ภัทรดา มณี – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Mon, 20 May 2024 06:49:18 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 สว. เปิดซักฟอกรัฐบาลในรอบ 11 ปี รวม 6 ครั้งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย https://thestandard.co/senate-censure-debate-after-11-years/ Mon, 22 Jan 2024 08:28:22 +0000 https://thestandard.co/?p=890589

“เราจะพ้นหน้าที่แล้ว ในช่วง 3-4 เดือนที่เหลือ คิดว่าวุฒ […]

The post สว. เปิดซักฟอกรัฐบาลในรอบ 11 ปี รวม 6 ครั้งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>

“เราจะพ้นหน้าที่แล้ว ในช่วง 3-4 เดือนที่เหลือ คิดว่าวุฒิสภาจะได้ทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ต่อประชาชน” คือถ้อยแถลงของ เสรี สุวรรณภานนท์ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา และเพื่อน สว. จำนวน 98 คน ร่วมลงชื่อเพื่อยื่นญัตติอภิปรายทั่วไปคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 153 ต่อ พรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา

 

การยื่นอภิปรายฯ ครั้งนี้ พบว่าข้อมูลจากคลังสารสนเทศของสถาบันนิติบัญญัติ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภาได้ใช้สิทธิขอเปิดอภิปรายทั่วไปรัฐบาลเพียง 6 ครั้ง คือ ในปี 2551, 2552, 2553, 2555, 2566 และล่าสุด 2567

 

อย่างไรก็ตาม ตลอดการบริหารราชการแผ่นดินปี 2562-2566 ในรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา สว. ไม่ได้มีการยื่นญัตติขออภิปรายทั่วไปสักครั้งเดียว ทำให้การยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปคณะรัฐมนตรีโดยไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 153 ครั้งนี้เกิดขึ้นในรอบเกือบ 11 ปี

 

 

ภาพประกอบ: พรวลี จ้วงพุฒซา

The post สว. เปิดซักฟอกรัฐบาลในรอบ 11 ปี รวม 6 ครั้งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
98 สว. ขอทำภารกิจส่งท้าย ยื่นซักฟอก ครม. เศรษฐา เปิดอภิปรายรัฐบาลในรอบ 11 ปี https://thestandard.co/senators-final-mission/ Mon, 22 Jan 2024 04:53:25 +0000 https://thestandard.co/?p=890508

วันนี้ (22 มกราคม) ที่รัฐสภา เสรี สุวรรณภานนท์ สมาชิกวุ […]

The post 98 สว. ขอทำภารกิจส่งท้าย ยื่นซักฟอก ครม. เศรษฐา เปิดอภิปรายรัฐบาลในรอบ 11 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันนี้ (22 มกราคม) ที่รัฐสภา เสรี สุวรรณภานนท์ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา พร้อมด้วย สว. เช่น สมชาย แสวงการ, ดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม, เฉลิมชัย เฟื่องคอน, ว่าที่ ร.ต. วงศ์สยาม เพ็งพานิชภักดี และ กิตติศักดิ์ รัตนวราหะ ที่ร่วมลงชื่อในญัตติจำนวน 98 คน เข้ายื่นญัตติอภิปรายทั่วไปคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 153 ยื่นต่อ พรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา

 

เสรี สุวรรณภานนท์ ในฐานะแกนนำ สว. คนสำคัญ ได้แถลงต่อหน้าสื่อมวลชนว่า สว. จำนวน 98 คน ขอยื่นญัตติเปิดอภิปรายทั่วไปคณะรัฐมนตรีโดยไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 153 เกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน สำหรับเนื้อหาที่ต้องการชี้แจงนั้นเราเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน ยืนยันว่าการยื่นอภิปรายครั้งนี้ไม่ได้มีเจตนารมณ์ที่จะล้มรัฐบาลแต่อย่างใด แต่ 7 ประเด็นที่เสนอตลอด 4 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลควรจะเริ่มดำเนินการในสิ่งที่รัฐบาลได้หาเสียงและแถลงนโยบายต่อรัฐสภาไว้

 

เสรีกล่าวว่า หากถามว่าเหตุใดจึงเพิ่งมายื่นรัฐบาลชุดปัจจุบัน และไม่ใช่รัฐบาลชุดที่แล้ว รัฐบาลนี้กับรัฐบาลที่แล้วไม่ได้ต่างกันเท่าไร พรรคร่วมรัฐบาลส่วนใหญ่เป็นพรรคการเมืองเดิมจากรัฐบาลที่แล้ว และเราก็ไม่ได้ดูว่าใครเป็นนายกรัฐมนตรี ยืนยันว่าการยื่นอภิปรายครั้งนี้เป็นภารกิจสำคัญที่ สว. จะต้องทำ เชื่อว่าจะไม่ได้สร้างความเสียหาย แต่รัฐบาลกลับจะได้ประโยชน์ด้วยซ้ำ

 

“เราจะพ้นหน้าที่แล้ว ในช่วง 3-4 เดือนที่เหลือ คิดว่าวุฒิสภาจะได้ทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ต่อประชาชน” เสรีกล่าว

 

เสรีกล่าวถึงปัญหาสำคัญที่ทำให้จำเป็นต้องยื่นนั้นมีเรื่องเศรษฐกิจปากท้อง เราน่าจะแก้ปัญหาได้เร็วและดีกว่านี้ แต่ไปเสียเวลาอยู่กับการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตที่ทำได้ยาก มีอุปสรรคมาก เช่นเดียวกับเรื่องกระบวนการยุติธรรม หากรัฐบาลยังเลือกปฏิบัติ หาช่องทางเอื้อประโยชน์ จะเป็นปัญหาใหญ่ของบ้านเมือง ไม่จำเป็นต้องรอนาน

 

ขณะที่ประเด็นกระบวนการยุติธรรมจำเป็นต้องเปิดอภิปรายในช่วงเวลาก่อนที่ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะได้รับการพักโทษหรือไม่นั้น เสรีระบุว่า ไม่ได้เน้นตัวบุคคล เน้นที่ตัวหลักการ ไม่ขึ้นอยู่กับเปิดอภิปรายก่อนหรือหลัง สำคัญอยู่ที่จะยึดหลักกระบวนการยุติธรรมให้เป็นจริงได้มากเพียงไร ต้องสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนว่ากฎหมายต้องใช้กับทุกคนเท่าเทียมกัน

 

เสรียังเผยว่า ตั้งใจขอกรอบเวลาในการอภิปราย 2 วัน ส่วนจำนวนผู้อภิปรายอยู่ที่สมาชิกจะแสดงความจำนงชัดเจนแค่ไหน แต่ปัจจุบันนี้ก็มีลงชื่อมาเยอะแล้ว

 

รอสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาประสาน ครม. เคาะวันอภิปราย

 

ขณะที่ พรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา กล่าวว่า กระบวนการในการส่งหนังสือฉบับนี้ไปให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ซึ่งจะตรวจสอบข้อมูลที่ระบุมาว่าเข้าหลักเกณฑ์หรือไม่ และต้องประสานงานไปยัง ครม. ในการมาชี้แจงข้อเท็จจริง ส่วนจะเป็นเมื่อไรนั้นต้องให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาไปประสานงานกับ ครม. ว่าประสงค์จะมาชี้แจงในเวลาใดและใช้เวลาเท่าไร ซึ่งทางสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาจะต้องรายงานกลับมาที่ตนว่า ครม. มีความพร้อมหรือไม่ ดังนั้นกระบวนการจะเริ่มตั้งแต่วันนี้

 

พรเพชรกล่าวปฏิเสธว่าการยื่นอภิปรายครั้งนี้จะเป็นผลงานชิ้นโบแดงทิ้งทวนก่อนหมดสมัยหรือไม่ แต่ตนเองคิดว่าการทำงานของ สว. เป็นการทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ และถ้าสามารถรวบรวมรายชื่อเพื่อขอเปิดอภิปรายได้ก็ยังอยู่ในกรอบการดำเนินงานของรัฐสภา จึงไม่มีปัญหาอะไร

 

“จะโบแดงหรือโบขาวทุกคนก็จะตระหนักได้เอง ผมเข้าใจความประสงค์ของสมาชิกว่าต้องการทำให้เกิดประโยชน์” พรเพชรกล่าว

 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าคาดว่าจะได้อภิปรายในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคมนี้ใช่หรือไม่ พรเพชรกล่าวว่า เท่าที่ฟังมาอย่างไม่เป็นทางการ สมาชิกอยากได้ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ก็จะดูให้ว่าเหมาะสมหรือไม่ ส่วนขั้นตอนธุรการทางสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาจะจัดการให้ แต่เรื่องกรอบเวลา ตนกับผู้เสนอจะเป็นคนประสานงานกัน

 

7 ประเด็นเพื่อทางออกประเทศ

 

สำหรับ 7 ประเด็น สมาชิกวุฒิสภาทั้ง 98 คนจะยื่นอภิปรายเพื่อหาทางออกของประเทศ และจะเป็นประโยชน์ต่อการบริหารราชการแผ่นดิน

 

  1. ปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาปากท้องประชาชน เช่น การสร้างงาน สร้างอาชีพและรายได้ที่ยั่งยืนให้ประชาชน รวมถึงการแก้ปัญหาความยากจนที่ตั้งคำถามถึงแนวทางการทำงานของรัฐบาลอย่างเป็นรูปธรรม, สภาพปัญหาการทำนโยบายเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ที่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่สร้างภาระหนี้ให้ประชาชน, การแก้หนี้นอกระบบที่ไม่ได้มุ่งแก้ปัญหาต้นตอในระดับครัวเรือน, การฟื้นตัวของอุตสาหกรรมประมง และการสร้างรายได้จากทรัพยากรธรรมชาติ

 

  1. ปัญหาด้านกระบวนการยุติธรรมและการบังคับใช้กฎหมาย เช่น การปฏิบัติต่อผู้ต้องขังตามคำพิพากษาที่สะท้อนกระบวนการยุติธรรมสองมาตรฐาน, การทุจริตคอร์รัปชันและยาเสพติด, การลักลอบนำเข้าสินค้าปศุสัตว์, การเปลี่ยน ส.ป.ก. เป็นที่ดินเพื่อเกษตรกรที่เอื้อประโยชน์ให้นายทุนจะรับมืออย่างไร

 

  1. ปัญหาด้านพลังงาน เช่น การจัดการราคาค่าไฟฟ้า ก๊าซหุงต้ม และน้ำมัน, ปัญหากลุ่มทุนพลังงานที่มีอิทธิพลต่อการเมือง ส่งผลให้ประชาชนแบกรับภาระต้นทุนราคาเชื้อเพลิง และปัญหาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลกับประเทศเพื่อนบ้าน

 

  1. ปัญหาการศึกษาและสังคม เช่น การปฏิรูปการศึกษาผ่านร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ, การแก้ปัญหาหนี้สินครู, การจัดหลักสูตรการศึกษาให้ประชาชนเข้าใจในการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และปัญหาการดูแลผู้สูงวัย ผู้พิการ และผู้ด้อยโอกาส

 

  1. ปัญหาการต่างประเทศและท่องเที่ยว เช่น ปัญหาทุนจีนสีเทาที่กระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ, การไม่เลือกข้างความขัดแย้งของรัฐบาล และมาตรการการคุ้มครองความปลอดภัยให้นักท่องเที่ยว

 

  1. ปัญหาการแก้รัฐธรรมนูญ ที่ต้องอธิบายการดำเนินการโดยชอบด้วยกฎหมาย เพื่อประโยชน์ประชาชนและพัฒนาประเทศ

 

  1. ปัญหาการปฏิรูปประเทศ แนวทางของรัฐบาลต่อการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศ

 

สว. ยื่นซักฟอกรัฐบาลในรอบ 11 ปี

 

ข้อมูลจากคลังสารสนเทศของสถาบันนิติบัญญัติ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร พบว่าที่ผ่านมาวุฒิสภาได้ใช้สิทธิขอเปิดอภิปรายทั่วไปรัฐบาลเพียง 5 ครั้งเท่านั้น

 

 

อย่างไรก็ตาม พบว่าตลอดการบริหารราชการแผ่นดินในรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา 4 ปีที่ผ่านมา สว. ไม่ได้มีการยื่นญัตติขออภิปรายทั่วไปสักครั้งเดียว ทำให้การยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปคณะรัฐมนตรีโดยไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 153 ครั้งนี้เกิดขึ้นในรอบเกือบ 11 ปี

 

The post 98 สว. ขอทำภารกิจส่งท้าย ยื่นซักฟอก ครม. เศรษฐา เปิดอภิปรายรัฐบาลในรอบ 11 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
ย้อนรอย ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ กับเหตุผลที่ทนเจ็บเพื่อไปต่อ https://thestandard.co/key-messages-the-digital-wallet/ Thu, 18 Jan 2024 02:06:21 +0000 https://thestandard.co/?p=888987

‘ดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท’ นโยบายเติมเงินลงกระเป๋าประช […]

The post ย้อนรอย ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ กับเหตุผลที่ทนเจ็บเพื่อไปต่อ appeared first on THE STANDARD.

]]>

‘ดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท’ นโยบายเติมเงินลงกระเป๋าประชาชนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งระบบ คือนโยบายหลักของพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน

 

โครงการดิจิทัลวอลเล็ตถูกพูดถึงจนเป็นที่รับรู้และมีปฏิกิริยาของสังคม ‘ครั้งแรก’ ในงานปราศรัยใหญ่ของพรรคเพื่อไทย ที่ธันเดอร์โดม สเตเดียม เมืองทองธานี เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2566 โดย ‘เศรษฐา ทวีสิน’ หนึ่งในแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย

 


 

เศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย

เปิดตัวนโยบายโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทบนเวทีปราศรัยใหญ่ของพรรคเพื่อไทย

เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2566

 

ช่างภาพ: ฐานิส สุดโต

 


 

‘เศรษฐา’ อดีตผู้บริหารธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ กล่าวปราศรัยขณะนั้นว่า ตลอดชีวิตตนเองได้พบเจอกับความไม่เท่าเทียมทั้งทางฐานะและโอกาสที่ฝังลึกอยู่ในสังคมไทย ตนเองพยายามเข้าไปมีส่วนร่วมในการผลักดันความเท่าเทียมทางฐานะและโอกาสเสมอมา แต่ทางเดียวที่จะแก้ไขความเหลื่อมล้ำเหล่านี้ได้คือภาครัฐที่ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง เพื่อให้ลูกหลานได้มีสังคมและชีวิตที่ดีกว่า

 

แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทยจึงได้ประกาศขณะปราศรัยต่อหน้าคนกรุงเทพฯ หลายพันชีวิตว่า ในฐานะผู้นำประเทศไทยคนถัดไป เขาจะยกระดับเศรษฐกิจไทยด้วยการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพและทั่วถึง ด้วยการเติมเงิน ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ ให้คนไทยที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไปได้ใช้ซื้อของในชีวิตประจำวันจากร้านค้าในรัศมี 4 กิโลเมตร ตามที่อยู่บนบัตรประชาชน

 

“ผมขอประกาศ พรรคเพื่อไทยเราคิดใหญ่ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในชุมชนทั่วประเทศ เราจะเติมเงินดิจิทัลจำนวน 10,000 บาท” เศรษฐาประกาศบนเวทีด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่น 

 

หลังจากที่พรรคเพื่อไทยได้ประกาศเดินหน้าหาเสียงในการเลือกตั้ง 2566 ด้วยนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท มีทั้งเสียงที่ ‘เห็นด้วย’ และ ‘ไม่เห็นด้วย’ จากนักวิชาการและนักการเมือง 

 

‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียวของพรรค ได้แสดงความคิดเห็นว่า ไม่ขอวิพากษ์วิจารณ์ แต่เชื่อว่า ‘ประชาชนไม่ใช่ยาจก’ 

 

ขณะที่ ‘ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์’ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ก็มองว่า เมื่อได้ยินคำว่า 10,000 บาทก็มีความรู้สึกเหมือนมุกเดิมๆ ที่เคยทำมา เปลี่ยนจากกองทุนหมู่บ้านหมู่บ้านละ 1 ล้านบาทเป็นดิจิทัล 10,000 บาท

 

ทำให้ ‘เศรษฐา’ ต้องขนทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยออกแถลงการณ์ชี้แจงเป็นกรณีเร่งด่วนว่า การออกนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทนั้นเพราะเขาเชื่อว่า 8 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยบอบช้ำอย่างมาก ประชาชนรายได้ลด-รายจ่ายเพิ่ม เปรียบเหมือนอยู่ในภาวะซึมลึก ซึมยาว ซึมนาน จึงต้องมีนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 

 

“ดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทเป็นการกระตุกเศรษฐกิจให้คนไข้ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมาฟื้นลุกขึ้นมายืนได้ หากพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งได้จัดตั้งรัฐบาล นโยบายดิจิทัลวอลเล็ตจะดำเนินการทันที” เศรษฐากล่าว 

 

จากนั้น ‘สนธิญา สวัสดี’ อดีตที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ได้ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อขอให้ตรวจสอบนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทของพรรคเพื่อไทยว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ ปี 2560 หรือไม่ โดยอาศัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 224 เพื่อให้ กกต. ได้พิจารณาวินิจฉัยตรวจสอบตามมาตรา 244 (5) 

 

เนื่องจากทุกพรรคการเมืองที่จะเสนอนโยบายจะต้องชี้แจงเงินที่มา ความเสี่ยง และสิ่งที่จะได้รับผลกระทบจากโครงการนั้นๆ และเมื่อใดที่นโยบายไม่สามารถทำได้จริง เท่ากับหลอกลวงเพื่อให้ได้คะแนนนิยม จะนำไปสู่ความผิดตามกฎหมายมาตรา 92 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง มีสิทธิที่จะถูกยุบพรรคได้

 

“ไม่อยากเห็นประเทศไทยเหมือนประเทศเวเนซุเอลา ที่ทำนโยบายประชานิยมจนทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ” สนธิญากล่าว

 


 

เศรษฐา ทวีสิน และ แพทองธาร ชินวัตร สองแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยแกนนำพรรค

ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนระหว่างติดตามผลการนับคะแนนเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการ 

เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 

 

ช่างภาพ: ชาติกล้า สำเนียงแจ่ม

 


 

เดือนพฤษภาคม 2566 พรรคเพื่อไทยแพ้การเลือกตั้งในรอบสองทศวรรษ ตอนนั้นขณะที่พรรคก้าวไกลเดินหน้าเจรจาหาเสียงเพื่อจัดตั้งรัฐบาล นโยบายดิจิทัลวอลเล็ตก็ยังเป็นหนึ่งในนโยบายที่ถูกสังคมจับตามองว่าจะถูกสานต่อหรือไม่

 

ขณะเดียวกัน ที่ประชุม กกต. ได้พิจารณาไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย กรณีขอให้ตรวจสอบนโยบายหาเสียงกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาทของพรรคเพื่อไทยว่าเข้าข่ายสัญญาว่าจะให้ และหลอกลวงให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัครตามมาตรา 73 (1) (5) ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. 2561 หรือไม่ 

 

ทั้งนี้ กกต. เห็นว่ากรณีดังกล่าวเป็นนโยบายที่พรรคการเมืองใช้หาเสียงเมื่อได้เป็นรัฐบาลแล้ว จึงไม่อยู่ในข่ายฝ่าฝืนกฎหมายเลือกตั้ง จึงมีมติยกคำร้อง

 

เดือนมิถุนายน 2566 ‘เผ่าภูมิ โรจนสกุล’ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ในฐานะกรรมการเลขานุการและโฆษกคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย ได้แถลงว่า พรรคเพื่อไทย ‘ต้องพับ’ นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต เนื่องจากนโยบายดังกล่าวต้องใช้งบประมาณกว่า 5.6 แสนล้านบาท ขณะที่พรรคก้าวไกลในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาลต้องใช้เงินในปริมาณที่ใกล้เคียงกันสำหรับนโยบายด้านสวัสดิการเช่นกัน

 

เดือนกรกฎาคม 2566 หลังจากพรรคก้าวไกลไม่สามารถส่ง ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ เป็นนายกรัฐมนตรี และจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ จึงได้ส่งไม้ต่อให้พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

 

เดือนสิงหาคม 2566 พรรคเพื่อไทยยืนยันอย่างเป็นทางการว่า ‘จะเดินหน้า’ นโยบายดิจิทัลวอลเล็ตต่อไปแน่นอน ขณะนั้นได้คาดการณ์ว่าประชาชนจะได้เงินดิจิทัลวอลเล็ตในช่วงต้นปี 2567 ประมาณเดือนมกราคม หรือเดือนกุมภาพันธ์

 

เมื่อรัฐบาลออก ‘ยืนยัน’ ว่าจะสานต่อนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตให้ถึงฝัน ขณะเดียวกันก็ถูกตั้งคำถามถึง ‘เรื่องความเป็นไปได้’ จากกลุ่มบุคคลที่คัดค้านและไม่เห็นด้วยกับนโยบายดังกล่าว

 

เนื่องจากโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเป็นนโยบายที่ใช้งบประมาณค่อนข้างสูง และรัฐบาลยังไม่ได้แจกแจงถึงแหล่งที่มาของงบประมาณ แต่ให้ความมั่นใจเพียงอย่างเดียวว่าจะไม่มีการกู้เงิน

 


 

เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี 

ขณะกำลังสนทนากับ เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย

ในงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2023 

 


 

เดือนกันยายน 2566 เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้แสดง ‘ความกังวลใจ’ เกี่ยวกับแนวทางการดำเนินนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาล โดยมองว่าแม้ตัวเลข GDP ในช่วงครึ่งปีแรกของไทยอาจดูไม่ค่อยสวยนัก แต่การบริโภคภาคเอกชนยังขยายตัวได้ดี ซึ่งสะท้อนว่าการบริโภคไม่ใช่หมวดที่จำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจในเวลานี้ 

 

ผู้ว่าการ ธปท. มองว่า การแจกเงินเป็นไปแบบเจาะจงเป้าหมายเฉพาะกลุ่ม หรือ Targeted ก็จะช่วยประหยัดงบประมาณได้มากกว่าการแจกแบบวงกว้าง เพราะไม่ใช่ทุกคนต้องการเงิน 10,000 บาท ขณะเดียวกันก็ ‘ไม่เห็นด้วย’ กับการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้เป็น Means of Payment 

 

เดือนตุลาคม 2566 นักวิชาการและคณาจารย์เศรษฐศาสตร์ระดับแถวหน้าของประเทศไทยจำนวน 99 คน เช่น วิรไท สันติประภพ, ธาริษา วัฒนเกส อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกแถลงการณ์ร่วมเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต พร้อมยก ‘8 เหตุผล’ ที่มองว่าเป็นนโยบายที่ ‘ได้ไม่คุ้มเสีย’

 

  1. เศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในภาวะฟื้นตัว โดยสำนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวประมาณ 2.8% ในปี 2566 และขยายตัว 3.5% ในปี 2567 จึงไม่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินจำนวนมากเพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ผ่านมามีการบริโภคส่วนบุคคลเป็นตัวจักรสำคัญ 

 

นอกจากนี้ การกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศอาจทำให้เกิดเงินเฟ้อสูงขึ้นมาอีก หลังจากเงินเฟ้อได้ลดลงจาก 6.1% มาอยู่ที่ 2.9% ในปีนี้ ท่ามกลางราคาพลังงานที่มีแนวโน้มสูงขึ้นในระยะหลัง การกระตุ้นการบริโภคช่วงนี้อาจทำให้เงินเฟ้อคาดการณ์ (Inflation Expectation) สูงขึ้น นำไปสู่สภาวะขึ้นดอกเบี้ยในที่สุด

 

  1. เงินงบประมาณของรัฐมีจำกัดย่อมมีค่าเสียโอกาส การใช้เงินจำนวนมากถึง 5.6 แสนล้านบาทอาจทำให้รัฐเสียโอกาสการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ในการสร้าง Digital Infrastructure หรือการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ล้วนสร้างศักยภาพในการเจริญเติบโตในระยะยาว แทนการใช้เงินเพื่อการกระตุ้นการบริโภคระยะสั้นๆ ซึ่งไม่สมเหตุสมผลต่อการสร้างภาระหนี้สาธารณะให้เป็นภาระแก่คนรุ่นต่อไป ค่าเสียโอกาสสำคัญคือการใช้เงินสร้างงานเพื่อสร้างรายได้ให้ประชาชน

 

  1. การกระตุ้นเศรษฐกิจให้รายได้ประชาชาติ (GDP) ขยายตัว โดยรัฐแจกเงิน 5.6 แสนล้านบาทเข้าไปในระบบเป็นการคาดหวังเกินจริง เพราะปัจจุบันข้อมูลเชิงประจักษ์จากงานวิจัยทำให้นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่า ตัวทวีคูณทางการคลัง (Fiscal Multiplier) ที่เกิดจากการใช้จ่ายของรัฐในลักษณะเงินโอนหรือการแจกเงินมีค่าต่ำกว่า 1 และต่ำกว่าตัวทวีคูณทางการคลังสำหรับการใช้จ่ายโดยตรงและการลงทุนของภาครัฐ

 

การที่ผู้กำหนดนโยบายหวังว่านโยบายนี้จะกระตุ้นเศรษฐกิจจึงเป็นสิ่งเลื่อนลอย ไม่มีใครเสกเงินได้ ไม่มีเงินงอกจากต้นไม้ ไม่มีเงินที่ลอยมาจากฟ้า ไม่ว่าจะแอบซ่อนมาในรูปใดก็ตาม สุดท้ายประชาชนจะต้องจ่ายคืนเสมอ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะจ่ายภาษีเพิ่มขึ้น หรือราคาสินค้าแพงขึ้นเพราะเงินเฟ้อ อันเนื่องจากการเพิ่มปริมาณเงิน

 

  1. ในวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้น เริ่มตั้งแต่ปี 2565 เพราะเงินเฟ้อสูงขึ้นมาก การก่อหนี้จำนวนมาก ไม่ว่ารัฐบาลจะออกพันธบัตรหรือกู้เงินจากรัฐวิสาหกิจ หรือกู้สถาบันการเงินของภาครัฐ ล้วนแต่จะทำให้รัฐบาลและคนทั้งประเทศต้องเผชิญกับอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น 

 

หนี้สาธารณะของรัฐปัจจุบัน 10.1 ล้านล้านบาท หรือ 61.6% ของ GDP ต้องมีภาระจ่ายดอกเบี้ยสูงขึ้นในยามที่ต้องชำระคืนหรือกู้ใหม่ จึงมีผลต่อภาระเงินงบประมาณของรัฐในแต่ละปี โดยยังไม่นับเงินค่าดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจากการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตคนละ 10,000 บาทนี้ด้วย

 

  1. ในช่วงที่โลกเผชิญกับวิกฤตโรคระบาดและภาวะเศรษฐกิจถดถอย รัฐบาลแทบทุกประเทศต่างจำเป็นต้องขาดดุลการคลังและสร้างหนี้จำนวนมากเพื่อใช้จ่ายทางด้านสาธารณสุข กระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิดและภาวะเศรษฐกิจถดถอย หลายประเทศได้แสดงเจตนารมณ์ที่ฉลาดรอบคอบ โดยลดการขาดดุลภาครัฐและหนี้สาธารณะลง (Fiscal Consolidation) เพื่อสร้าง ‘พื้นที่ว่างทางการคลัง’ (Fiscal Space) เอาไว้รองรับวิกฤตเศรษฐกิจในอนาคต 

 

นโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทดูจะสวนทางกับสิ่งที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทยมีอัตราส่วนรายรับจากภาษีเพียง 13.7% ของรายได้ประชาชาติ (GDP) ถือว่าต่ำกว่าประเทศอื่นๆ มาก การทำนโยบายการคลังโดยไม่รอบคอบระมัดระวังและไม่คำนึงถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้นในอนาคตยังจะส่งผลต่ออันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ของประเทศ ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการกู้เงินของทั้งภาครัฐบาลและภาคเอกชนไทยสูงขึ้นกว่าที่ควรจะเป็นด้วย

 

  1. การแจกเงินคนละ 10,000 บาทให้ทุกคนที่อายุเกิน 16 ปี เป็นนโยบายที่สร้างความไม่เป็นธรรมในสังคมอย่างยิ่ง เศรษฐีและมหาเศรษฐีที่อายุเกิน 16 ปีล้วนได้รับเงินช่วยเหลือทั้งๆ ที่ไม่มีความจำเป็น

 

  1. เมื่อประเทศเข้าสู่สังคมสูงวัย เช่น ประเทศไทย การเตรียมตัวทางด้านการคลังเป็นสิ่งจำเป็น ขณะที่จำนวนคนในวัยทำงานลดลง แต่สัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ภาระการใช้จ่ายทางด้านสวัสดิการและสาธารณสุขจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ผู้บริหารประเทศที่มองการณ์ไกลจึงควรใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า รวมถึงรักษาวินัยและเสถียรภาพทางด้านการคลังอย่างเคร่งครัดด้วยเหตุผลต่างๆ ข้างต้น

 

  1. ระบบบล็อกเชนปกติต้องทำการตรวจสอบความถูกต้องของทุกธุรกรรมโดยผู้ใช้ทุกคนที่เกี่ยวข้อง ข้อดีคือทำให้ไม่สามารถฉ้อฉลข้อมูลได้ ขณะเดียวกันก็เป็นจุดตายของระบบด้วย เพราะแต่ละธุรกรรมจะต้องใช้เวลาเฉลี่ยในการตรวจสอบ 1-1.5 ชั่วโมงต่อธุรกรรม ยิ่งใช้เวลามากขึ้น เมื่อจำนวนธุรกรรมและผู้ใช้เพิ่มขึ้น เวลาที่ใช้ก็จะยิ่งเพิ่มเป็นทวีคูณ จึงแทบจะเป็นไปไม่ได้ในการเอามาใช้กับระบบซื้อ-ขายตามปกติ

 

จากนั้น ‘วิรังรอง ทัพพะรังสี’ ประธานเครือข่ายมหาวิทยาลัยเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย ได้เชิญชวนประชาชนร่วมลงชื่อคัดค้านนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาล เพื่อส่งต่อให้ผู้ตรวจการแผ่นดินใช้อำนาจส่งเรื่องไปยังศาลปกครองหรือศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัยว่าการกระทำดังกล่าวของรัฐบาลขัดต่อพระราชบัญญัติเงินตรา พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ บทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และบทบัญญัติในส่วนของหน้าที่ของรัฐหรือไม่

 

ตามด้วย ‘นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม’ ประธานพรรคไทยภักดี ได้ยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้พิจารณาไต่สวนและมีความเห็นส่งศาลปกครอง เพื่อระงับโครงการดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาล 

 

“ต้องการขอให้ระงับยับยั้งโครงการนี้ เพราะหากยังเดินหน้าจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจอย่างใหญ่หลวง” นพ.วรงค์ กล่าว

 

ขณะเดียวกัน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตั้งคณะกรรมการ 31 คนตรวจสอบนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตด้วย 

 


 

(จากซ้าย) เผ่าภูมิ โรจนสกุล, ดนุชา พิชยนันท์, เฉลิมพล เพ็ญสูตร, 

เศรษฐา ทวีสิน (ยืน), 

จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์, ลวรณ แสงสนิท และ พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช 

ร่วมงานแถลงรายละเอียดนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท

เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2566 

 

ช่างภาพ: ฐานิส สุดโต

 


 

เดือนพฤศจิกายน 2566 นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง, พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี, ลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง, ดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, เฉลิมพล เพ็ญสูตร ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ และ เผ่าภูมิ โรจนสกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้แถลงรายละเอียดเกี่ยวกับการเติมเงินให้ประชาชนในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตว่าใช้งบประมาณทั้งสิ้น 600,000 ล้านบาท 

 

นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า เตรียมเสนอร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้านบาทเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร เพื่อแจกเป็นเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทให้แก่คนไทยที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป รวม 50 ล้านคน เริ่มเดือนพฤษภาคม 2567

 

“ขอฝากนโยบายนี้ให้ประชาชนทุกคนร่วมกันใช้สิทธิด้วยความภาคภูมิใจ…” เศรษฐากล่าว

 

เมื่อรัฐบาลได้แถลงอย่างเป็นทางการว่านโยบายดิจิทัลวอลเล็ตจะมีการออก พ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้านบาทนั้น กลุ่มบุคคลที่คัดค้านนโยบายมองว่า ‘มีความสุ่มเสี่ยง’ เหมือนกับกรณี พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญตีตกเนื่องจากเห็นว่า ‘ไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน’

 

‘คำนูณ สิทธิสมาน’ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) แสดงความคิดเห็นว่า พ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้านบาทเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น ตนเห็นว่าไม่ขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 140 หาก พ.ร.บ. นั้นเป็นไปตามเงื่อนไข พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 มาตรา 53

 

แต่การตรากฎหมายพิเศษเพื่อกู้เงินตามมาตรา 53 ของกฎหมายดังกล่าวไม่ใช่ทำได้ทุกกรณี แต่มีเงื่อนไขกำกับไว้ให้ทำได้เฉพาะกรณีที่มีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการโดยเร่งด่วนและอย่างต่อเนื่อง เพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตของประเทศ โดยไม่อาจตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีได้ทัน แต่นโยบายดิจิทัลวอลเล็ตกลับไม่มีความจำเป็นเช่นนั้น  

 

ขณะที่ ‘ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล’ ประธานกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แสดงความคิดเห็นว่า พ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้านบาทสำหรับนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตไม่สามารถทำได้ โครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอาศัยแหล่งเงินกู้ต่างประเทศ และไม่มีความจำเป็นจะต้องนำเงินไปใช้ในต่างประเทศ 

 

‘ศรีสุวรรณ จรรยา’ ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน เข้ายื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อขอให้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการออก พ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้านบาทขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 140 ประกอบมาตรา 53 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 หรือไม่ 

 


 

ธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์ 

 


 

อย่างไรก็ตาม ‘ธนินท์ เจียรวนนท์’ ประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์ แสดงความเห็นถึงนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทว่า ‘เห็นด้วย’ และ ‘สนับสนุน’ โดยเชื่อว่าจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมทั้งเชื่อมั่นว่าประเทศไทยภายใต้การนำของรัฐบาลชุดใหม่จะต้องเจริญรุ่งเรืองแน่นอน

 

เดือนธันวาคม 2566 จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ได้ส่งความเห็นเกี่ยวกับการออกพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กู้เงินในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกาเรียบร้อยแล้ว ซึ่งกฤษฎีกาจะส่งกลับมาในช่วงต้นปี 2567 ว่า ‘ทำได้’ หรือ ‘ทำไม่ได้’ พร้อมยืนยันว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตยังอยู่ในกรอบเวลาเดิม คือช่วงเดือนพฤษภาคม 2567 เหมือนเดิม 

 

เดือนมกราคม 2566 ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ‘ขอเลื่อน’ การประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ครั้งที่ 1/2567 ออกไปก่อน เนื่องจากได้รับหนังสือจากกฤษฎีกา และจะมีข้อเสนอแนะจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ด้วย 

 

สำหรับเอกสาร ‘ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล กรณีการเติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต’ ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หลุดเผยแพร่ผ่านสื่อออนไลน์ ซึ่งมีสาระสำคัญ ดังนี้

 

ในการดำเนินโครงการฯ รัฐบาลต้องศึกษาและวิเคราะห์ให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมว่าผู้ได้รับประโยชน์จากโครงการฯ จะไม่ตกแก่พรรคการเมือง หรือบุคคลรายใดรายหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง 

 

โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีศักยภาพมากกว่าผู้ประกอบการรายย่อย และบุคคลที่มิได้เป็นคนจนหรือมิใช่กลุ่มเปราะบางที่แท้จริง พร้อมกับต้องมีขั้นตอนหรือวิธีการที่เป็นรูปธรรมชัดเจน เพื่อให้โครงการฯ สามารถกระจายการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างทั่วถึง


 

ในการหาเสียงของพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ต่อเมื่อพรรคเพื่อไทยได้จัดตั้งรัฐบาลและได้มีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2566 สำหรับโครงการดังกล่าวมีความแตกต่างกัน ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ควรดำเนินการตรวจสอบว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ และนำ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาประกอบการพิจารณา มิฉะนั้นจะเป็นบรรทัดฐานสำหรับพรรคการเมืองที่สามารถหาเสียงไว้อย่างไรก็ได้ เมื่อได้รับเลือกตั้งแล้วไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตาม 


 

ขณะเดียวกัน จากตัวเลขภาวะเศรษฐกิจของหน่วยงานต่างๆ ที่ได้จากการศึกษา ตัวทวีคูณทางการคลัง รวมทั้งตัวบ่งชี้ภาวะวิกฤตของธนาคารโลกและ IMF ปรากฏว่าอัตราความเจริญเติบโตของประเทศไทยยังไม่เข้าข่ายประสบภาวะวิกฤตเศรษฐกิจแต่อย่างใด เพียงแต่ชะลอตัวเท่านั้น 

 

ดังนั้น ในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืนจำเป็นต้องพิจารณาโครงสร้างทางเศรษฐกิจ เช่น การบริโภค ภาคเอกชน อัตราการว่างงาน การใช้จ่าย การลงทุนภาครัฐ และการเพิ่มทักษะให้แก่แรงงาน เป็นต้น

 

การดำเนินนโยบายของรัฐบาลที่มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ อาทิ โครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต จะต้องคำนึงถึงความคุ้มค่าและความจำเป็นในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตลอดจนผลกระทบและภาระทางการเงินการคลังในอนาคต ภายใต้หลักธรรมาภิบาล 4 ด้าน คือ ความโปร่งใส การถ่วงดุล การรักษาความมั่นคงของระบบการคลัง และความคล่องตัว 

 

โครงการนี้มีผลเสียมากกว่าผลดี กล่าวคือ ต้องกู้เงินจำนวน 5 แสนล้านบาท ในขณะที่ตัวทวีคูณทางการคลังมีเพียง 0.4 การกู้เงินเป็นการสร้างภาระหนี้แก่รัฐบาลและประชาชนในระยะยาว ซึ่งจะต้องตั้งงบประมาณในการชำระหนี้จำนวนนี้เป็นระยะเวลา 4-5 ปี กระทบต่อตัวเลขการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐ 


 

การดำเนินโครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต คณะรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรพิจารณาประเด็นความเสี่ยงด้านกฎหมายอย่างรอบคอบ ประกอบด้วยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 (มาตรา 172), พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 (มาตรา 53), พ.ร.บ.เงินคงคลัง พ.ศ. 2491 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (มาตรา 4, 5, 6) ตลอดจนกฎหมายคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญและระเบียบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินโครงการเกิดประสิทธิภาพสูงสุดและเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย  

 

คณะรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีการประเมินความเสี่ยงในการดำเนินโครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ตอย่างรอบด้าน โดยกำหนดแนวทางหรือมาตรการในการบริหารความเสี่ยงและการป้องกันการทุจริต 

 

ตลอดจนมีกระบวนการในการตรวจสอบทั้งก่อน ระหว่าง และหลังจากการดำเนินโครงการฯ ซึ่งอาจพิจารณานำข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เรื่องการบูรณาการและป้องกันการทุจริตของโครงการภาครัฐ (โดยการติดตามประเมินผลการดำเนินงาน) ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2553 มาประยุกต์ใช้ เพื่อให้โครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ตสามารถดำเนินการได้อย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ และเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติอย่างแท้จริง 


 

การดำเนินนโยบายของรัฐบาลที่มีวัตถุประสงค์ในการช่วยเหลือประชาชนภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจที่ไม่เข้าขั้นวิกฤต ควรพิจารณากลุ่มประชาชนเป้าหมายที่เปราะบางที่สุดที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างแท้จริง ภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 และ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 อาทิ กลุ่มที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน

 

ในการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้กับโครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต คณะรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรพิจารณาถึงความจำเป็นและความเหมาะสม ตลอดจนระยะเวลาและงบประมาณที่ต้องใช้ในการพัฒนาระบบ เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และระยะเวลาในการดำเนินโครงการ ซึ่งเป็นการแจกเงินเพียงครั้งเดียว โดยให้ใช้จ่ายภายใน 6 เดือน การพิจารณาใช้แอปพลิเคชันเป๋าตังจะเป็นประโยชน์และเหมาะสมกว่า 

 

ขณะที่ ศิริกัญญา ตันสกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่มีการเผยแพร่เอกสารของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เรื่องโครงการดิจิทัลวอลเล็ตว่า ตนเองคิดว่าเป็นคำแนะนำที่รัฐบาลอาจจะรับฟังเอาไว้ แต่ไม่จำเป็นต้องทำตาม เรื่องของการดำเนินนโยบายมันเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลโดยตรง 

 

ศิริกัญญายังกล่าวแนะนำรัฐบาลว่า อยากให้รัฐบาลอยู่นิ่งๆ อยากให้คิดให้ถี่ถ้วนอีกครั้งว่ามันมีโอกาสที่จะเป็นไปได้ด้วยวิธีการใดบ้าง ตอนที่หาเสียงเลือกตั้งยังไม่มีอำนาจรัฐ ยังไม่มีแขนขาที่เป็นข้าราชการ อาจจะยังคิดไม่ออกว่าต้องทำด้วยวิธีการใด แต่วันนี้มีข้าราชการคอยมาเป็นแขนขา คอยช่วยคิดให้แล้ว ก็อยากให้อยู่นิ่งๆ แล้วคิดก่อนว่าจะเดินหน้าอย่างไรได้บ้าง หรือจำเป็นจะต้องกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยวิธีการใด 

 


 

เศรษฐา ทวีสิน, แพทองธาร ชินวัตร และ ชัยเกษม นิติสิริ 

3 แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย และแกนนำพรรค

ที่มีฉากหลังเป็นป้ายหาเสียง ‘นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต’ 

ก่อนเข้าอาคารไอราวัตพัฒนา ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร 

เพื่อรับสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ 

เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2566

 

ภาพ: ฐานิส สุดโต

 


 

ขณะที่ จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์​ รัฐมนตรี​ช่วยว่าการ​กระทรวง​การคลัง​ แถลงยอมรับว่าเห็นเอกสารของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ที่หลุดออกมา และได้ดูเนื้อหาโดยละเอียดแล้ว ซึ่งถือว่าเขียนได้ชัดเจนและแรงพอสมควรในการคัดค้านการเดินหน้าโครงการนี้ รัฐบาลก็จะรับฟังเพื่อนำมาประกอบการพิจารณา 

 

ตอนนี้ยังไม่แน่ชัดว่าเป็นเอกสารของจริงที่จะส่งให้รัฐบาลหรือไม่ จึงต้องรอดูว่าคณะกรรมการชุดใหญ่ของ ป.ป.ช. จะมีมติส่งความเห็นมาให้รัฐบาลอย่างเป็นทางการเมื่อใด แต่ยืนยันว่ารัฐบาลมีหน้าที่รับฟังทุกความเห็น และต้องยอมรับว่าไม่มีใครเห็นพ้องต้องกันในทุกเรื่อง แต่อยากให้เห็นถึงความเดือดร้อนของประชาชน

 

“วันนี้ถ้าดูกรอบเวลาไม่น่าจะทันเดือนพฤษภาคม หากไม่ทันก็ต้องเรียนด้วยความเคารพ แต่รัฐบาลยืนยันว่าเราจะต้องเดินหน้านโยบายแจกเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ตต่อไป” จุลพันธ์กล่าว 

 

จุล​พันธ์กล่าวย้ำว่า ขณะนี้ตนเอง ‘ยังไม่เห็น’ โอกาสที่ต้องยกเลิกโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ขณะเดียวกันรัฐบาลชุดนี้ไม่ได้เป็นอนุบาลทางการเมือง มองเห็นและเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นว่าคืออะไร และพยายามทำทุกอย่างให้เป็นไปตามกรอบของกฎหมาย

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง: 


 

The post ย้อนรอย ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ กับเหตุผลที่ทนเจ็บเพื่อไปต่อ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทนายเสื้อแดง-งูเห่า-ทำเนียบรัฐบาล ฉากชีวิต ‘คารม’ ใต้ร่มเงาภูมิใจไทย https://thestandard.co/karom-phonphonklang/ Tue, 16 Jan 2024 03:29:08 +0000 https://thestandard.co/?p=888136 คารม พลพรกลาง

‘สส.งูเห่า’ คือคำครหาที่ คารม พลพรกลาง อดีต สส. พรรคก้า […]

The post ทนายเสื้อแดง-งูเห่า-ทำเนียบรัฐบาล ฉากชีวิต ‘คารม’ ใต้ร่มเงาภูมิใจไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
คารม พลพรกลาง

‘สส.งูเห่า’ คือคำครหาที่ คารม พลพรกลาง อดีต สส. พรรคก้าวไกล จากสภาชุดที่ 25 ถูกเพื่อนนักการเมืองและสื่อมวลชนตีตรามาโดยตลอด

 

คำว่า ‘งูเห่า’ เป็นคำศัพท์ทางการเมือง สำหรับเรียก สส. ที่ลงมติขัดแย้งกับมติของพรรคการเมืองต้นสังกัด เพื่อให้ได้ผลประโยชน์จากฝ่ายที่ลงคะแนนให้ ถูกเรียกครั้งแรกจากปากของ สมัคร สุนทรเวช ครั้งนั่งหัวหน้าพรรคประชากรไทย เปรียบตัวเองเป็นชาวนาที่ถูกงูเห่ากัดตามนิทานอีสป  

 

ก่อนยุบสภา 3 เดือน เพื่อก้าวสู่หนทางใหม่ในการเลือกตั้ง 2566 คารมร่วมกับเพื่อน สส. อีก 4 คนได้ทิ้งพรรคก้าวไกลมาลงสมัครรับเลือกตั้งภายใต้เสื้อสีน้ำเงินยี่ห้อภูมิใจไทย

 

แม้คารมจะไม่ได้เป็นผู้แทนฯ ตามที่หวัง แต่เขาคืออดีต สส.งูเห่า ที่รุ่งโรจน์ที่สุด เพราะได้รับโอกาสจาก อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้เป็น ‘โทรโข่งรัฐบาล’ ในโควตาพรรคภูมิใจไทย ได้เข้าใกล้ศูนย์กลางอำนาจการเมืองไทย (ทำเนียบรัฐบาล) มากที่สุด 

 

THE STANDARD เปิดใจชีวิตที่ไม่ง่ายของผู้ชายที่ชื่อ ‘คารม พลพรกลาง’ และบทบาทใหม่รองโฆษกรัฐบาล โควตาพรรคภูมิใจไทย ลมใต้ปีกตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล 

 

“พี่พูดอะไรก็ได้ ไม่มีปัญหาอะไร ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น พี่พูดได้ทุกเรื่อง พี่ผ่านศึกสงครามมาตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่จนถึงพรรคก้าวไกล ในบรรดาคนที่ย้ายจากพรรคก้าวไกลพี่ได้คะแนนสูงสุด (16,306 คะแนน) แม้พี่จะเป็น สส. บัญชีรายชื่อ มาลง สส. เขต นี่คือข้อพิสูจน์ว่าพี่ทำงานจริง และลบล้างทุกคำครหา ไม่อย่างนั้นจะมานั่งตำแหน่งนี้ (รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี) ไม่ได้” คารมกล่าวเปิดบทสนทนากับ THE STANDARD

 

 

ภาพ: ฐานิส สุดโต

 

 

คารม พลพรกลาง คือใคร

 

คารมเริ่มต้นเล่าชีวิตของตัวเองว่า ‘ใฝ่ฝัน’ อยากจะเป็นนักการเมืองตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก สมัยเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษา เนื่องจากได้ฟังการอภิปรายในสภาผ่านวิทยุทรานซิสเตอร์ ระหว่างที่เดินเท้าไปโรงเรียน ซึ่งจากบ้านห่างเกือบ 2 กิโลเมตร 

 

ครั้งหนึ่งเคยพูดกับพี่ชายว่า อยากเป็น สส. แต่พี่ชายตอบกลับมาว่า “เป็นไม่ได้หรอก” เพราะด้วยฐานะทางบ้านที่ไม่ค่อยดี ขณะเดียวกันจังหวัดร้อยเอ็ด ‘บ้านเกิด’ ของเขา ก็มีเจ้าของพื้นที่ที่เป็นบ้านใหญ่จากพรรคเพื่อไทย และเป็นผู้แทนฯ มาตั้งแต่ปี 2542 อยู่แล้ว

 

คารมเล่าต่อว่า ด้วยความที่ชื่นชอบการเมือง ตอนที่ก่อที่ตั้งพรรคไทยรักไทย ตอนนั้นเป็นแค่ทนายความธรรมดา ไม่ได้มีโปรไฟล์ ไม่มีความพร้อม มีแต่ความชอบงานการเมือง โดยนักการเมืองที่ชื่นชอบมากที่สุดคือ ชัชวาลย์ ชมภูแดง อดีต สส. ร้อยเอ็ด 5 สมัย จึงวิ่งเข้าไปสมัครสมาชิกพรรค จนได้เป็นสมาชิกลำดับประมาณ 2,000 

 

หนทางสู่เส้นทางการเมืองนั้น คารมบอกว่าในปี 2551 ได้รู้จักกับ พล.ต.ท. อำนวย นิ่มมะโน ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ขณะส่งลูกสาวไปโรงเรียน ที่กำลังหาทนายเพื่อทำหน้าที่ฟ้องกลุ่มพันธมิตร จากนั้นก็สู้กับพันธมิตรมาโดยตลอด จนได้เป็นทนายคนเสื้อแดงอย่างเต็มตัว

 

“ชีวิตทนายคนเสื้อแดงเหมือนกับถูกขีดไว้ เวลามีม็อบผมก็จะไปดูตลอด ตั้งแต่บุกบ้าน พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ หรือถ้าจะย้อนไปไกลกว่านั้น ช่วงที่รัฐบาล พล.อ. สุจินดา คราประยูร ผมก็ไป ชีวิตผมก็เหมือนสู้กับคนยึดอำนาจมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน”

 

ภาพ: ฐานิส สุดโต

 

 

คารมบอกว่า สิ่งที่เขาภูมิใจมากที่สุดจากการเป็น ‘ทนายเสื้อแดง’ คือเขาเป็นทนายคนเดียวที่ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เลือกไปศาลโลก (International Criminal Court (ICC) ที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ เพื่อไปให้การกับอัยการศาลโลกเกี่ยวกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของกลุ่มคนเสื้อแดง

 

เขาบอกอีกว่า คดีที่ทำส่วนใหญ่ที่เขาทำนั้นล้วนประสบความสำเร็จทั้งสิ้น ทำให้เขาเป็นที่รู้จักของแกนนำคนเสื้อแดง คนในพรรคไทยรักไทย หรือแม้แต่คนในพรรคเพื่อไทยเกือบทุกคน 

 

ขณะเดียวกัน การเป็นทนายของคนเสื้อแดงนั้น ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้รู้จักกับ ปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ และเลขาธิการคณะก้าวหน้าด้วย

 

 

 

พรรณิการ์ วานิช (ซ้าย) ปิยบุตร แสงกนกกุล และธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แถลงภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยไม่ยุบพรรคอนาคตใหม่

เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2563 

แฟ้มภาพ: ฐานิส สุดโต

 

 

ปี 2561 ตอนที่ก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ เป็นช่วงที่เริ่มอิ่มตัวจากการอาชีพทนาย และเริ่มมีความคิดที่จะเป็นนักการเมืองอีกครั้ง จึงโทรศัพท์ไปหาปิยบุตร และสมัครสมาชิกพรรคอนาคตใหม่ ในราคา 2,000 บาท พร้อมทั้งลงสมัครเป็นกรรมการภาคอีสานด้วย 

 

คารมบอกว่า เขาคิดมาตลอดว่าพรรคอนาคตใหม่เป็นพรรคที่เป็นประชาธิปไตย แต่ความจริงนั้นกลับ ‘ไม่ใช่’ อย่างที่เขาคิด พรรคอนาคตใหม่ได้วางตัวกรรมการภาคไว้แล้ว 

 

“อย่างภาคอีสานเขาก็วาง นาย ก ภาคนี้วาง นาย ข ไว้แล้ว” คารมเล่า 

 

หลังเสร็จสิ้นกระบวนการเลือกผู้สมัคร ปิยบุตรคือคนที่ต่อสายถึงเขาเป็นคนแรกว่าอยู่ สส. บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 26 เมื่อทราบลำดับแล้วก็ได้ต่อสายพูดคุยกับนักวิชาการที่สนิท หรือแม้แต่อดีตรัฐมนตรี ต่างบอกตรงกันว่า “ไม่ได้หรอก เต็มที่ 10 คนก็เก่งแล้ว”

 

แต่คารมกลับคิดว่าในพื้นที่แต่ละเขตนั้น พรรคอนาคตใหม่ต้องได้ 3,000 คะแนน หากได้ 3,000 คะแนน X 400 เขต อย่างไรคะแนนก็ถึงลำดับที่ 26 ของเขาอยู่แล้ว 

 

เมื่อได้เป็นผู้แทนฯ คารมเล่าว่าเขาเป็นคนเคารพกติกามาตลอด ชอบทำงาน ชอบพูด ชอบอภิปรายในสภา พอเนื้อหาลึกขึ้น หรืออภิปรายประเด็นหนักๆ ต้องมีคนตรวจสอบก่อน ไล่มาตั้งแต่อดีตหัวหน้าพรรค ก็รู้สึกว่าไม่ใช่ เมื่อทำงานไป สุดท้ายเริ่มเห็นความขัดแย้งภายในพรรค

 

 

คารม พรพลกลาง สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล 

ขณะกำลังอภิปรายญัตติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2563 

แฟ้มภาพ: ศวิตา พูลเสถียร

 

 

คารมบอกว่า เขาชัดเจนมาตลอดเรื่องการแก้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ปัญหาของเขาและพรรคนั้น สาเหตุที่แท้จริงไม่ได้เกิดเพราะกฎหมายมาตรา 112 แต่เกิดจากคนในพรรคคาดการณ์ว่า หากมีการยุบพรรคอนาคตใหม่ เขาจะทิ้งพรรค ไปหาพรรคอื่นมากกว่า

 

“วันนั้นหากย้อนเวลาได้ ผมว่าย้ายออกเลยดีที่สุด ไม่ต่างจากวันนี้เลย มีความสุขกว่านี้ สมบูรณ์แบบกว่านี้ และไม่มีใครว่าด้วย” คารมกล่าว 

 

วันนั้นหลังตัดสินใจว่าจะอยู่ต่อ เขาถูกเตะออกจากกลุ่มไลน์ของพรรค จากนั้นถูกโจมตีว่ามีสาเหตุจากแก้ 112 และโจมตีมาโดยตลอด 

 

“หลังๆ ถูกโจมตีหนักทำอะไรไม่ได้เลย จะอภิปรายไม่ไว้วางใจ เสนอผู้ใหญ่เขาก็ไม่เอา จึงเริ่มรู้ว่าก้าวไกลนี่เขามีเจ้าของ มีกลุ่ม ถึงแม้จะออกไปแล้ว เขาก็มีคนที่บริหารอยู่

 

“ตอนนั้นอยากไปอยู่พรรคอื่น ไม่ใช่พรรคภูมิใจไทย ที่มองพรรคชาติไทยพัฒนา และ พรรคพลังประชารัฐ โดยเฉพาะพรรคพลังประชารัฐที่ผู้ใหญ่มาขอไปอยู่เลย”

 

 

อนุทิน​ ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ซ้าย) 

คารม พลพรกลาง กำลังยกมือไหว้ ศักดิ์สยาม ชิดชอบ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย 

หลังสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรค เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2565

ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร

 

 

คารมบอกว่า การมาอยู่พรรคภูมิใจไทยของเขา เหมือน ‘ชีวิตถูกเบี่ยง’ มา พร้อมย้ำว่า อยู่ที่ไหนเต็มที่กับที่นั่น รักใครรักจริง ตรงไปตรงมา เป็นคนเดียวที่ถูกกล่าวหาว่า ‘หิวแสง’ เป็นหมู่บ้านตำบลกระสุนตก จนน้องๆ ที่ย้ายมาอยู่ด้วยกันไม่กล้าเดินตาม 

 

“ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้ใหญ่ในภูมิใจไทยจะมองอย่างไร แต่ผมมาด้วยความพร้อม ไปอยู่ที่ไหนที่ให้โอกาสเราทำงาน ก็ทำอย่างเต็มที่จนวันสุดท้าย” 

 

แม้จะแพ้การเลือกตั้ง ไม่ได้กลับมาเป็นผู้แทนอีก แต่คารมบอกว่าเขาได้อันดับ 2 ด้วย 16,306 คะแนน และกล้าพูดได้อย่างหนึ่งว่า สามารถเป็นคำพูดที่ถูกปรามาสไว้ตอนที่ลงเขตว่า ไม่มีทางได้คะแนนถึง 3,000 คะแนน

 

เพราะคำว่า ‘งูเห่า’ ทำให้แพ้เลือกตั้ง 

 

THE STANDARD จึงถามว่า “คิดหรือไม่ เพราะคำว่า ‘งูเห่า’ ทำให้แพ้เลือกตั้ง” คารมตอบออกมาอย่างรวดเร็วแบบไม่ต้องคิดว่า ‘คิด’ เพราะนี่คือสิ่งที่เป็นความรู้สึกของประชาชนเช่นกัน 

 

คารมกล่าวต่อว่า แต่จำนวนอดีต สส. ที่สอบตก ทั้งจากพรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่ พรรคก้าวไกล เมื่อเทียบคะแนนกับคนอื่น โดยเฉพาะคนที่มาจากพรรคอนาคตใหม่ ไม่ว่าจะย้ายตั้งแต่รอบแรกหรือย้ายแบบเขา เขาคืออดีต สส. ที่ได้คะแนนจากการเลือกตั้งสูงสุด 

 

“ผมก็ยังดีใจว่าเขาเลือกที่ตัวเรา เพราะเราไม่ได้มีอาวุธอะไรเหมือนเพื่อไทยที่ชนะเรา และอีกอย่างผมก็ชนะพรรคก้าวไกล 4,000 คะแนนกว่า”

 

ภาพ: ฐานิส สุดโต

 

 

คารมบอกอีกว่า การเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ตอนที่เป็น สส. บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ด้วยบัตรใบเดียว หากเขาอาศัยพรรคอย่างเดียวคะแนนจะไม่เป็นแบบนี้ นั่นแสดงว่าประชาชนเลือกเพราะผู้ชายที่ชื่อ คารม พลพรกลาง ด้วย

 

“ถึงได้บอกว่าชั่วโมงนี้บาดแผลของงูเห่าไม่อยากพูดถึง เพราะในชีวิตผมถ้าจะว่ากันตรงๆ ตั้งแต่เป็นทนายเสื้อแดง ทนาย นปช. และยืนในสังคมนี้เป็นข่าวมาเยอะแยะมากมาย ผมทำมาหมดแล้ว มีความรู้สึกว่าทุกอย่างในยุคนี้ต้องแคร์ความรู้สึกคน” 

 

คารมบอกว่า แม้อยากจะลบล้างคำว่าเป็น ‘งูเห่า’ ออกไปแค่ไหน แต่ก็ยังไม่สามารถทำได้ ตอนนี้ดีขึ้นมาแล้ว จึงตั้งใจว่าจะ ‘ทำงาน ทำงาน ทำงาน’ เพื่อลบคำว่างูเห่าให้ได้ แม้จะลบไม่หมดแต่ก็จะใช้ความพยายามลบออกให้ได้ 

 

อนาคตใหม่ ก้าวไกล และภูมิใจไทย

 

“ความสัมพันธ์ภายในพรรคอนาคตใหม่ ก้าวไกล และต้นสังกัดใหม่ภูมิใจไทยเป็นอย่างไร” คารมตอบว่า สำหรับพรรคอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกล ถ้าได้รับรู้เนื้อแท้จริงๆ 2 พรรคนี้ไม่มีความต่างกันเลย เพราะมี ‘เจ้าของพรรค’ เป็น ‘คนเดียวกัน’ 

 

 

อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กำลังสนทนากับ คารม พลพรกลาง 

ขณะเดินทางเข้าการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2566

ภาพ: ฐานิส สุดโต

 

 

ในส่วนของพรรคภูมิใจไทยนั้น คารมบอกว่า ‘ภูมิใจไทย’ ไม่ใช่พรรคการเมืองที่สร้างความนิยมสูง เหมือน ‘อนาคตใหม่’ และ ‘ก้าวไกล’ ซึ่งพรรคภูมิใจไทยก็ปรับปรุงในส่วนนี้ 

 

คารมบอกอีกว่า ในแง่ ‘ความสัมพันธ์’ พรรคภูมิใจไทย ‘อบอุ่น’ กว่าพรรคอนาคตใหม่ และพรรคก้าวไกลอย่างมาก ลูกพรรคภูมิใจไทยสามารถเข้าหาผู้บริหารพรรค ‘เรียกพี่ เรียกหัวหน้า’ ยกมือไหว้ เขารับไหว้ ภูมิใจไทยคุยกันแบบไม่มีวงชั้น สส. เข้าหาได้เลย และเขาก็ให้โอกาสในการทำงานและการดูแล สส. ดีกว่าเยอะ 

 

“ภูมิใจไทยดูแลดีกว่าเยอะ เขาไม่ต้องการความขัดแย้ง เวลาพูดกันต้องระวังว่าอย่าไปสร้างความขัดแย้งหรือจะไปสร้างปมใหม่” คารมกล่าว

 

อยากเป็น สส. เขต พัฒนาบ้านเกิดเหมือน ‘บุรีรัมย์’ 

 

แม้ผลการเลือกตั้งเมื่อกลางปี 2566 จะไม่ประสบความสำเร็จ และทำให้เขาไม่สามารถกลับมาเป็นผู้แทนฯ ได้อีกครั้ง แต่การเลือกตั้งครั้งหน้า คารมยืนยันว่า ขออยู่สู้กับพรรคภูมิใจไทยต่อแน่นอน 

 

“ผมเป็นคนชัดเจนตั้งแต่แรกแล้วว่า อยากเป็น สส. เขต จังหวัดร้อยเอ็ด…ถ้าผมได้เป็นและอยู่ในรัฐบาลแบบนี้ ผมว่าอำเภอสุวรรณภูมิ เขต 6 ของผมจะพัฒนามากขึ้นมาก” 

 

เมื่อไม่กี่วันได้เดินทางไปที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ได้เห็นสิ่งที่เคยประสานงานกับกรมทางหลวงตอนที่ได้เป็นผู้แทนในสภา เวลาผมขับรถกลับบ้านรู้สึกภูมิใจมาก ความภูมิใจนี้ไม่ใช่ภูมิใจ เพราะเป็น สส. ความภูมิใจคือคุณทำอะไรไว้ เหมือนจังหวัดบุรีรัมย์ ใครจะโจมตีคุณเนวิน ชิดชอบ, ศักดิ์สยาม ชิดชอบ หรือพรรคภูมิใจไทย 

 

“คุณลองไปดูจังหวัดบุรีรัมย์ ในวันที่เขามีแข่งโมโตจีพี เขาเอารถอีแต๋นมาให้คนขึ้นนั่งไปดูแข่งรถ เป็นการสร้างท้องถิ่น ผมอยากเห็นจังหวัดร้อยเอ็ดเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่เป็นแค่เมืองธรรมดา เป็นเมืองที่สงบเงียบเหมือนทุกวันนี้” 

 

ภาพ : ฐานิส สุดโต

 

ทีมโฆษกรัฐบาล ลมใต้ปีกทำเนียบรัฐบาล

 

ปัจจุบัน ‘คารม’ อยู่ในทีมโฆษกรัฐบาล เขาเป็นรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีจากโควตาของพรรคภูมิใจไทย แม้จะรู้แจ้งเห็นจริงต่อการเมืองไทยเพราะอยู่บนเส้นทางการเมืองมานาน แต่บทบาทใหม่ที่เขาได้รับนั้น เขาบอกกับ THE STANDARD ว่ายังต้องปรับตัวอีกมาก

 

“สำหรับผม เวลาทำหน้าที่ประเด็นต้องคมขึ้น ดีขึ้น ต้องปรับการพูดให้ช้าลง การแต่งเนื้อแต่งตัวต้องเตรียมตัวให้ดี ผมคิดว่าคนยังจำทีมโฆษกฯ ทั้งหมดไม่ได้ เนื่องจากยุคนี้โฆษกฯ หน้าตาไม่ดี ฉะนั้นเราต้องเอาความน่าเชื่อถือมาสู้ ต้องปรับให้คนสามารถจำทีมโฆษกฯ ได้ ให้การสื่อสารผ่านโฆษกฯ ลงไปให้ชัดเจน”

 

โดยเฉพาะการทำงานกับทีมโฆษกฯ ที่มาจากหลายพรรคการเมือง ทั้งเพื่อไทย ภูมิใจไทย และรวมไทยสร้างชาติ คารมยืนยันว่า ‘ไม่ได้เป็นปัญหา’ แต่ก็มีอีกหลายอย่างที่ต้องปรับจูนกัน ทั้งการกระจายข่าว ทิศทางข่าวต้องวางได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นเฉพาะที่กระทรวงที่พรรคคุณดูแล ถ้าเป็นประเด็นสำคัญก็ต้องแบ่งประเด็นที่น่าสนใจให้ทั้ง 3 คน ตำแหน่งโฆษกฯ อย่างไรก็เป็นที่หนึ่ง เพราะอยู่หลังนายกฯ ทุกที่ แต่หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา อย่าลืมว่ารองโฆษกฯ ต้องมาทำหน้าที่แทนเหมือนกัน 

The post ทนายเสื้อแดง-งูเห่า-ทำเนียบรัฐบาล ฉากชีวิต ‘คารม’ ใต้ร่มเงาภูมิใจไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
แค่ 4 เดือน ทำไม สว. ต้องเปิดซักฟอกรัฐบาลเศรษฐา https://thestandard.co/senators-government-investigation/ Tue, 16 Jan 2024 00:00:38 +0000 https://thestandard.co/?p=888089

สมาชิกวุฒิสภา (สว.) จำนวน 250 คน ที่ผ่านการคัดเลือกมาเป […]

The post แค่ 4 เดือน ทำไม สว. ต้องเปิดซักฟอกรัฐบาลเศรษฐา appeared first on THE STANDARD.

]]>

สมาชิกวุฒิสภา (สว.) จำนวน 250 คน ที่ผ่านการคัดเลือกมาเป็นพิเศษ และมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งตามบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญปี 2560 กำลังจะครบวาระ 5 ปี และหมดอายุในกลางเดือนพฤษภาคมนี้

 

นับเป็นช่วงเวลาที่ประจวบเหมาะอย่างยิ่งที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา ที่มี เสรี สุวรรณภานนท์ นั่งเป็นประธาน กำลังรวบรวมรายชื่อสมาชิกวุฒิสภาให้ครบ 1 ใน 3 จำนวน 250 คน หรือ 84 คน เพื่อยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 153 จนสร้างแรงกระเพื่อมถึงทำเนียบรัฐบาล  

 

เสรี สุวรรณภานนท์ และ จเด็จ อินสว่าง สองสมาชิกวุฒิสภา ในฐานะแกนนำคนสำคัญในการยื่นญัตติดังกล่าวได้แถลงต่อหน้าสื่อมวลชนว่า รัฐบาลเศรษฐาได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2566 และเข้าบริหารราชการแผ่นดิน 4 เดือนมาแล้ว 

 

แต่รัฐบาลกลับไม่ได้แก้ปัญหาตามนโยบายที่แถลงไว้ สว. จึงจะรวบรวมเสียงและเสนอญัตติเพื่อให้รัฐบาลมาชี้แจง 7 ประเด็นที่หาทางออกของประเทศ และจะเป็นประโยชน์ต่อการบริหารราชการแผ่นดิน 

 

7 ประเด็น มีอะไรบ้าง 

 

  1. ปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาปากท้องประชาชน เช่น การสร้างงานสร้างอาชีพและรายได้ที่ยั่งยืนให้ประชาชน รวมถึงการแก้ปัญหาความยากจนที่ตั้งคำถามถึงแนวทางการทำงานของรัฐบาลอย่างเป็นรูปธรรม, สภาพปัญหาการทำนโยบายเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ที่ชอบด้วยกฎหมายไม่สร้างภาระหนี้ให้ประชาชน, การแก้หนี้นอกระบบที่ไม่ได้มุ่งแก้ปัญหาต้นตอในระดับครัวเรือน, การฟื้นตัวของอุตสาหกรรมประมง และการสร้างรายได้จากทรัพยากรธรรมชาติ

 

  1. ปัญหาด้านกระบวนการยุติธรรมและการบังคับใช้กฎหมาย เช่น การปฏิบัติต่อผู้ต้องขังตามคำพิพากษาที่สะท้อนกระบวนการยุติธรรมสองมาตรฐาน, การทุจริตคอร์รัปชันและยาเสพติด, การลักลอบนำเข้าสินค้าปศุสัตว์, การเปลี่ยน ส.ป.ก. เป็นที่ดินเพื่อเกษตรกรที่เอื้อประโยชน์ให้นายทุนจะรับมืออย่างไร

 

  1. ปัญหาด้านพลังงาน เช่น การจัดการราคาค่าไฟฟ้า ก๊าซหุงต้ม และน้ำมัน ปัญหากลุ่มทุนพลังงานที่มีอิทธิพลต่อการเมืองส่งผลให้ประชาชนแบกรับภาระต้นทุนราคาเชื้อเพลิง และปัญหาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลกับประเทศเพื่อนบ้าน

 

  1. ปัญหาการศึกษาและสังคม เช่น การปฏิรูปการศึกษาผ่านร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ, การแก้ปัญหาหนี้สินครู, การจัดหลักสูตรการศึกษาให้ประชาชนเข้าใจในการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และปัญหาการดูแลผู้สูงวัย ผู้พิการ และผู้ด้อยโอกาส

 

  1. ปัญหาการต่างประเทศและท่องเที่ยว เช่น ปัญหาทุนจีนสีเทาที่กระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การไม่เลือกข้างความขัดแย้งของรัฐบาล และมาตรการการคุ้มครองความปลอดภัยให้นักท่องเที่ยว

 

  1. ปัญหาการแก้รัฐธรรมนูญ ที่ต้องอธิบายการดำเนินการโดยชอบด้วยกฎหมาย เพื่อประโยชน์ประชาชนและพัฒนาประเทศ

 

  1. ปัญหาการปฏิรูปประเทศ แนวทางของรัฐบาลต่อการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศ

 

ย้อนสถิติ สว. ยื่นซักฟอกรัฐบาลมาแล้วกี่ครั้ง

 

หากย้อนดูข้อมูลจากคลังสารสนเทศของสถาบันนิติบัญญัติ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร พบว่า วุฒิสภาได้ใช้สิทธิขอเปิดอภิปรายทั่วไปรัฐบาลเพียง 5 ครั้งเท่านั้น

 

ครั้งที่ 1 เดือนมิถุนายน 2551 ในรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช ‘คำนูณ สิทธิสมาน’ ได้ขอให้ ครม. ชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินโดยไม่มีการลงมติ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 161 ภายหลังจากรัฐบาลเข้าบริหารราชการแผ่นดินได้ 4 เดือน และได้เกิดเหตุความไม่สงบจากเหตุการณ์การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตยในทั่วราชอาณาจักร ตั้งแต่ภาคเหนือจรดภาคใต้ ที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจและสังคม 

 

ครั้งที่ 2 ในเมษายน 2552 ในรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ‘สมชาย แสวงการ’ และคณะ ได้ขอให้ ครม. ชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินโดยไม่มีการลงมติ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 161 โดยพุ่งเป้าไปยังประเด็นการเมือง กรณีของการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดง ที่บุกล้มการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่พัทยา รวมถึงกรณีกล่าวหาว่ามีคนเบื้องหลังการกระทำของคนเสื้อแดง 

 

ครั้งที่ 3 เดือนมีนาคม 2553 ในรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ‘เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ’ ขอให้ ครม. ชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินโดยไม่มีการลงมติ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 161 ตั้งคำถามถึงวิกฤตในบ้านเมือง โดยเฉพาะการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่ม นปช. ในพื้นที่ กทม.

 

ครั้งที่ 4 เดือนตุลาคม 2555 ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ‘วิชาญ ศิริชัยเอกวัฒน์’ กับคณะ ได้ขอให้ ครม. ชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินโดยไม่มีการลงมติ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 161 ขอตรวจสอบโครงการของรัฐบาลคือ การรับจำนำข้าวทุกเมล็ด งบประมาณ 4.08 แสนล้านบาท และการบริหารราชการแผ่นดินที่ส่อว่าจะเกิดความเสียหายแก่บ้านเมือง 

 

ครั้งที่ 5 เดือนตุลาคม 2556 ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ‘พล.ต.ท. ยุทธนา ไทยภักดี’ และคณะ ได้ยื่นญัตติขอให้ ครม. ชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินโดยไม่มีการลงมติ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 161 รัฐบาลยิ่งลักษณ์อีกครั้ง โดยพุ่งเป้าไปที่ปมปัญหาด้านการเกษตร โครงการรับจำนำข้าวที่ทำให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจ และเกิดหนี้สาธารณะ 

 

อย่างไรก็ตามพบว่า ตลอดการบริหารราชการแผ่นดินในรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา 4 ปีที่ผ่านมา สว. ไม่ได้มีการยื่นญัตติขออภิปรายทั่วไปสักครั้งเดียว 

 

ผ่านมาแค่ 4 เดือน ทำไม สว. ต้องรีบเปิดอภิปรายรัฐบาลเศรษฐา 

 

ดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม สมาชิกวุฒิสภา กล่าวอธิบายตอนหนึ่งในรายการ THE STANDARD NOW ถึงเหตุผลและความจำเป็นของ สว. ที่เข้าชื่อเพื่อยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป ครม. โดยไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 153 ว่า สว. มีหน้าที่ที่ต้องตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลอยู่แล้ว เมื่อรัฐบาลได้เข้ามาทำหน้าที่ บทบาทการทำหน้าที่ถ่วงดุลของ สว. ก็จะเริ่มขึ้นทันทีเช่นกัน และตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 153 วุฒิสภาสามารถขอให้รัฐบาลเข้ามาตอบคำถามที่จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนได้ 

 

ดิเรกฤทธิ์ยังได้คลายความสงสัยของประชาชน กรณี 4 ปีที่ผ่านมาในรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ ที่ สว. ไม่เคยยื่นญัตติแม้แต่ครั้งเดียวว่า เราพิจารณาจากประเด็นที่จะยื่นเป็นสำคัญ ขณะเดียวกันความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลชุดที่แล้วและฝ่ายนิติบัญญัติ เราทำงานร่วมกันในเรื่องยุทธศาสตร์ชาติ และรายงานความคืบหน้าทุก 3 เดือน หากสมาชิกวุฒิสภามีข้อสงสัยก็สามารถพูดคุยกัน และกำกับแนะนำกันอยู่แล้ว ทำให้ไม่มีประเด็นที่จะต้องเปิดอภิปราย

 

ขณะเดียวกันเมื่อต้องการรวมเสียงเพื่อยื่นญัตติเพื่อขออภิปรายทั่วไป ก็ไม่ได้เสียงสนับสนุนจากเพื่อน สว. ทำให้เสียงไม่ถึงตามที่กฎหมายกำหนดไว้ 

 

ดิเรกฤทธิ์กล่าวต่อว่า แต่รัฐบาลชุดปัจจุบันนั้นได้แบกความคาดหวังของประชาชนมาด้วย เพราะรัฐบาลมาพร้อมกับแนวนโยบายหาเสียง ความคาดหวังของประชาชนที่ต้องผลักดันกฎหมายต่างๆ และเมื่อ สว. ได้ศึกษาแล้วก็พบว่ามีหลายเรื่องที่ต้องการข้อเท็จจริงจากรัฐบาลเช่นกัน 

 

“เราคิดว่าการเปิดอภิปรายครั้งนี้จะเป็นประโยชน์กับรัฐบาล รัฐบาลไม่ได้เสียเครดิตอะไร เมื่อท่านแบกความคาดหวัง และท่านสัญญาไว้หลายเรื่อง เราอยากให้รัฐบาลมาชี้แจงแค่นั้น” ดิเรกฤทธิ์กล่าว

 

ล็อบบี้ สว. ไม่ให้ลงชื่อ 

 

อย่างไรก็ตามต้องจับตาอีกว่า สมาชิกวุฒิสภาจะสามารถรวมเสียงได้ถึง 1 ใน 3 ของ 250 หรือ 84 เสียงหรือไม่ เพราะ เสรี สุวรรณภานนท์ บอกกับสื่อมวลชนเองว่า ล่าสุดสามารถรวบรวมรายชื่อสมาชิกรับรองญัตติการเปิดอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติตามมาตรา 153 ได้แล้ว 91 รายชื่อ ซึ่งเกินกว่า 1 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกที่มีอยู่คือ 84 คนจาก 250 คน 

 

แต่จะยังคงเปิดให้สมาชิกสามารถลงชื่อพรุ่งนี้อีก 1 วัน เพราะอยากให้มีรายชื่อสมาชิกรับรองญัตติอย่างน้อย 100 รายชื่อ ป้องกันปัญหาหากสมาชิกเปลี่ยนใจถอนรายชื่อในหลังภายหลัง ซึ่งสามารถทำได้ตลอดจนกว่าจะถึงวันเปิดอภิปราย แต่ส่วนตัวเชื่อว่าจะไม่มีสมาชิกกล้าถอนรายชื่อในสถานการณ์เช่นนี้ก็ตาม

 

ขณะที่ วันชัย สอนศิริ กล่าวยอมรับว่า การเข้าชื่อของ สว. เพื่อเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติของรัฐบาลนั้น มีการล็อบบี้ให้เข้าชื่อและไม่เข้าชื่อเกิดขึ้น รวมถึงมีการล็อบบี้ให้ถอนรายชื่อจากการเสนอญัตติครั้งนี้ด้วย 

 

ทั้งนี้ ภายหลังจากได้รายชื่อครบก็จะเสนอญัตติต่อ พรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา เพื่อประสานกับคณะรัฐมนตรี หารือวันที่เหมาะสมในการมาตอบข้อซักถามของวุฒิสภา ซึ่งคาดว่าจะไม่เกินต้นเดือนมีนาคมนี้

 

การเคลื่อนไหวครั้งนี้ของ สว. ถูกจับตาว่า นี่อาจเป็นการทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาล เป็นการทิ้งทวนอำนาจ สว. ก่อนหมดวาระในกลางปีนี้นั่นเอง 

 

อ้างอิง: 

The post แค่ 4 เดือน ทำไม สว. ต้องเปิดซักฟอกรัฐบาลเศรษฐา appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘ประชาธิปไตย’ คำขวัญวันเด็กจากนายกรัฐมนตรีในรอบ 23 ปี https://thestandard.co/democracy-childrens-day-slogan/ Sat, 13 Jan 2024 03:23:06 +0000 https://thestandard.co/?p=887259

‘มองโลกกว้าง คิดสร้างสรรค์ เคารพความแตกต่าง ร่วมกันสร้า […]

The post ‘ประชาธิปไตย’ คำขวัญวันเด็กจากนายกรัฐมนตรีในรอบ 23 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>

‘มองโลกกว้าง คิดสร้างสรรค์ เคารพความแตกต่าง ร่วมกันสร้างประชาธิปไตย’ คือคำขวัญเนื่องในวันเด็กแห่งชาติประจำปี 2567 จากเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 

 

นับเป็นคำขวัญวันเด็กไทยที่มีคำมีว่า ‘ประชาธิปไตย’ ในรอบ 23 ปี

 

เศรษฐา​ ทวีสิน​ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง 
ระหว่างเป็นประธานมอบโล่รางวัลแด่เยาวชนดีเด่น​ 
เนื่องในวันเด็กแห่งชาติประจำปี 2567​ เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2567

 

คำขวัญวันเด็กจากนายกรัฐมนตรี 

 

คำขวัญวันเด็กโดยนายกรัฐมนตรีมีขึ้นตั้งแต่ปี 2499 หรือ 68 ปีที่แล้ว โดย จอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่ระบุว่า ‘จงบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นและส่วนรวม’

 

จากนั้นคำขวัญวันเด็กเงียบหายไป 2 ปี หลังจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยึดอำนาจจอมพล ป. ได้สำเร็จเมื่อปี 2500 

 

ก่อนที่ปี 2502 จอมพล สฤษดิ์ ได้มอบคำขวัญวันเด็กอีกครั้ง ระบุว่า ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า จงเป็นเด็กที่รักความก้าวหน้า 

 

นับแต่นั้นประเทศไทยก็ไม่เคยขาดแคลนคำขวัญวันเด็กอีกเลย มีเว้นช่วงปี 2507 ยุคจอมพล ถนอม กิตติขจร เพียงปีเดียวเท่านั้น 

 

คำขวัญประจำเด็กตั้งแต่ปี 2499-2567 ที่เด็กๆ ได้รับจาก 19 นายกรัฐมนตรี มีทั้งสิ้น 66 ครั้ง โดยมีคำขวัญที่กล่าวถึง ‘ประชาธิปไตย’ เพียง 5 ครั้งเท่านั้น จากชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีจากพรรคประชาธิปัตย์จำนวน 4 ครั้ง ในปี 2536, 2537, 2543 และ 2544 

 

ล่าสุดในปี 2567 จากเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทยอีก 1 ครั้ง สามารถเรียงตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ดังนี้ 

 

จอมพล ป. พิบูลสงคราม 

 

ปี 2499: จงบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นและส่วนรวม

 

จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์

 

ปี 2502: ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า จงเป็นเด็กที่รักความก้าวหน้า

ปี 2503: ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า จงเป็นเด็กที่รักความสะอาด

ปี 2504: ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า จงเป็นเด็กที่อยู่ในระเบียบวินัย

ปี 2505: ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า จงเป็นเด็กที่ประหยัด

ปี 2506: ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า จงเป็นเด็กที่มีความขยันหมั่นเพียรมากที่สุด

 

จอมพล ถนอม กิตติขจร

 

ปี 2508: เด็กจะเจริญต้องรักเรียนเพียรทำดี

ปี 2509: เด็กที่ดีต้องมีสัมมาคารวะ มานะ บากบั่น และสมานสามัคคี

ปี 2510: อนาคตของชาติจะสุกใส หากเด็กไทยแข็งแรง เรียนดี มีความประพฤติเรียบร้อย

ปี 2511: ความเจริญและความมั่นคงของชาติไทยในอนาคต ขึ้นอยู่กับเด็กที่มีวินัย มีความเฉลียวฉลาด รักชาติยิ่ง

ปี 2512: รู้เรียน รู้เล่น รู้สามัคคี เป็นความดีที่เด็กพึงจำ

ปี 2513: เด็กประพฤติดีและศึกษาดี ทำให้มีอนาคตแจ่มใส

ปี 2514: ยามเด็กจงหมั่นเรียน เพียรกระทำดี เติบใหญ่จะได้มีความสุขความเจริญ

ปี 2515: เยาวชนฝึกตนดี มีความสามารถ

ปี 2516: เด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ เด็กฉลาดชาติเจริญ

 

สัญญา ธรรมศักดิ์

 

ปี 2517: สามัคคีคือพลัง

ปี 2518: เด็กดีคือทายาทของชาติไทย ต้องร่วมใจร่วมพลังสร้างความสามัคคี

 

คึกฤทธิ์ ปราโมช

 

ปี 2519: เด็กที่ต้องการเห็นอนาคตของชาติรุ่งเรืองจะต้องทำตัวให้ดีมีวินัยเสียแต่บัดนี้

 

ธานินทร์ กรัยวิเชียร

 

ปี 2520: รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นคุณสมบัติของเยาวชนไทย

 

เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์

 

ปี 2521: เด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ เด็กฉลาดชาติมั่นคง

ปี 2522: เด็กไทยคือหัวใจของชาติ

ปี 2523: อดทน ขยัน ประหยัด เป็นคุณสมบัติของเด็กไทย

 

เปรม ติณสูลานนท์

 

ปี 2524: เด็กไทยมีวินัย ใจสัตย์ซื่อ รู้ประหยัด เคร่งครัดคุณธรรม

ปี 2525: ขยันศึกษา ใฝ่หาความรู้ เชิดชูชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นคุณสมบัติของเด็กไทย

ปี 2526: รู้หน้าที่ ขยัน ซื่อสัตย์ ประหยัด มีวินัย คุณธรรม

ปี 2527: รักวัฒนธรรมไทย ใฝ่ดี มีความคิด สุจริต ใจมั่น หมั่นศึกษา

ปี 2528: สามัคคี มีวินัย ใฝ่คุณธรรม

ปี 2529: นิยมไทย มีวินัย ใช้ประหยัด ใจสัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม

ปี 2530: นิยมไทย มีวินัย ใช้ประหยัด ใจสัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม

ปี 2531: นิยมไทย มีวินัย ใช้ประหยัด ใจสัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม

 

ชาติชาย ชุณหะวัณ

 

ปี 2532: รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ใจสัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม

ปี 2533: รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ใจสัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม

ปี 2534: รู้หน้าที่ มีวินัย ใฝ่คุณธรรม นำชาติพัฒนา

 

อานันท์ ปันยารชุน

 

ปี 2535: สามัคคี มีวินัย ใฝ่ศึกษา จรรยางาม

 

ชวน หลีกภัย

 

ปี 2536: ยึดมั่นประชาธิปไตย ร่วมใจพัฒนา รักษาสิ่งแวดล้อม

ปี 2537: ยึดมั่นประชาธิปไตย ร่วมใจพัฒนา รักษาสิ่งแวดล้อม

ปี 2538: สืบสานวัฒนธรรมไทย ร่วมใจพัฒนา รักษาสิ่งแวดล้อม

 

บรรหาร ศิลปอาชา

 

ปี 2539: มุ่งหาความรู้ เชิดชูความเป็นไทย หลีกไกลยาเสพติด

 

ชวลิต ยงใจยุทธ

 

ปี 2540: รู้คุณค่าวัฒนธรรมไทย ตั้งใจใฝ่ศึกษา ไม่พึ่งพายาเสพติด

 

ชวน หลีกภัย

 

ปี 2541: ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ มีวินัย

ปี 2542: ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ มีวินัย

ปี 2543: มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ คู่คุณธรรม นำประชาธิปไตย

ปี 2544: มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ คู่คุณธรรม นำประชาธิปไตย

 

ทักษิณ ชินวัตร

 

ปี 2545: เรียนให้สนุก เล่นให้มีความรู้ สู่อนาคตที่สดใส

ปี 2546: เรียนรู้ตลอดชีวิต คิดอย่างสร้างสรรค์ ก้าวทันเทคโนโลยี

ปี 2547: รักชาติ รักพ่อแม่ รักเรียน รักสิ่งดีๆ อนาคตดีแน่นอน

ปี 2548: เด็กรุ่นใหม่ต้องขยันอ่าน ขยันเรียน กล้าคิด กล้าพูด

ปี 2549: อยากฉลาด ต้องขยันอ่าน ขยันคิด

 

สุรยุทธ์ จุลานนท์

 

ปี 2550: มีคุณธรรมนำใจ ใช้ชีวิตพอเพียง หลีกเลี่ยงอบายมุข

ปี 2551: สามัคคี มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ เชิดชูคุณธรรม

 

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

 

ปี 2552: ฉลาดคิด จิตบริสุทธิ์ จุดประกายฝัน ผูกพันรักสามัคคี

ปี 2553: คิดสร้างสรรค์ ขยันใฝ่รู้ เชิดชูคุณธรรม

ปี 2554: รอบคอบ รู้คิด มีจิตสาธารณะ

 

ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

 

ปี 2555: สามัคคี มีความรู้คู่ปัญญา คงรักษาความเป็นไทย ใส่ใจเทคโนโลยี

ปี 2556: รักษาวินัย ใฝ่เรียนรู้ เพิ่มพูนปัญญา นำพาไทยสู่อาเซียน

ปี 2557: กตัญญู รู้หน้าที่ เป็นเด็กดี มีวินัย สร้างไทย ให้มั่นคง

 

พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา

 

ปี 2558: ความรู้ คู่คุณธรรม นำสู่อนาคต

ปี 2559: เด็กดี หมั่นเพียร เรียนรู้ สู่อนาคต

ปี 2560: เด็กไทยใส่ใจศึกษา พาชาติมั่นคง

ปี 2561: รู้คิด รู้เท่าทัน สร้างสรรค์เทคโนโลยี

ปี 2562: เด็ก เยาวชน จิตอาสา ร่วมพัฒนาชาติ

ปี 2563: เด็กไทยยุคใหม่ รู้รักสามัคคี รู้หน้าที่พลเมืองไทย

ปี 2564: เด็กไทยวิถีใหม่ รวมไทยสร้างชาติ ด้วยภักดีมีคุณธรรม

ปี 2565: รู้คิด รอบคอบ รับผิดชอบต่อสังคม

ปี 2566: รู้หน้าที่ มีวินัย ใฝ่ความดี

 

เศรษฐา ทวีสิน

 

ปี 2567: มองโลกกว้าง คิดสร้างสรรค์ เคารพความแตกต่าง ร่วมกันสร้างประชาธิปไตย

 

ครูจวง ก้าวไกลชี้ อย่าให้คำขวัญวันเด็กจากนายกฯ ​เป็นแค่ลมปาก

 

ปารมี ไวจงเจริญ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้ความเห็นกับ THE STANDARD ในฐานะอดีตแม่พิมพ์ของชาติ ผู้ที่เคยสอนวิชาสังคมและประวัติศาสตร์มานานเกือบ 30 ปี ถึงคำขวัญวันเด็กประจำปี 2567 ที่ระบุว่า ‘มองโลกกว้าง คิดสร้างสรรค์ เคารพความแตกต่าง ร่วมกันสร้างประชาธิปไตย’ ว่าถือเป็นนิมิตหมายอันดีที่นายกรัฐมนตรีเลือกใช้คำว่า ‘ประชาธิปไตย’ ในรอบหลายปี

 

ปารมีบอกอีกว่า ตนเองไม่อยากให้คำว่าประชาธิปไตยเป็นเพียงคำขวัญที่ไม่สามารถเกิดขึ้นจริงได้ หากอ่านคำขวัญของนายกรัฐมนตรีแล้วนั้นก็ต้องทำให้ทุกความหมายในคำขวัญวันเด็กปีนี้เกิดขึ้นได้จริงๆ โดยเฉพาะการให้สังคมเคารพความเห็นต่าง

 

ตัวอย่างเช่น โรงเรียนไทยนั้นยังมีความเป็นอำนาจนิยมสูง ไม่เคารพความเห็นต่าง และละเมิดสิทธิเด็กเสมอ 

 

“ดิฉันไม่อยากให้คำขวัญของท่านนายกรัฐมนตรีเป็นเพียงแค่ลมปาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหลักสูตรการเรียนในวิชาสังคมศึกษาที่มีการยัดเยียดอุดมการณ์แบบเดิมๆ ด้วยการเพิ่มวิชาประวัติศาสตร์และวิชาหน้าที่พลเมือง”

 

ปารมี ไวจงเจริญ สส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล 
แฟ้มภาพ: ชาติกล้า สำเนียงแจ่ม

 

ปารมีอธิบายเพิ่มเติมว่า รัฐบาลพยายามเพิ่มหลักสูตรวิชาการปลูกฝังหน้าที่พลเมืองด้วยแนวคิดและอุดมการณ์แบบเก่าๆ โดยไม่ให้เชื่อมั่นในระบบประชาธิปไตย ความเท่าเทียม หรือการมีส่วนร่วมในประเทศนี้ โดยมีแต่ปลูกฝังให้รักชาติ และไม่ให้คำนึงว่าเราก็เป็นพลเมืองของโลกเช่นกัน 

 

การปลูกฝังประชาธิปไตยในโรงเรียนนั้น ‘มี’ แต่ ‘ไม่มาก’ มีการสอนและท่องไปตามตำราที่มีแต่เปลือก เป็นประชาธิปไตยเชิงพฤติกรรม โดยที่ไม่คำนึงถึงเนื้อแท้ของประชาธิปไตย แล้วเด็กรุ่นใหม่จะเข้าใจถึงความเป็นประชาธิปไตยได้อย่างไร 

 

ประชาธิปไตยในโรงเรียนอย่างแท้จริง เริ่มง่ายๆ คือผู้อำนวยการโรงเรียนต้องฟังคุณครูให้มากขึ้น และครูต้องฟังและให้เด็กได้แสดงความคิดเห็น ไม่ใช่เอาแต่ ‘สั่งๆๆ’ และสิ่งที่สำคัญที่สุด ทุกคนต้องไม่สยบยอมกับเผด็จการและอำนาจนิยม

 

ทำไม ‘ต้องมี’ วันเด็กแห่งชาติ

 

สำหรับการจัดงานวันเด็กแห่งชาตินั้นเริ่มต้นขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2498 ในรัฐบาล จอมพล ป. มีจุดประสงค์เพื่อส่งเสริมให้เห็นความสำคัญของเด็กเหมือนนานาประเทศ โดยได้ถือเอาวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมเป็นวันเด็กแห่งชาติเรื่อยมาจนถึงปี 2506 

 

จากนั้นคณะกรรมการจัดงานวันเด็กแห่งชาติมีความเห็นว่าควรเลื่อนกำหนดการจัดงานวันเด็ก เนื่องจากเดือนตุลาคมของไทยนั้นอยู่ในช่วงฤดูฝน ประกอบกับวันจันทร์เป็นวันที่ผู้ปกครองต้องไปทำงาน จึงเป็นอุปสรรคต่อการฉลองและทำกิจกรรมของเด็กๆ 

 

คณะรัฐมนตรีในรัฐบาลจอมพล ถนอม กิตติขจร จึงมีมติเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2507 ประกาศเปลี่ยนแปลงวันจัดงานวันเด็กจากวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมมาเป็นวันเสาร์สัปดาห์ที่สองของเดือนมกราคม โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2508 เป็นต้นมา 

 

สำหรับวัตถุประสงค์นั้น รัฐบาลไทยกำหนดไว้คือ เพื่อให้ประชาชนได้ตระหนักถึงความสำคัญของเด็ก สนใจในการเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนเด็ก และช่วยเหลือสงเคราะห์เด็กเป็นพิเศษ เพื่อให้เด็กและเยาวชนยึดมั่นในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพื่อให้เด็กรู้จักหน้าที่ของตนและอยู่ในระเบียบวินัยอันดี และเพื่อเผยแพร่ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิของเด็ก

The post ‘ประชาธิปไตย’ คำขวัญวันเด็กจากนายกรัฐมนตรีในรอบ 23 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
จากกู้ 5 แสนล้าน สู่ปมดอกเบี้ยสูง ศึกรอบใหม่ ‘เศรษฐา-เศรษฐพุฒิ’ https://thestandard.co/5-hundred-billion-loan-to-high-interest-issue/ Tue, 09 Jan 2024 04:05:18 +0000 https://thestandard.co/?p=885633 5 แสนล้าน

ปรากฏการณ์ที่ดูเสมือนเป็น ‘ความไม่ลงรอย’ ระหว่าง ‘เศรษฐ […]

The post จากกู้ 5 แสนล้าน สู่ปมดอกเบี้ยสูง ศึกรอบใหม่ ‘เศรษฐา-เศรษฐพุฒิ’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
5 แสนล้าน

ปรากฏการณ์ที่ดูเสมือนเป็น ‘ความไม่ลงรอย’ ระหว่าง ‘เศรษฐา ทวีสิน’ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะผู้นำประเทศ และ ‘เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ’ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะผู้นำด้านเศรษฐกิจ

 

จุดเริ่มต้นของคานดีด-คานงัดมาจากการที่รัฐบาลออกพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กู้เงิน วงเงิน 5 แสนล้านบาท เพื่อขับเคลื่อนโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ตามที่รัฐบาลได้แถลงข่าวเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2566

 

โดยรัฐบาลให้เหตุผลในการออกกฎหมายกู้เงินจำนวน 5 แสนล้านบาทว่า เศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะวิกฤตและฟื้นตัวช้าที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน จึงจำเป็นต้องเติมเงินลงกระเป๋าให้ประชาชนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งระบบ

 

เมื่อรัฐบาลได้แถลงข่าวอย่างเป็นทางการว่า ‘โครงการดิจิทัลวอลเล็ต’ จะมีการกู้เงินจำนวน 5 แสนล้านบาท ก็มีทั้งนักวิชาการ นักการเมือง ประชาชน โดยเฉพาะผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ออกมาทักท้วงว่าการดำเนินการในลักษณะนี้จะเป็นการขัดต่อ พ.ร.บ.เงินตรา พ.ศ. 2501 หรือไม่ ขณะเดียวกันอาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาเงินฝืดและเงินเฟ้อได้ด้วยเช่นกัน

 

การคัดค้านนโยบายรัฐบาลของผู้ว่าการ ธปท. เป็นที่จับจ้องของสังคมอย่างมาก เพราะความเห็นที่ไม่ตรงกัน โดยเฉพาะเรื่องนโยบายของรัฐบาล ซึ่งอาจนำไปสู่การตั้งคำถามต่อความแข็งแรงของ ‘ขาเก้าอี้’ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยก็เป็นไปได้

 

ผู้ว่าการ ธปท. มีหน้าที่อะไร

สำหรับผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนปัจจุบันคือ ‘เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ’ ได้รับการแต่งตั้งเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2563 โดยได้นั่งเก้าอี้ผู้ว่าการ ธปท. คนที่ 24 ต่อจาก วิรไท สันติประภพ ซึ่งตำแหน่งนี้มีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ 5 ปี และติดต่อกันได้ไม่เกิน 2 วาระ

 

สำหรับคุณสมบัติของผู้ว่าการ ธปท. นั้นจะต้องเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถในด้านเศรษฐศาสตร์และการธนาคาร มีหน้าที่กำกับดูแลนโยบายและบริหารธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงทางการเงินของประเทศ แม้โดยตำแหน่งจะต่ำกว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แต่ก็เป็นตำแหน่งที่มีความสำคัญมาก

 

ตำแหน่งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจะตั้งกรรมการสรรหาจำนวน 7 คน เพื่อทำหน้าที่คัดเลือกบุคคลที่ได้รับการเสนอ โดยมีจำนวนไม่น้อยกว่า 2 ชื่อ เพื่อเสนอชื่อไปยังคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อ ครม. มีมติรับรองจึงจะทูลเกล้าฯ และมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง

 

ปลดผู้ว่าการ ธปท. ไม่ใช่เรื่องง่าย

ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้แสดงความเห็นถึงการปลดผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยออกจากตำแหน่งว่า ‘ไม่ใช่เรื่องง่าย’ พร้อมทั้งแนะนำ ‘นายกรัฐมนตรี’ ว่าควรรับฟังความเห็นของผู้ว่าการ ธปท. ซึ่งเป็นการให้ข้อมูลเชิงวิชาการและไม่มีอคติทางการเมืองแอบแฝง

 

ธีระชัยระบุอีกว่า หากมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรายใดต้องการจะปลดผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยนั้น ควรทราบว่ามีกฎหมายตีกรอบป้องกันเอาไว้อย่าง พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2485 มาตรา 28/19 นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระตามมาตรา 28/18 แล้ว ผู้ว่าการ ธปท. จะพ้นจากตำแหน่งก็ต่อเมื่อ

 

  1. ตาย
  2. ลาออก
  3. ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามอย่างหนึ่งอย่างใดตามมาตรา 28/17
  4. ครม. มีมติให้ออกโดยคำแนะนำของรัฐมนตรี เพราะมีความประพฤติเสื่อมเสียอย่างร้ายแรงหรือทุจริตต่อหน้าที่
  5. ครม. มีมติให้ออกโดยคำแนะนำของรัฐมนตรีหรือการเสนอของรัฐมนตรีโดยคำแนะนำของคณะกรรมการ ธปท. เพราะบกพร่องในหน้าที่อย่างร้ายแรง หรือหย่อนความสามารถ โดยมติดังกล่าวต้องแสดงเหตุผลในการให้ออกอย่างชัดแจ้ง

 

ดังนั้นตามข้อที่ 4. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจะต้องพิสูจน์ให้ ครม. เห็นว่าผู้ว่าการ ธปท. มีความประพฤติเสื่อมเสียอย่างร้ายแรงหรือทุจริตต่อหน้าที่ ซึ่งไม่รวมถึงความเห็นขัดแย้งเรื่องนโยบาย

 

ส่วนตามข้อที่ 5. นั้นคือต้องผ่านด่านคณะกรรมการ ธปท. เสียก่อน เฉพาะกรณีบกพร่องในหน้าที่อย่างร้ายแรง หรือหย่อนความสามารถ โดยมติดังกล่าวต้องแสดงเหตุผลในการให้ออกอย่างชัดแจ้ง ซึ่งยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะปลดผู้ว่าการ ธปท. ได้

 

“แต่ที่หนักกว่านั้นคือกระแสสังคมจะประณามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังผู้นั้นว่าเข้าข่ายเป็นการลุแก่อำนาจ (Abuse of Power) และจะกระทบกระเทือนความเชื่อมั่นของสังคมโลกอย่างรุนแรง” ธีระชัยระบุ

 

แม้ปลดยาก แต่ปลดได้

แม้การปลดผู้ว่าการ ธปท. จะเป็นเรื่องใหญ่และเป็นด่านหินที่ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ แต่ในอดีตก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว มีผู้ว่าการ ธปท. ที่ต้องกระเด็นออกจากตำแหน่งแล้ว 4 คน คือ ‘โชติ คุณะเกษม’ ผู้ว่าการ ธปท. คนที่ 6 ถูกปลดโดย จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี ในกรณีนี้ไม่ใช่สาเหตุจากความขัดแย้งทางนโยบาย แต่เป็นข้อหาพัวพันกรณีจ้างฝรั่งพิมพ์ธนบัตร

 

หรือแม้แต่ ‘นุกูล ประจวบเหมาะ’ ผู้ว่าการ ธปท. คนที่ 10 ถูกปลดในสมัย ‘สมหมาย ฮุนตระกูล’ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยมีสาเหตุมาจากความขัดแย้งเรื่องนโยบาย อาทิ นโยบายคุมเข้มสินเชื่อ และการเสนอตั้งสถาบันประกันเงินฝาก

 

จากนั้น ‘กำจร สถิรกุล’ ผู้ว่าการ ธปท. คนที่ 11 ถูกปลดในสมัย ‘ประมวล สภาวสุ’ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยสาเหตุของการปลดมาจากปัญหาความขัดแย้งเรื่องอัตราดอกเบี้ย

 

และคนล่าสุดคือ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ผู้ว่าการ ธปท. คนที่ 16 ถูกปลดในสมัย ‘สมคิด จาตุศรีพิทักษ์’ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดย ครม. มีมติเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2544 และไม่ระบุเหตุผล แต่เป็นที่เข้าใจกันว่าสาเหตุมาจากความขัดแย้งเชิงนโยบายตั้งแต่เรื่องค่าเงินบาทที่ ม.ร.ว.จัตุมงคล มีแนวคิดปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด แต่รัฐบาลต้องการให้ดูแล นอกจากนี้รัฐบาลต้องการให้ ธปท. ผ่อนคลายเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ แต่ ธปท. กลับเข้มงวดนั่นเอง

 

ยุติข่าวลือปลดผู้ว่าการ ธปท.

จากนั้นวันที่ 2 ตุลาคม 2566 เศรษฐาได้สงบเสียงลือการปลดผู้ว่าการ ธปท. ด้วยการเรียกเศรษฐพุฒิเข้ามาพบที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล โดยใช้เวลาประมาณ 45 นาที ในการหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้านเศรษฐกิจและการเงิน

 

นายกรัฐมนตรีกล่าวย้ำว่า การหารือร่วมกับผู้ว่าการ ธปท. นั้นพูดคุยกันเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมและนโยบายที่รัฐบาลกำลังจะทำ เพื่อรับฟังความเห็นและข้อมูลข้อเสนอของ ธปท. จากนี้ก็จะมีการนัดพบปะหารือในลักษณะนี้เป็นประจำทุกเดือน ที่ผ่านมาได้มีการหารือเกี่ยวกับการออกดิจิทัลวอลเล็ตด้วย ซึ่งผู้ว่าการ ธปท. ก็ให้คำแนะนำ โดยที่นายกรัฐมนตรีก็พร้อมรับและปฏิบัติ ดังนั้นจึงไม่เคยคิดที่จะปลดเศรษฐพุฒิออกจากตำแหน่งผู้ว่าการ ธปท. อย่างแน่นอน

 

“การหารือเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ 2 คนคุยกัน คุยกันด้วยดี และจะมีการพบกันอย่างต่อเนื่อง ยืนยันว่าไม่มีความขัดแย้งกัน ไม่มีเลย และไม่มีแน่นอน” นายกรัฐมนตรีกล่าว

 

เป็นการยุติความขัดแย้งระหว่างผู้นำประเทศที่พ่วงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งต้องการพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยกับงบประมาณมหาศาล และทำตามนโยบายที่ได้หาเสียงไว้ กับผู้ว่าการ ธปท. ที่ต้องรักษาเสถียรภาพทางการเงินและวินัยการคลังไม่ให้เงินฝืดเงินเฟ้อชั่วคราวประมาณ 3 เดือน

 

เงินเฟ้อแต่ดอกเบี้ยยังขึ้น ศึกรอบใหม่

เรื่องราวระหว่างนายกรัฐมนตรีและผู้ว่าการ ธปท. กลับมามีประเด็นกันอีกครั้งในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อ ‘หนุ่มเมืองจันท์’ หรือ สรกล อดุลยานนท์ คอลัมนิสต์ชื่อดัง โพสต์บทความบนเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2567 โดยนำเสนอพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ที่มีข้อความว่า ‘แบงก์กำไรสูงสุด 2.2 แสนล้าน อานิสงส์ดอกเบี้ยขาขึ้น – BBL แชมป์’ พร้อมระบุช่วงหนึ่งว่า “ผมไม่รู้ว่า ‘แบงก์ชาติ’ จะรู้สึกตงิดอะไรในใจบ้างไหม

 

“ถ้าเศรษฐกิจดี ประชาชนมีกำลังซื้อ พ่อค้าแม่ค้าขายของได้ ทุกธุรกิจมีกำไรเพิ่มขึ้น ธุรกิจแบงก์ที่เปรียบเสมือน ‘หัวใจ’ สูบฉีดเลือดหรือเงินไปเลี้ยงร่างกายหรือภาคธุรกิจจะมีกำไรในสถานการณ์แบบนี้ถือเป็นเรื่องปกติ ร่างกายดี หัวใจก็ควรจะแข็งแรง” ข้อความบนเฟซบุ๊ก ‘หนุ่มเมืองจันท์’ ระบุ

 

แต่สถานการณ์เศรษฐกิจในวันนี้แย่มาก แบงก์ชาติเพิ่งปรับลด GDP ปี 2566 จาก 3.6% เหลือ 2.4% พ่อค้าแม่ค้าบ่นว่าขายของไม่ดี ธุรกิจ SMEs 11 เดือนที่ผ่านมาของปี 2566 เลิกกิจการ 17,858 ราย เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ถึง 11% รถยนต์ถูกยึดเดือนละ 27,000 คัน เพราะคนผ่อนไม่ไหว คนที่ยื่นเรื่องขอกู้ซื้อบ้านถูกธนาคารปฏิเสธประมาณ 50% แต่ถ้าเป็นบ้านหรือคอนโดมิเนียมราคา 1-3 ล้านบาท อัตราการกู้ไม่ผ่านสูงถึง 70%

 

“เหตุผลส่วนหนึ่งมาจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ทำให้อัตราการผ่อนต่อเดือนสูงขึ้น ในขณะที่เงินเดือนเท่าเดิม ธนาคารไม่ปล่อยกู้เพราะกลัวหนี้เสีย ลำพังแค่เศรษฐกิจไม่ดี แต่ธนาคารกำไรเพิ่มขึ้นก็ถือว่าผิดปกติแล้ว เหมือนร่างกายอ่อนแอแต่หัวใจกลับแข็งแรง”

 

เนื้อหาบทความยังระบุว่า พอมาดูเหตุผลว่าทำไมธนาคารไทยทำกำไรได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ยิ่งน่าเกลียด รู้ไหมว่ากำไรที่สูงลิ่วของธนาคารมาจากอะไร มาจาก ‘การเพิ่มขึ้นของส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ’ หรือ NIM หมายความว่าในขณะที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้น ธนาคารก็ขยับ ‘ส่วนต่าง’ ของดอกเบี้ยเงินฝากกับเงินกู้ของธนาคารไทยเพิ่มขึ้นจากเดิม จ่ายดอกเบี้ยคนฝากเงินน้อยๆ แต่ให้กู้แพงๆ ทำกำไรแบบง่ายๆ

 

ธนาคารที่กำไรจาก ‘ส่วนต่าง’ นี้มากที่สุดคือธนาคารกรุงเทพ อย่าแปลกใจ เพราะดอกเบี้ยฝากประจำ 1 ปีของธนาคารกรุงเทพต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับธนาคารใหญ่ทั้งหมด ตอนนี้อยู่ที่ 1.6% ในขณะที่ธนาคารอื่นขยับขึ้นเป็น 2-2.2% แล้ว ที่มีคนกล่าวหาว่าธนาคารเป็น ‘เสือนอนกิน’ จึงไม่ใช่คำกล่าวหา หน่วยงานที่กำกับดูแลธนาคารพาณิชย์คือธนาคารแห่งประเทศไทย เหมือนคุณหมอที่ดูแลเรื่อง ‘หัวใจ’ ถ้าการทำงานของ ‘หัวใจ’ ผิดปกติแบบนี้ รัฐบาลและธนาคารชาติไม่รู้สึก ‘เอ๊ะ’ อะไรบ้างหรือ จะไม่คิดทำอะไรบ้างเหรอ หรือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติ เพราะเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว

 

จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้โพสต์ข้อความผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย ระบุถึงจากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยขึ้นดอกเบี้ยทั้งๆ ที่เงินเฟ้อติดลบติดต่อกันหลายๆ เดือนว่า “ไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจเลย และยังมีผลกระทบต่อประชาชนที่มีรายได้น้อย และ SMEs อีกด้วย ผมจึงอยากให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงที่เกี่ยวข้องเข้าไปดูราคาสินค้าเกษตรบางชนิดให้เหมาะสม เพราะอาจต่ำไปก็ได้ และหวังว่าแบงก์ชาติจะช่วยดูแลประชาชน ไม่ขึ้นดอกเบี้ยสวนทางกับเงินเฟ้อ”

 

นายกรัฐมนตรียังให้สัมภาษณ์โดยยอมรับว่าที่ผ่านมาได้พูดคุยกับผู้ว่าการ ธปท. มาตลอด ซึ่งจุดยืนของตนชัดเจนคือไม่เห็นด้วย แต่อย่างไรก็ตาม การพิจารณาเรื่องอัตราดอกเบี้ยนโยบายก็ถือเป็นอำนาจของธนาคารแห่งประเทศไทย

 

แบงก์ชาติขึ้นดอกเบี้ย 8 ครั้ง นับตั้งแต่โควิดระบาด

นับตั้งแต่ประเทศไทยเริ่มเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด ธปท. ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปแล้วถึง 8 ครั้ง จากอัตราดอกเบี้ย 0.50% จนขณะนี้อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 2.50% ทำให้เกิดคำถามว่าเหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจของไทยในขณะนี้หรือไม่

 

  • วันที่ 10 สิงหาคม 2565: กลับมาขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรก 0.25% จาก 0.50% เป็น 0.75%
  • วันที่ 28 กันยายน 2565: ขึ้นดอกเบี้ย 0.25% จาก 0.75% เป็น 1.00%
  • วันที่ 30 พฤศจิกายน 2565: ขึ้นดอกเบี้ย 0.25% จาก 1.00% เป็น 1.25%
  • วันที่ 25 มกราคม 2566: ขึ้นดอกเบี้ยต่อ 0.25% จาก 1.25% เป็น 1.50%
  • วันที่ 29 มีนาคม 2566: ขึ้นดอกเบี้ย 0.25% จาก 1.50% เป็น 1.75%
  • วันที่ 31 พฤษภาคม 2566: ขึ้นดอกเบี้ย 0.25% จาก 1.75% เป็น 2.00%
  • วันที่ 2 สิงหาคม 2566: ขึ้นดอกเบี้ย 0.25% จาก 2.00% เป็น 2.25%
  • วันที่ 27 กันยายน 2566: ขึ้นดอกเบี้ย 0.25% จาก 2.25% เป็น 2.50%

 

ธปท. ชี้ ดอกเบี้ย 2.50% เหมาะสมกับเศรษฐกิจ

ภูริชัย รุ่งเจริญกิจกุล ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายการเงิน ธปท. ให้สัมภาษณ์ในรายการ เศรษฐกิจติดบ้าน ทางช่องไทยพีบีเอส เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2566 ถึงการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายว่า เมื่อเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น จึงค่อยๆ ถอนนโยบายผ่อนคลายการเงิน ซึ่งดอกเบี้ย 2.50% เรียกว่าเป็นดอกเบี้ยนิ่งๆ เป็นกลาง ไม่ผ่อนคลายหรือฉุดรั้ง เหมาะสมกับเศรษฐกิจที่ยืนได้ด้วยตัวเอง ซึ่งการพิจารณาต้องดูจากการเติบโตของเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และเสถียรภาพการเงินโดยรวม

 

ภูริชัยระบุว่า หากมีดอกเบี้ยต่ำอาจผ่อนคลายในการชำระหนี้ แต่อาจจูงใจให้ก่อหนี้เพิ่มขึ้นเช่นกัน ทั้งนี้ ความจำเป็นต้องผ่อนคลายเศรษฐกิจเริ่มหมดไป แนวโน้มทั่วโลกจะมีดอกเบี้ยสูงขึ้น โลกจะโตด้วยความเข้มแข็งไม่ใช่หนี้

 

แบงก์ชาติขึ้นดอกเบี้ยสูงเกินไป เศรษฐกิจไม่โต

ศ.ดร.สุชาติ​ ธา​ดา​ธำ​รง​เวช​ อดีต​รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวงการคลัง​ แสดงความคิดเห็นถึงกรณีที่ ธปท. ขึ้นอัตราดอกเบี้ยขณะที่สถานการณ์เงินเฟ้อในประเทศไทยติดลบติดต่อกันหลายเดือนว่า ธปท. ขึ้นดอกเบี้ยสูงเกินไป​ ทำให้เงินเฟ้อติดลบติดต่อกันมา​ 3 เดือนแล้ว​จากครั้งสุดท้ายขึ้นดอกเบี้ย​

 

แม้เห็นตัวเลขเงินเฟ้อติดลบแล้ว​ทำให้ระบบธนาคารพาณิชย์​มีกำไรมากเกินปกติกว่า​ 2.2​ แสนล้าน​บาท​ แต่ระบบเศรษฐกิจ​ไทยเติบโตต่ำเพียง​ 2.4% ในปี​ 2566 ประชาชนยากจนลง คนไม่มีงานทำ ขายของไม่ได้ ธปท. ​จึงควรหันมาดูแลประชาชน​ให้มากขึ้น

 

ศ.ดร.สุชาติ​ แสดงความคิดเห็นอีกว่า เหมือน ธปท. จะต้องการกดความเจริญเติบโตทางเศร​ษฐกิจ​ โดยขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย​จนสูงเกินไป ทำให้เงินเฟ้อติดลบ​กว่า​ -​0.5% คิดเฉลี่ย 3 เดือนติดต่อกัน ต่ำกว่ากรอบ​เป้าหมายเงินเฟ้อ (Inflation ​Targeting) 1-3% ที่ตกลงไว้กับรัฐบาล​ ความจริงทั้งผู้ว่าการ ธปท. และคณะกรรมการ​นโยบายการเงิน​ต้องแสดงความรับผิดชอบแล้ว

 

ขณะเดียวกัน ระบบสถาบันการเงินของไทย​ก็ค่อนข้างผูกขาด​ พอ ธปท.​ ขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ​ธนาคารพาณิชย์ก็ขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้มากๆ​ แต่ดอกเบี้ยเงินฝากขึ้นน้อยๆ ขยาย​ส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยเงินกู้กับดอกเบี้ยเงินฝาก (Spread)​ ในโอกาสต่อไปข้างหน้า​คณะกรรมการ​นโยบาย​สถาบันการเงิน​คงต้องติดตามดูแลให้เหมาะสม​ และรายงานเรื่อง​ Spread​ ต่อสาธารณชน​อย่างสม่ำ​เสมอ

 

พร้อมทั้งได้เสนอวิธีการแก้ไขปัญหาคือ​ ธปท. ​ต้องลดดอกเบี้ย​ และเพิ่ม​ปริมาณเงิน (QE)​ ในระบบเ​ศรษฐกิจ รัฐบาลต้องเพิ่มการแข่งขัน​ในระบบธนาคารพาณิชย์จากทั้งภายในและภายนอกประเทศ พร้อมกับพัฒนาตลาดเงินตลาดทุน​ให้มีหลากหลายทางเลือกยิ่งขึ้น​ ไม่ขึ้นอยู่​กับธนาคารพาณิชย์มากเกินไปเฉกเช่นทุกวันนี้

 

ศ.ดร.สุชาติ​ ระบุอีกว่า การลดดอกเบี้ยลง​จะทำให้การลงทุนเอกชนเพิ่มขึ้น​ และยังทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง​ มีผลให้การส่งออกและการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น​ ซึ่งจะไปเพิ่มอัตราความเจริญเติบโตของชาติ​ (GDP Growth)​ เพิ่มรายได้ประชาชน​ ทำให้มีเงินมา​บริโภคและออมเพิ่มขึ้น​ ลดหนี้ครัวเรือน​ รัฐบาลก็จะมีรายได้ภาษีเพิ่มขึ้น​ ลดหนี้ภาครัฐบาล ตนเองจึงขอให้ผู้เกี่ยวข้องทั้งหลาย​เร่งรีบพิจารณา​ลดดอกเบี้ยลง​

 

อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีมีการรับรายงานสถานการณ์เงินฝืดเงินเฟ้อจากผู้ว่าการ ธปท. เป็นประจำอยู่แล้ว พร้อมทั้งยืนยันว่าจะมีการพูดคุยกับผู้ว่าการ ธปท. เพื่อหาทางออกเรื่องนี้แน่นอน

 

อ้างอิง:

The post จากกู้ 5 แสนล้าน สู่ปมดอกเบี้ยสูง ศึกรอบใหม่ ‘เศรษฐา-เศรษฐพุฒิ’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทำไม ‘บ้านใหญ่เพชรบูรณ์’ ถึงเป็นจุดหมายของพลังประชารัฐสัญจรครั้งแรก https://thestandard.co/baan-yai-phetchabun-pprp-visit-goal/ Mon, 08 Jan 2024 08:36:15 +0000 https://thestandard.co/?p=885358 บ้านใหญ่เพชรบูรณ์

การที่ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ […]

The post ทำไม ‘บ้านใหญ่เพชรบูรณ์’ ถึงเป็นจุดหมายของพลังประชารัฐสัญจรครั้งแรก appeared first on THE STANDARD.

