจากการกินยาลดความอ้วนที่เห็นโฆษณาหนักๆ ในยุคหนึ่งของโลกออนไลน์ และคงต้องขอบคุณที่เสียงในใจตะโกนบอกว่า “หยุดเถอะถ้าไม่อยากตาย” ระยะเวลาที่กินยาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ไม่แคร์เสียงหวังดีของคนรอบข้างตลอด 6 ปี ทำให้ผู้เขียนต้องดิ้นรนชดใช้กรรมแก่ร่างกายตัวเองเป็นเวลากว่า 7 ปี เพื่อให้หายจากอาการโยโย่เอฟเฟกต์และโรคต่างๆ ที่รุมเร้า ซึ่งทำให้เราระลึกได้จริงๆ ว่า การมีสุขภาพดีเป็นของขวัญที่ดีที่สุดแล้ว 

 

Practice Gratitude 

 

การยึดติดหรือหมกมุ่นกับเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกอยู่ตลอดเวลาอาจทำให้คุณหลงลืมสิ่งต่างๆ รอบข้างได้ ลองพับเก็บความคิดนั้นไว้สักพัก แล้วมองไปรอบๆ ตัวว่า วันนี้คุณมีอะไรที่รู้สึกขอบคุณบ้าง อาจจะเป็นมื้ออาหารที่คนรักหรือคนในครอบครัวทำให้กิน, การจราจรที่ไม่ติด, ผลงานในที่ทำงานที่เป็นไปตามเป้า หรือแม้กระทั่งการที่ยังสามารถลืมตาตื่นมาใช้ชีวิตได้ทุกวัน เป็นต้น การฝึกขอบคุณสิ่งต่างๆ จะทำให้คุณมองโลกในแง่ดียิ่งขึ้น 

 

There is More to Life 

 

“ต้องสวยให้ทันแต่งงานในอีก 3 เดือนข้างหน้า, ต้องลดให้ได้ 10 กิโลกรัมในปีนี้” 

 

คุณอาจมีเป้าหมายอะไรหลายๆ สำหรับวันข้างหน้า ซึ่งไม่ผิดเลย แต่ความจริงคือ เราทุกคนไม่มีทางรู้เลยว่า ชีวิตจะยังมีพรุ่งนี้อยู่ไหม? หลายครั้งเราลืมที่จะ ‘เอ็นจอย’ กับสิ่งที่มีในปัจจุบัน เพราะมัวแต่ยึดติดกับอนาคตมากเกินไป ลองปรับมุมมองใหม่ อยู่กับปัจจุบันให้มากขึ้น แล้วคุณจะเห็นว่าชีวิตยังมีอะไรที่สำคัญกว่าความสวยเพียงเปลือกนอกอีกเยอะ 

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising