อิตาลีและฝรั่งเศสเร่งส่งเครื่องบินดับเพลิงมาชาติละ 2 ลำ เพื่อช่วยกรีซดับไฟป่า โดยสถานการณ์ตอนนี้ไม่สู้ดีนัก เนื่องจากไฟป่ากำลังลุกโชนในหลายพื้นที่รอบกรุงเอเธนส์ อีกทั้งยังมีการคาดการณ์ด้วยว่าคลื่นความร้อนจะทวีความรุนแรงขึ้นอีกนับต่อจากนี้

เครื่องบินและทีมนักดับเพลิงที่เตรียมปฏิบัติการช่วยเหลือในครั้งนี้เป็นไปตามกลไกคุ้มครองพลเรือนแห่งสหภาพยุโรป (European Union Civil Protection Mechanism) ซึ่งทั้งหมดจะเดินทางไปสมทบกับนักดับเพลิงชาวโรมาเนีย 30 ชีวิตที่ปัจจุบันกำลังประจำการอยู่ที่กรีซ โดยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการดับไฟตามฤดูกาลของสหภาพยุโรป

สำหรับสถานการณ์วานนี้ (18 กรกฎาคม) ไฟป่าได้ลุกลามในทางตอนเหนือและตะวันตกของกรุงเอเธนส์ รวมถึงเหตุไฟป่าที่กำลังลุกไหม้ในย่านลูตรากี (Loutraki) ของเมืองโครินเธีย (Corinthia) อันเป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับการพักตากอากาศ โดยไฟป่าได้ทำลายที่อยู่อาศัยเสียหายและมีการอพยพผู้คนจำนวนมาก

นอกจากนี้ยังมีไฟป่าเกิดขึ้นอีกหลายแห่งในบริเวณใกล้เคียงกับกรุงเอเธนส์ แต่เคราะห์ดีที่ไม่ได้มีความรุนแรงมากนัก และถึงแม้ลมจะไม่ได้พัดแรง แต่พื้นที่ป่ารอบๆ นั้นค่อนข้างแห้งจากคลื่นความร้อนแผดเผาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว จึงทำให้ไฟป่าเกิดขึ้นได้

คอนสแตนตินา ดิโมกลิดู (Constantina Dimoglidou) โฆษกตำรวจหญิง ระบุว่า ถนนหลายสายที่ใกล้เคียงกับสถานที่เกิดไฟป่าถูกปิดลง เพื่อเอื้อให้สามารถส่งความช่วยเหลือของบริการฉุกเฉินจากรัฐบาลได้เร็วขึ้น

ทั้งนี้ กรีซได้ใช้งานระบบประเมินแผนที่แบบเร่งด่วน ซึ่งนำข้อมูลจากดาวเทียมสหภาพยุโรปมาประเมินความเสียหายของเหตุไฟป่า โดยระบบนี้ถูกนำมาใช้วิเคราะห์ไฟป่าที่รุนแรง 3 แห่งรอบกรุงเอเธนส์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมาเป็นวันที่ 2 แล้ว

พยากรณ์อากาศระบุว่า คลื่นความร้อนระลอก 2 จะเข้าปกคลุมกรีซในวันพรุ่งนี้ (20 กรกฎาคม) โดยอุณหภูมิจะทะยานสูงถึง 44 องศาเซลเซียส ในพื้นที่ทางตอนใต้และตอนกลางของประเทศจนถึงสุดสัปดาห์นี้

ภาพ: Dimitris Lampropoulos / Anadolu Agency via Getty Images

อ้างอิง:

• https://www.lemonde.fr/en/europe/article/2023/07/18/france-and-italy-send-firefighting-planes-to-greece_6058079_143.html

The post ฝรั่งเศสและอิตาลีเร่งส่งเครื่องบินดับเพลิงเพื่อช่วยดับไฟป่าในกรีซ appeared first on THE STANDARD.

ทหารของรัฐบาลเมียนมาและสมาชิกกลุ่มปยูซอที (Pyu Saw Htee) ที่สนับสนุนรัฐบาลเผด็จการทหาร ร่วมกันบุกโจมตีหมู่บ้านต่างๆ ในเมืองคีนอู้ (Khin-U) เขตสะกาย (Sagaing) ส่งผลให้ชาวบ้านประมาณ 15,000 ต้องอพยพหนีตายออกจากบ้านของตนเอง ขณะที่มีพลเรือนเสียชีวิต 1 คนด้วยกัน

กลุ่มช่วยเหลือท้องถิ่นคีนอู้ระบุว่า มีทหารมากกว่า 100 นายจากเขตเมืองชเวโบ (Shwebo) ที่บุกรุกเข้าไปในหมู่บ้านต่างๆ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (16 กรกฎาคม) และได้กราดยิงอาวุธปืนอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ชาวบ้านมากกว่า 8,000 คน จาก 9 หมู่บ้านต้องอพยพหนีเอาตัวรอด

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่จากกองทัพเมียนมาและสมาชิกกลุ่มปยูซอทีจากหมู่บ้านยวาร์ทิตโคน (Ywar Thit Kone) ในเมืองคีนอู้ ยังได้กราดยิงอาวุธหนักไปที่โรงเรียนหมู่บ้านอินปัต (Inn Pat Village School) อันเป็นสถานที่ที่มีชาวบ้านที่หลบภัยอยู่ประมาณ 200 คน ส่งผลให้มีชายวัย 50 ปีเสียชีวิต ณ จุดเกิดเหตุ 1 คน และยังมีผู้บาดเจ็บสาหัสอายุ 30 ปีอีก 1 คน

โค เนย์ ทูรา (Ko Nay Thura) ตัวแทนของกลุ่มช่วยเหลือท้องถิ่นคีนอู้ กล่าวว่า นับเป็นความโชคดีที่การกระหน่ำโจมตีนั้นไม่โดนกลุ่มผู้คน ถ้าหากมันเกิดขึ้น ความเสียหายจะรุนแรงกว่านี้อย่างแน่นอน เขายังกล่าวอีกว่า ชาวบ้านจากหมู่บ้านอินปัตไม่กล้าหลบภัยที่โรงเรียนดังกล่าวอีกแล้ว เนื่องจากมีระยะห่างเพียง 300 เมตรจากค่ายทหารอินปัตเกียเว (Inn Pat Kyawe) และยวาร์ทิตโคน ซึ่งเป็นหมู่บ้านของสมาชิกกลุ่มปยูซอที 

รายงานระบุด้วยว่า ทหารเคยวางเพลิงหมู่บ้านอินปัตจนบ้านจำนวน 200 หลังจากทั้งหมด 600 หลังกลายเป็นเถ้าถ่าน 

นับตั้งแต่มีการก่อรัฐประหาร สมาชิกจากหมู่บ้านอินปัต 2 คนถูกสังหาร และมีผู้บาดเจ็บอีก 15 คน ในขณะเดียวกัน ทหารของกองทัพอีกหน่วยหนึ่งและสมาชิกกลุ่มปยูซอทีจากค่ายทหารอินปัตเกียเวก็ได้กระหน่ำโจมตีหมู่บ้าน 6 แห่ง ทั้งในคีนอู้และริมเขตเยอู้ (Ye-U) บีบให้ชาวบ้านกว่า 5,000 คนต้องอพยพออกมา เสบียงอาหารและทรัพย์สินมีค่าของหมู่บ้านจันธาโคน (Chan Thar Kone) ก็ได้ถูกปล้นไปโดยกองกำลังนี้

ณ ขณะนี้ ชาวบ้านคีนอู้บางส่วนได้กลับไปใช้ชีวิตในบ้านของตนตามปกติแล้ว ทว่า เหล่าชาวบ้านที่อยู่อาศัยใกล้กับค่ายทหารอินปัตเกียเวและยวาร์ทิตโคนยังคงไม่กล้ากลับไป โดยกลุ่มช่วยเหลือท้องถิ่นคีนอู้ระบุ ขณะนี้พวกเขาต้องการให้มีการส่งความช่วยเหลือมายังชาวบ้านกว่า 5,000 คน

ภาพ: Khin-U Township Information via The Irrawaddy

อ้างอิง:

• https://www.irrawaddy.com/news/burma/civilian-killed-15000-flee-as-myanmar-junta-forces-raid-sagaing-villages.html

The post กองทัพเมียนมาบุกโจมตีหมู่บ้านหลายแห่ง เสียชีวิต 1 ศพ ประชาชนนับหมื่นอพยพหนีตาย appeared first on THE STANDARD.

Twitter สูญเสียรายได้จากการโฆษณาไปเกือบครึ่งหนึ่ง นับตั้งแต่ที่บริษัทถูก อีลอน มัสก์ ซื้อไปในราคา 4.4 หมื่นล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.5 ล้านล้านบาท) เมื่อเดือนตุลาคมของปีที่แล้ว

มัสก์กล่าวว่า รายได้ของบริษัทในเดือนมิถุนายนไม่ได้กระเตื้องขึ้นอย่างที่คาดเอาไว้ แต่ความหวังยังคงเหลืออยู่ เขากล่าวเสริมต่อว่า รายได้ในเดือนกรกฎาคม ‘มีแนวโน้มดีขึ้นเล็กน้อย’ โดยมีแนวโน้มที่จะทำรายได้ถึง 3 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 แม้ว่าตัวเลขดังกล่าวจะลดลงจากระดับของปี 2021 ที่ 5.1 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่มัสก์จะขึ้นบริหารก็ตาม

ปัจจุบัน Twitter มีหนี้สินค่อนข้างสูง อีกทั้งยังมีสภาพคล่องทางการเงินที่ติดลบ โดยมัสก์เคยทวีตข้อความว่า “Twitter ต้องทำให้สภาพคล่องทางการเงินดีเสียก่อน ก่อนที่จะสามารถทำอะไรหรูหราอย่างอื่นได้”

อย่างไรก็ตาม มัสก์อ้างว่ารายจ่ายของบริษัทลดลงไปเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นผลพวงจากการลดค่าใช้จ่ายในด้านบริการคลาวด์ (Cloud Service) และการเลย์ออฟพนักงานครั้งใหญ่จำนวน 7,500 คน หรือกว่าครึ่งของบริษัท หลังจากที่เขานั่งเก้าอี้สวมบทเป็นผู้บริหารของ Twitter ในปีที่แล้ว 

แต่ถึงเช่นนั้นผู้เชี่ยวชาญก็มองว่า สถิติทางการเงินของ Twitter ถือเป็นดัชนีชี้วัดที่สามารถสะท้อนได้เป็นอย่างดีว่า มาตรการหั่นต้นทุนอย่างรวดเร็วและสุดโต่งนั้นไม่เพียงพอที่จะทดแทนเม็ดเงินจากรายได้โฆษณา รวมถึงยังไม่สามารถดึงดูดลูกค้าที่จะลงโฆษณากับ Twitter ให้กลับมาได้ หลังจากพวกเขาไม่พอใจที่มัสก์ปรับเปลี่ยนนโยบายด้านการจัดการคอนเทนต์ใหม่ แม้เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา มัสก์จะเคยให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว BBC ว่าลูกค้ากลุ่มดังกล่าวกลับมาใช้บริการ Twitter แล้วก็ตาม

เมกานา ดาร์ เจ้าของบริษัทคู่แข่งที่กำลังมาแรงอย่างแอปพลิเคชัน Threads เปิดเผยกับ BBC ว่า Twitter มีปัญหามาตั้งแต่ก่อนที่มัสก์จะเข้าซื้อกิจการแล้ว โดยระบุว่า “เพื่อความยุติธรรมต่ออีลอน ต้องบอกเช่นนี้ว่า รายได้ของ Twitter นั้นลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ก่อนอีลอนขึ้นมาบริหารเสียอีก”

อย่างไรก็ตาม ด้าน ลูซี คูตส์ ผู้อำนวยการด้านการลงทุนของ JM Finn มองว่า มีโอกาสที่มัสก์จะสามารถพลิกรายได้ของ Twitter ให้กลับมาได้ ‘แต่อาจจะต้องใช้เวลานาน’ พร้อมระบุด้วยว่า “โชคไม่ดีที่เขามีหนี้สินถึง 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์ที่ต้องชำระภายในสิ้นเดือนกรกฎาคม ฉะนั้น เราอาจได้เห็นแรงกดดันที่มีต่อหุ้น Tesla ในแง่ที่เขาอาจจำเป็นต้องขายหุ้นของตัวเองในบริษัทดังกล่าวเพิ่มเติม”

แฟ้มภาพ: Sergei Elagin via Shutterstock

อ้างอิง: 

• www.bbc.com/news/business-66217641

The post Twitter สูญเสียรายได้โฆษณาไปเกือบครึ่ง หลัง อีลอน มัสก์ ขึ้นบริหาร appeared first on THE STANDARD.

‘จันทรายาน-3’ (Chandrayaan-3) ยานอวกาศของฝั่งอินเดียที่ใช้งบประมาณในการก่อสร้างสูงเฉียด 75 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 2.5 พันล้านบาทไทย ได้พุ่งทะยานขึ้นสู่ห้วงอวกาศจากฐานปล่อยจรวดในรัฐอานธรประเทศ ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของอินเดียแล้วในวันนี้ (14 กรกฎาคม) เมื่อเวลา 14.35 น. ตามเวลาท้องถิ่น หรือเวลา 16.05 น. ตามเวลาประเทศไทย

หนังสือพิมพ์ The Guardian รายงานว่า หน่วยงานอวกาศของอินเดียได้เตรียมการขั้นสุดท้ายในการปล่อยยานอวกาศออกนอกชั้นบรรยากาศเพื่อลงจอดบนพื้นผิวดวงจันทร์ อันเป็นการประกาศกร้าวถึงการเป็นมหาอำนาจด้านการสำรวจอวกาศของอินเดีย

ในอดีตที่ผ่านมามีเพียงสหรัฐอเมริกา จีน และสหภาพโซเวียตเท่านั้นที่สามารถนำยานอวกาศลงจอดบนดวงจันทร์ได้อย่างปลอดภัย แม้จะเคยมีความพยายามเดียวกันจากบริษัทสตาร์ทอัพของญี่ปุ่นในต้นปีนี้ แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ เมื่อยานอวกาศของบริษัทดังกล่าวได้ชนเข้ากับพื้นผิวของดวงจันทร์ขณะพยายามลงจอด

หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน จันทรายาน-3 จะทะยานสู่ห้วงอวกาศ และทำวงโคจรเป็นวงรี โดยคาดว่าจะลงจอดบนดวงจันทร์ได้ในช่วงประมาณวันที่ 23-24 สิงหาคม ซึ่งหากลงจอดสำเร็จ ยานอวกาศดังกล่าวจะเป็นยานอวกาศลำแรกที่ได้ลงจอดบนพื้นที่ขั้วโลกใต้ของดวงจันทร์ อันเป็นพื้นที่ซึ่งดึงดูดความสนใจของหน่วยงานอวกาศและบริษัทอวกาศเอกชนทั่วโลก เนื่องด้วยมีน้ำแข็งอยู่ในบริเวณดังกล่าว จึงเหมาะที่จะเป็นจุดก่อสร้างสถานีอวกาศในอนาคตได้

ก่อนหน้านี้สำนักข่าว ANI ของอินเดียได้แสดงภาพของนักวิทยาศาสตร์จาก ISRO หลายคนที่ได้พกโมเดลของจันทรายาน-3 ขนาดย่อมไปยังวัดชื่อดังในอินเดีย เพื่อขอความเป็นสิริมงคลให้ยานอวกาศสามารถลงจอดได้โดยสวัสดิภาพ

จันทรายาน เป็นคำภาษาสันสฤกต รวมมาจากคำว่า ‘จันทร์’ และคำว่า ‘ยาน’ เมื่อรวบเข้าด้วยกันจึงแปลได้ว่า ยานพาหนะของดวงจันทร์ ซึ่งประกอบไปด้วยยานลงจอดสูง (Tall Lander) ที่มีความสูง 2 เมตร เพื่อปล่อยรถยนต์ไฟฟ้าไปสำรวจบนดวงจันทร์ (Rover) ซึ่งได้รับการทดสอบว่าสามารถใช้งานได้ยาวถึง 2 สัปดาห์

ในภาพรวมของประเทศ การปล่อยยานอวกาศครั้งนี้เป็นภารกิจใหญ่ครั้งแรกหลังจากการขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีของ นเรนทรา โมดี นอกจากนี้โมดียังได้ออกนโยบายที่เอื้อต่อการปล่อยยานอวกาศและดาวเทียมในภาคเอกชน ทว่านักวิเคราะห์บางส่วนได้กล่าวว่า การปล่อยยานครั้งนี้มีภารกิจแฝง นั่นก็คือการส่งสัญญาณให้โลกรู้ว่าอินเดียเปิดกว้างสำหรับการแข่งขันด้านอวกาศของภาคเอกชน

นับตั้งแต่ปี 2020 ที่อินเดียเปิดให้ธุรกิจภาคเอกชนสามารถปล่อยยานอวกาศได้ จำนวนของธุรกิจสตาร์ทอัพด้านอวกาศก็ได้เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว และในปีที่ผ่านมาบริษัท Skyroot Aerospace ที่ได้รับการสนับสนุนด้วยเงินทุนจาก GIC ซึ่งเป็นกองทุนความมั่งคั่งของรัฐบาลสิงคโปร์ ได้ทำการปล่อยจรวดลำแรกของอินเดียที่สร้างมาจากภาคส่วนเอกชน

แฟ้มภาพ: ISRO Via BBC

อ้างอิง:

• https://www.theguardian.com/world/2023/jul/14/india-readies-historic-moon-mission-as-it-seeks-to-cement-position-as-a-space-power

The post ยาน ‘จันทรายาน-3’ ของอินเดียทะยานสู่ดวงจันทร์ ตั้งเป้าเป็นมหาอำนาจการสำรวจอวกาศ appeared first on THE STANDARD.

ศาลฎีกาญี่ปุ่นมีคำตัดสินให้ข้าราชการผู้เป็นบุคคลข้ามเพศสามารถใช้ห้องน้ำตามเพศที่ตนนิยามได้ หลังจากที่ก่อนหน้านี้อาคารของกระทรวงการค้า เศรษฐกิจ และอุตสาหกรรม เคยสั่งห้ามไม่ให้ผู้มีความหลากหลายทางเพศเข้าใช้ห้องน้ำตามเพศวิถีของตน

เว็บไซต์ The Japan News ของหนังสือพิมพ์ The Yomiuri Shimbun รายงานว่า ก่อนหน้านี้ทางกระทรวงฯ ได้สื่อสารกับพนักงานในสังกัดซึ่งเพศกำเนิดเป็นชายแต่ใช้ชีวิตในฐานะผู้หญิงว่า เธอต้องใช้ห้องน้ำที่อยู่ถัดไปอีก 2 ชั้น เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้มีปัญหากับเพื่อนร่วมงานเพศหญิงคนอื่นๆ 

ในเวลาต่อมา พนักงานคนดังกล่าวจึงได้ยื่นคำฟ้องร้องต่อรัฐบาล โดยระบุว่าคำสั่งดังกล่าวนั้นไม่ยุติธรรมสำหรับเธอ และในที่สุดศาลฎีกาก็ตัดสินว่ารัฐบาลไม่มีสิทธิในการสั่งห้ามไม่ให้พนักงานใช้ห้องน้ำที่ตนต้องการ 

ณ ปัจจุบัน พนักงานคนดังกล่าวยังไม่ได้รับการผ่าตัดแปลงเพศ แต่ถึงเช่นนั้น เธอได้รับการวินิจฉัยถึงภาวะความไม่พึงพอใจในเพศสภาพตนเอง (Gender Dysphoria) ตั้งแต่ปี 1999 และด้วยการอนุญาตจากกระทรวงฯ เธอจึงได้แต่งตัวในเครื่องแบบของเพศหญิงเพื่อเข้าทำงานตั้งแต่ปี 2010 

ในช่วงที่ผ่านมา พนักงานรายนี้เคยเรียกร้องกับคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (National Personnel Authority) เพื่อขอให้กระทรวงฯ ยกเลิกข้อจำกัดในการใช้ห้องน้ำ แต่ความพยายามก็ไม่เป็นผล เธอจึงได้ฟ้องร้องกระทรวงฯ ในปี 2015 

ต่อมาในปี 2019 ศาลแขวงโตเกียวก็มีคำตัดสินออกมาว่าการกระทำของกระทรวงฯ นั้นผิดกฎหมาย แต่ในปี 2021 ศาลสูงกลับมีคำตัดสินในทิศทางตรงกันข้าม ด้วยเหตุนี้การฟ้องร้องต่อศาลฎีกาจึงเกิดขึ้น 

การตัดสินนี้จึงถูกจารึกลงไปในประวัติศาสตร์หน้าใหม่ เนื่องจากเป็นกรณีแรกในศาลฎีกาญี่ปุ่นที่เกี่ยวข้องกับหลักปฏิบัติในที่ทำงานสำหรับผู้มีความหลากหลายทางเพศ อีกทั้งผลการตัดสินนี้ยังอาจเป็นการกระตุ้นให้สังคมญี่ปุ่นหันมาให้ความสำคัญกับประเด็นสิทธิของชุมชน LGBTQIA+ มากขึ้นตามยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลง

แฟ้มภาพ: ShutterStockStudio Via Shutterstock

อ้างอิง: 

• https://japannews.yomiuri.co.jp/society/crime-courts/20230711-122124/

The post ศาลฎีกาญี่ปุ่นตัดสินให้พนักงานข้ามเพศสามารถเข้าห้องน้ำที่ตนต้องการได้ appeared first on THE STANDARD.

หน่วยยามฝั่งสเปนพบเรือประมงจากเซเนกัลที่บรรทุกผู้อพยพกว่า 200 ชีวิต ซึ่งสูญหายไปก่อนหน้านี้เป็นเวลากว่า 1 สัปดาห์แล้ว โดยเจ้าหน้าที่พบเรือลำดังกล่าวในทะเลห่างจากหมู่เกาะคานารี (Canary Islands) ออกไปทางตะวันตกเฉียงใต้ราว 130 กิโลเมตร 

หน่วยยามฝั่งของสเปนระบุว่า เจ้าหน้าที่ได้รับความช่วยเหลือจากเรือคอนเทนเนอร์ และเรือประมงลำนี้กำลังมุ่งหน้าไปยังเกาะกรันกานาเรีย (Gran Canaria) ของสเปน

เจ้าหน้าที่ช่วยเหลือลูกเรือได้ทั้งสิ้น 86 คนด้วยกัน ประกอบไปด้วยผู้ชาย 80 คน และผู้หญิง 6 คน แต่ยังไม่แน่ชัดว่าเจ้าหน้าที่สามารถช่วยผู้โดยสารทั้งหมดของเรือลำดังกล่าวได้แล้วหรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้มีข้อมูลประเมินว่าผู้โดยสารบนเรือมีทั้งหมดราว 200 คน ซึ่งในจำนวนดังกล่าวเป็นเด็กหลายคนด้วยกัน

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้มีเรือผู้อพยพที่สูญหายทั้งหมด 3 ลำด้วยกัน แต่ขณะนี้เจ้าหน้าที่ค้นพบเรือเพียงแค่ลำเดียวเท่านั้น โดยยังไม่ทราบชะตากรรมของเรืออีก 2 ลำ เนื่องจากรายละเอียดข้อมูลเรือมีค่อนข้างจำกัด โดยเจ้าหน้าที่จาก Walking Borders ซึ่งเป็นองค์กรช่วยเหลือผู้อพยพ เปิดเผยกับ BBC ว่า เรือลำแรกบรรทุกผู้โดยสารประมาณ 65 คน และลำที่ 2 มีผู้โดยสารสูงสุดที่ราว 60 คน

Walking Borders ระบุว่า มีการคาดการณ์ว่าเรือทั้งสองลำเดินทางออกจากเซเนกัลเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน หรือ 4 วันก่อนหน้าเรือลำที่ถูกค้นพบจะออกเดินทางจากเมืองกาฟูน์ติน (Kafountine) ตอนใต้ของเซเนกัล ซึ่งมีระยะห่างประมาณ 1,700 กิโลเมตรจากเกาะเตเนริเฟ (Tenerife) เกาะที่ใหญ่ที่สุดในหมู่เกาะคานารี 

เหตุการณ์น่าสลดใจนี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากที่โลกเพิ่งเผชิญเหตุการณ์เรือผู้ลี้ภัยล่มนอกชายฝั่งกรีซ นับเป็นหนึ่งในโศกนาฏกรรมทางเรือของผู้ลี้ภัยครั้งรุนแรงที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์ โดยมีรายงานยืนยันว่ามีผู้ที่จมน้ำเสียชีวิตอย่างน้อย 78 คน อย่างไรก็ตาม องค์การสหประชาชาติ (UN) ยังคงยืนยันว่ามีผู้สูญหายมากกว่า 500 คนจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น

อนึ่ง การเดินเรือจากแอฟริกาตะวันตกไปยังหมู่เกาะคานารีเป็นหนึ่งในเส้นทางที่อันตรายที่สุดสำหรับผู้อพยพ และความอันตรายยิ่งทวีคูณเมื่อผู้ลี้ภัยมักเดินทางด้วยเรือประมง ซึ่งบอบบางและเสี่ยงอับปางได้ง่ายจากสภาพอากาศอันโหดร้ายของมหาสมุทรแอตแลนติก

เมื่อปี 2022 เครือข่ายสหประชาชาติว่าด้วยการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM) ระบุว่า มีผู้อพยพที่พยายามเดินทางมายังหมู่เกาะของสเปนเสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 559 คน ขณะที่ตัวเลขผู้เสียชีวิตจากกรณีเดียวกันในปี 2021 อยู่ที่อย่างน้อย 1,126 คน 

อย่างไรก็ตาม IOM ระบุว่า ข้อมูลเกี่ยวกับตัวเลขผู้ลี้ภัยจากแอฟริกาตะวันตกนั้นมีน้อยมาก และบ่อยครั้งที่ข้อมูลเกี่ยวกับเรืออับปางไม่ถูกรายงาน โดยผู้ลี้ภัยส่วนใหญ่มักมาจากโมร็อกโก มาลี เซเนกัล ไอวอรีโคสต์ หรือผู้ที่อาศัยในเขตแอฟริกาทางตอนใต้ของทะเลทรายซาฮารา

สถิติจากกระทรวงมหาดไทยสเปนเปิดเผยว่า มีผู้ลี้ภัยจำนวน 15,682 คนที่เดินทางมายังหมู่เกาะคานารีได้สำเร็จในปี 2022 โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งลดลง 30% เมื่อเทียบกับปี 2021 นอกจากนี้ IOM ยังระบุว่า “แม้อัตราการเดินเรือที่สำเร็จจะลดลงปีต่อปี แต่อัตราการเดินเรือตามเส้นทางอันตรายนี้ก็ยังคงอยู่ในระดับสูงตั้งแต่ปี 2020 เมื่อเทียบกับช่วงปีที่ผ่านๆ มา”

แฟ้มภาพ: Salvamento Maritimo Facebook via BBC

อ้างอิง: 

• https://www.bbc.com/news/world-europe-66150788

The post เจ้าหน้าที่พบเรือผู้อพยพที่สูญหายใกล้หมู่เกาะคานารีของสเปนแล้ว ช่วยชีวิตได้ 86 คน appeared first on THE STANDARD.

เจ้าหน้าที่กู้ภัยของสเปนเร่งค้นหาเรือผู้อพยพที่สูญหายไปเป็นเวลากว่า 1 สัปดาห์ ในบริเวณน่านน้ำนอกหมู่เกาะคานารีของสเปน ซึ่งคาดว่าเรือลำดังกล่าวได้บรรทุกผู้อพยพชาวแอฟริกันไม่ต่ำกว่า 200 ชีวิต

Walking Borders ซึ่งเป็นองค์กรช่วยเหลือผู้อพยพ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน เรือประมงลำดังกล่าวได้เดินเรือออกมาจากเมืองกาฟูน์ติน (Kafountine) ตอนใต้ของเซเนกัล ซึ่งอยู่ห่างจากเกาะเตเนริเฟ (Tenerife) เกาะที่ใหญ่ที่สุดในหมู่เกาะคานารีของสเปนไปราว 1,700 กิโลเมตร โดยมุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทางซึ่งอยู่ที่หมู่เกาะคานารี

สื่อของสเปนอย่างสำนักข่าว Efe รายงานด้วยว่ามีเด็กจำนวนมากที่โดยสารไปกับเรือลำดังกล่าว ขณะที่หน่วยกู้ภัยทางทะเลของสเปนเปิดเผยว่าได้มีการส่งเครื่องบินเข้าร่วมปฏิบัติการค้นหาเรือผู้อพยพที่สูญหายด้วย

เรือประมงบรรทุกผู้อพยพกว่า 200 คนไม่ได้เป็นเพียงเรือเพียงลำเดียวที่สูญหาย เพราะมีรายงานด้วยว่ามีเรือผู้อพยพอีก 2 ลำก็สูญหายด้วยเช่นเดียวกัน โดยเรือลำแรกบรรทุกผู้โดยสารประมาณ 65 คน และลำที่ 2 มีผู้โดยสารสูงสุดคาดว่าอยู่ที่ 60 คน ส่งผลให้ยอดรวมของผู้สูญหายจากเรือทั้ง 3 ลำพุ่งสูงมากกว่า 300 คน

เหตุการณ์น่าสลดใจนี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากที่โลกเพิ่งเผชิญเหตุการณ์เรือผู้ลี้ภัยล่มนอกชายฝั่งกรีซ นับเป็นหนึ่งในโศกนาฏกรรมทางเรือของผู้ลี้ภัยครั้งรุนแรงที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์ โดยมีรายงานยืนยันว่ามีผู้ที่จมน้ำเสียชีวิตอย่างน้อย 78 คน อย่างไรก็ตาม องค์การสหประชาชาติ (UN) ยังคงยืนยันว่ามีผู้สูญหายมากกว่า 500 คนจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น

อนึ่ง การเดินเรือจากแอฟริกาตะวันตกไปยังหมู่เกาะคานารีเป็นหนึ่งในเส้นทางที่อันตรายที่สุดสำหรับผู้อพยพ และความอันตรายยิ่งทวีคูณเมื่อผู้ลี้ภัยมักเดินทางด้วยเรือประมง ซึ่งบอบบางและเสี่ยงอับปางได้ง่ายจากสภาพอากาศอันโหดร้ายของมหาสมุทรแอตแลนติก

เมื่อปี 2022 ที่ผ่านมา สถิติระบุว่ามีผู้อพยพที่พยายามเดินทางมายังหมู่เกาะของสเปนเสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 559 คน ขณะที่ตัวเลขผู้เสียชีวิตจากกรณีเดียวกันในปี 2021 อยู่ที่อย่างน้อย 1,126 คน

เครือข่ายสหประชาชาติว่าด้วยการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM) ชี้ว่าจำนวนผู้ลี้ภัยที่เดินทางมาถึงจุดมุ่งหมายอย่างปลอดภัยในปี 2022 อยู่ที่ 15,682 คน ซึ่งลดลง 30% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยอิงข้อมูลจากกระทรวงมหาดไทยของสเปน

“แม้อัตราการเดินเรือที่สำเร็จจะลดลงปีต่อปี แต่อัตราการเดินเรือตามเส้นทางอันตรายนี้ก็ยังคงอยู่ในระดับสูงตั้งแต่ปี 2020 เมื่อเทียบกับช่วงปีที่ผ่านๆ มา” IOM ระบุ

ภาพ: Salvamento Maritimo / Facebook Via BBC

อ้างอิง:

• https://www.bbc.com/news/world-europe-66150788

The post เรือบรรทุกผู้อพยพกว่า 200 คนสูญหายใกล้น่านน้ำหมู่เกาะคานารีของสเปน ยังไม่ทราบชะตากรรม appeared first on THE STANDARD.