]]>
บ้านใหญ่เพชรบูรณ์

การที่ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เลือกจังหวัดเพชรบูรณ์จัดกิจกรรมพลังประชารัฐสัญจรครั้งแรก (7 มกราคม) นั้น ‘ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ​’

 

แม้ ‘ฉากหน้า’ ตามกำหนดการจะระบุไว้ว่า การไปจังหวัดเพชรบูรณ์ครั้งนี้เพื่อติดตามและร่วมรับฟังความเห็นประชาชน หลังเปลี่ยนที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 เป็นโฉนดเพื่อการเกษตร ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายที่ พล.อ. ประวิตร ผลักดันมาตลอดตั้งแต่ตนเองเป็นรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา 

 

แต่ ‘ฉากหลัง’ ถือว่ามีนัยทางเมืองที่แอบแฝงอยู่เช่นกัน เพราะการเลือกตั้งปี 2566 พรรคพลังประชารัฐได้เก้าอี้ สส. เพียง 40 ที่นั่ง เป็น สส. แบบแบ่งเขต 39 ที่นั่ง และ สส. บัญชีรายชื่อ 1 ที่นั่ง 

 

แม้จะร่อยหรอจากการเลือกตั้งปี 2562 แต่ ‘จังหวัดเพชรบูรณ์’ เป็นหนึ่งในจังหวัดที่ไม่มีพรรคใดล้มได้ เพราะมี สันติ พร้อมพัฒน์ รองหัวหน้าพรรค เป็นเจ้าของพื้นที่ และครองใจคนเมืองมะขามหวานจนชนะยกจังหวัดมาได้

 

พล.อ. ประวิตร ปรากฏตัวต่อหน้าสื่อมวลชนและประชาชนด้วยสีหน้าที่สดใสเนื่องจากน้ำหนักลดลงและสุขภาพที่ดีขึ้น พร้อมประกาศบนเวทีต่อหน้าชาวเพชรบูรณ์นับพันชีวิตว่า เก้าอี้รัฐมนตรีของสันติในคณะรัฐมนตรี (ครม.) เศรษฐา นั้นเป็นการ ‘ขอบคุณ’ ชาวเพชรบูรณ์ที่เลือกพรรคพลังประชารัฐยกจังหวัด 

 

นอกจากนี้กิจกรรมพลังประชารัฐสัญจรเมื่อวานนี้ยังได้เห็นภาพของแกนนำและ สส. พรรคพลังประชารัฐ ยืนเคียงข้าง พล.อ. ประวิตร โดยไม่ได้นัดหมาย เพื่อโชว์ศักยภาพความเป็นปึกแผ่น ลบล้างภาพ สงบข่าวลือทิ้งพรรค เพื่อให้พลังประชารัฐเดินต่อไปได้ 

 

ไม่ว่าจะเป็น ตรีนุช เทียนทอง สส. สระแก้ว และรองหัวหน้าพรรค, ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรค, ไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค, วราเทพ รัตนากร ผู้อำนวยการพรรค, สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมือง และ อรรถกร ศิริลัทธยากร สส. ฉะเชิงเทรา และโฆษกพรรค

 

บ้านใหญ่เพชรบูรณ์

ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ในฐานะเลขาธิการพรรค 

กำลังสนทนากับ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ 

ที่หอประชุมเทศบาลเมืองวิเชียรบุรี อำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์

เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2567 

 

แต่ไฮไลต์อยู่ที่ ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และเลขาธิการพรรค ที่ ‘ทำงานเข้าขา’ กับ ครม. เศรษฐา จนถูกจับตาว่า ‘อาจจะไม่อยู่กับพรรคพลังประชารัฐ’ เปลี่ยนใจไปพรรคอื่น

 

ร.อ. ธรรมนัส ขึ้นประกาศบนเวทีว่า วันนี้เรามาเพื่อบอกข่าวดีให้กับชาวเพชรบูรณ์ทราบ จากที่เคยหาเสียงไว้ว่าจะเปลี่ยนที่ดิน สปก. 4-01 เป็นโฉนด ในอีก 8 วันเราจะแจกโฉนดเพื่อการเกษตรให้กับคนไทยทั้งแผ่นดิน ซึ่ง พล.อ. ประวิตร เป็นคนสั่งว่าต้องทำให้ได้ 

 

“นายครับ ตอนนี้ทำได้แล้วครับนายครับ“ ร.อ. ธรรมนัส กล่าว 

 

ร.อ. ธรรมนัส ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนอีกว่า จะให้ตนเองเปลี่ยนใจไปไหน ยังทำงานกับพรรคพลังประชารัฐ และตอนนี้ก็เป็นเลขาธิการพรรค ที่ผ่านมามีการประชุม สส. ทุกวันพุธที่รัฐสภา ก็ขับเคลื่อนงานของพรรคตลอด

 

หลังเสร็จสิ้นกิจกรรมพลังประชารัฐสัญจร พล.อ. ประวิตร ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนด้วยการปฏิเสธว่า การเคลื่อนไหวครั้งนี้ของตนเองนั้นไม่ใช่การคัมแบ็กทางการเมือง เพราะตนเองก็ยังไม่ได้ไปไหน ยืนยันว่าพรรคก็ยังเหนียวแน่น

 

“ผมไม่ได้เป็นรัฐมนตรี ไม่ได้เป็นรองนายกฯ ก็เลยไม่ได้ดำเนินการ ยังเป็น สส. บัญชีรายชื่อ แต่ยังไม่ไปประชุมสภาเนื่องจากเดินไม่สะดวก เพราะเจ็บขาเพิ่งหายมาได้ 2 วัน แต่ผมทำงานอยู่เบื้องหลังให้พรรค”

 

แต่คำถามสำคัญที่สื่อมวลชนถาม จน พล.อ. ประวิตร มีอารมณ์ฉุนว่า “เร็วๆ นี้ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย จะเป็นเจ้าภาพจัดเลี้ยงแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล พล.อ. ประวิตร จะร่วมหรือไม่”

 

พล.อ. ประวิตร กล่าวด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “ไม่ไป ผมไม่ใช่หัวหน้า คุณไปถามพัชรวาท (พล.ต.อ. พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ) สิ เขาเป็นหัวหน้า” ผู้สื่อข่าวจึงถามต่อว่า หัวหน้าคือหัวหน้าอะไร ใช่หัวหน้าพรรคหรือไม่ 

 

จากนั้น ไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค ที่ยืนด้านข้าง พล.อ. ประวิตร จึงตอบแทนว่า “หัวหน้าทีมรัฐมนตรีของพรรค”

 

พล.อ. ประวิตร จึงกล่าวเสริมว่า “ผมดูแลเฉพาะพรรค” ส่วนงานใน ครม. นั้น ไม่ว่าจะเป็นการปรับ ครม. หรือการกินข้าวกับทีม ครม. ให้ พล.ต.อ. พัชรวาท หรือรัฐมนตรีของพรรค เป็นผู้ดำเนินงานมาตลอด

 

นอกจากนี้ก็ได้เห็นภาพพี่ชาย (พล.อ. ประวิตร) และน้องชาย (พล.ต.อ. พัชรวาท) อยู่ด้วยกันที่จังหวัดเพชรบูรณ์ครั้งแรก เนื่องจาก พล.ต.อ. พัชรวาท มีภารกิจตรวจเยี่ยมอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ มรดกโลกแห่งใหม่ของไทยที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ในวันเดียวกันนี้พอดิบพอดี

 

ช่วงหนึ่งขณะถ่ายภาพหมู่ พล.อ. ประวิตร ได้กล่าวหยอกล้อกับสื่อมวลชนว่า “เชียร์พลังประชารัฐบ้างนะ” สื่อมวลชนจึงตอบกลับว่า เชียร์อยู่แล้ว เพียงแต่ พล.อ. ประวิตร ต้องมาปรากฏตัวต่อหน้าสื่อบ่อยๆ พล.อ. ประวิตร กล่าวตอบโต้ว่า “ทำไมต้องมา” ก่อนจะชี้ไปทาง พล.ต.อ. พัชรวาท และพูดขึ้นว่า “มีคนนี้อยู่แล้ว”

 

แม้จะเป็นช่วงเวลาไม่นาน แต่ พล.อ. ประวิตร ก็ทำให้เห็นว่า กำลังรับบทพี่ชายที่ช่วยโปรโมต ประคับประคอง และรักษาอำนาจของน้องชายพูดน้อยและเก็บตัวเงียบ ให้อยู่รอดปลอดภัยบนเก้าอี้รัฐมนตรี มีคนในตระกูลวงษ์สุวรรณอยู่ในวงจรอำนาจการเมืองไทยต่อไป

 

บ้านใหญ่เพชรบูรณ์

พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ ขณะเดินไปชมอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2567

 

เมื่อเสร็จสิ้น พล.อ. ประวิตร และดรีมทีมพรรคพลังประชารัฐ จึงเดินทางไปเยี่ยมชมอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ นั่งชิลกินไอศกรีม ฉลองมรดกโลกแห่งที่ 7 ของไทยได้สำเร็จในรอบ 31 ปี ซึ่งเป็นอีกหนึ่งนโยบายของ พล.อ. ประวิตร ที่ผลักดันมาตั้งแต่เมื่อครั้งเป็นรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์

 

“การผลักดันอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพให้เป็นมรดกโลกแห่งใหม่ของไทยในรอบ 31 ปี เป็นนโยบายของผมที่ผลักดันให้เป็นมรดกโลกจนประสบความสำเร็จได้เป็นมรดกโลกแห่งที่ 7 ของไทย” พล.อ. ประวิตร กล่าว

 

เนื่องจากก่อนหน้านี้ เมื่อครั้งองค์การยูเนสโก (UNESCO) ประกาศขึ้นทะเบียนเมืองโบราณศรีเทพเป็นมรดกโลก เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เคยบอกว่า ขึ้นทะเบียนมรดกโลกเมืองโบราณศรีเทพเป็นผลงานส่วนหนึ่งของรัฐบาล ในฐานะรัฐมนตรีว่าการฯ ถือเป็นผลงานชิ้นโบแดง จากพื้นที่ศรีเทพไปสู่ระดับนานาชาติ 

 

เมืองโบราณศรีเทพได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในช่วงรอยต่อรัฐบาล บุคคลที่เกี่ยวข้องล้วนแสดงตัวว่าเป็นเจ้าของผลงานกันทั้งสิ้น ซึ่งการขึ้นเป็นมรดกโลกแห่งที่ 7 ของไทยเป็นผลงานของใครนั้น ให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินจะดีที่สุด 

 

สำหรับกิจกรรมพลังประชารัฐสัญจรครั้งถัดไปนั้น พล.อ. ประวิตร บอกกับสื่อมวลชนว่าจะจัดที่จังหวัดหนองคาย ส่วนวันและเวลานั้นให้รอแจ้งอีกครั้ง ซึ่งหนองคายเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่แม้พรรคพลังประชารัฐจะไม่ได้ชนะยกจังหวัดและได้เพียงเก้าอี้เดียว แต่เป็นจังหวัดที่สามารถล้มเจ้าของแชมป์เก่าอย่างพรรคเพื่อไทยมาได้ ถือเป็นอีกจังหวัดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ

The post ทำไม ‘บ้านใหญ่เพชรบูรณ์’ ถึงเป็นจุดหมายของพลังประชารัฐสัญจรครั้งแรก appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชำแหละนโยบาย ‘คุมมาเฟีย เคลียร์กลิ่นลูกปืน’ โอกาสทองที่ท้าทายภูมิใจไทย https://thestandard.co/bhumjaithai-party-mafia-gun-control-measure/ Wed, 27 Dec 2023 14:00:28 +0000 https://thestandard.co/?p=881801 มาเฟีย

‘ปราบผู้มีอิทธิพล’ เป็นหนึ่งในนโยบายที่ทุกรัฐบาลตั้งแต่ […]

The post ชำแหละนโยบาย ‘คุมมาเฟีย เคลียร์กลิ่นลูกปืน’ โอกาสทองที่ท้าทายภูมิใจไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
มาเฟีย

‘ปราบผู้มีอิทธิพล’ เป็นหนึ่งในนโยบายที่ทุกรัฐบาลตั้งแต่อดีตถึงจนปัจจุบันให้ความสำคัญ และมุ่งเน้นที่จะขจัดให้หมดไปในสังคมไทย แต่เหตุไฉนจึงยังไม่หมดไป มิหนำซ้ำยังสร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชน และยังต้องปราบปรามจนถึงทุกวันนี้

 

ก่อนหน้านี้รัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศปราบปรามผู้มีอิทธิพล กวาดล้างปืนเถื่อนและอาวุธสงครามภายใน 6 เดือน แต่งตั้ง พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่ากระทรวงมหาดไทย เป็นผู้รับผิดชอบ หรือย้อนไปนานกว่านั้น ในสมัยรัฐบาล คสช. ก็มี พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง (ขณะนั้น) เป็นหัวเรือใหญ่ในการปราบปราม

 


 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

หรือย้อนนานไปกว่านั้นอีกในยุครัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ก็มีนโยบายปราบปรามผู้มีอิทธิพลที่พ่วงไปด้วยการประกาศทำสงครามยาเสพติดก็ประสบความสำเร็จอย่างมาก ทั้งยังสร้างความนิยมให้เขาอีกด้วย

 

จากซ้าย ดรีมทีมรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย 

เกรียง กัลป์ตินันท์, ชาดา ไทยเศรษฐ์, อนุทิน ชาญวีรกูล และทรงศักดิ์ ทองศรี 

ภายหลังสักการะพระอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ 

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงมหาดไทย ในโอกาสเข้าทำงานวันแรก 

เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2566
ภาพ: ฐานิส สุดโต

 

กลับมาในยุคปัจจุบัน ปี 2566 เมื่อ ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ เข้ามารับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน เป็นช่วงคาบเกี่ยวที่เกิดเหตุอุกอาจ กรณีลูกน้องกำนันที่จังหวัดนครปฐมได้ก่อเหตุสังหาร ‘นายตำรวจน้ำดี’ จนสร้างแรงสั่นสะเทือนไปถึงทำเนียบรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทย

 

‘อนุทิน’ ในฐานะผู้บังคับบัญชาได้ประกาศถอนรากถอนโคนปราบปรามเจ้าพ่อและมาเฟีย พร้อมกับสั่งการให้เจ้าพ่อแห่งลุ่มน้ำสะแกกรัง ‘ชาดา ไทยเศรษฐ์’ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย จากพรรคภูมิใจไทย ได้โชว์ฝีมือและพิสูจน์ผลงาน

 

พร้อมทั้งได้ลงนามคำสั่งกระทรวงมหาดไทยที่ 2739/2566 แต่งตั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามผู้มีอิทธิพล โดยมีตนเองในฐานะเจ้ากระทรวงเป็นประธาน มี ‘ชาดา’ รัฐมนตรีช่วยมหาดไทย เป็นรองประธาน และมีข้าราชการที่เกี่ยวข้องเป็นกรรมการอีก รวมทั้งสิ้น 20 ตำแหน่ง 

 

แน่นอนว่าคณะกรรมการชุดนี้ สปอตไลต์ส่องแสงไปอยู่ที่ ‘ชาดา’ ในตำแหน่งรองประธานฯ เนื่องจากเขาถูกขนานนามว่า เจ้าพ่อแห่งลุ่มน้ำสะแกกรัง เป็นผู้มากบารมีในจังหวัดอุทัยธานี ถือเป็นคนที่ความรู้ ความสามารถ และเคยผ่านสมรภูมิเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกับผู้มีอิทธิพลมาก่อน

 

 

ชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย 

ที่มีฉากหลังเป็น ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย 

ขณะกำลังสวมใส่รองเท้า ที่วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร 

เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2566 

ภาพ: ฐานิส สุดโต

 

คณะกรรมการทั้ง 20 ตำแหน่ง มีหน้าที่กำหนดนโยบาย แนวทาง และมาตรการในการป้องกันและปราบปรามผู้มีอิทธิพล รวมถึงบูรณาการการปฏิบัติงานของส่วนราชการและองค์กรต่างๆ 

 

ทั้งยังมีหน้าที่ตรวจสอบกลั่นกรองข้อมูลและการข่าวเกี่ยวกับบุคคลต้องสงสัยที่มีพฤติการณ์เป็นผู้มีอิทธิพล เร่งรัด กำกับดูแล ตรวจสอบ ติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานของส่วนราชการและองค์กรต่างๆ ในการป้องกันและปราบปรามผู้มีอิทธิพล 

 

กระทรวงมหาดไทยยังได้ระบุลักษณะ 16 พฤติการณ์ที่เข้าข่ายเป็น ‘ผู้มีอิทธิพล’ ที่รัฐบาลจะต้องเร่งปราบปรามให้หมด 

 

  1. นายทุนปล่อยเงินกู้นอกระบบ 
  2. ฮั้วประมูลงานราชการ 
  3. หักหัวคิวรถรับจ้าง 
  4. ขูดรีดผู้ประกอบการ 
  5. ลักลอบขนสินค้าหนีภาษี 
  6. เปิดบ่อนการพนัน 
  7. ลักลอบค้าประเวณี 
  8. ลักลอบนำคนเข้า-ออกประเทศโดยผิดกฎหมาย 
  9. ล่อลวงแรงงานไปยังต่างประเทศ 
  10. แก๊งต้มตุ๋นนักท่องเที่ยว 
  11. มือปืนรับจ้าง 
  12. รับจ้างทวงหนี้ด้วยการข่มขู่ใช้กำลัง 
  13. ลักลอบค้าอาวุธสงคราม/ปืนเถื่อน 
  14. บุกรุกที่ดินสาธารณะ/ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ 
  15. เรียกรับผลประโยชน์บนเส้นทางหลวงสาธารณะ 
  16. ผู้มีอิทธิพลที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด

 

‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย 

ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย คนที่ 52 

เปิดห้องทำงานภายในกระทรวงมหาดไทย

ให้สัมภาษณ์พิเศษกับทีมข่าว THE STANDARD

ภาพ: ณาฌารัฐ​ ภักดีอาสา

 

อนุทิน’ ในฐานะเจ้ากระทรวงมหาดไทย บอกกับ THE STANDARD ว่า ได้สั่งการให้ ‘ชาดา ไทยเศรษฐ์’ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย จากพรรคภูมิใจไทย ไปกำกับดูแลเป็นพิเศษแล้ว

 

ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ได้ดำเนินการไปหลายๆ อย่าง ทั้งเรื่องการขึ้นบัญชี รวมถึงการส่งสัญญาณไปยังเจ้าตัว (ผู้มีอิทธิพล) ว่าขอให้ยุติการกระทำในลักษณะที่ข่มเหงรังแกประชาชน 

 

อนุทินได้นิยามคำว่า ‘ผู้มีอิทธิพล’ ว่าเป็นใช้อิทธิพลของตนเองไปข่มเหงรังแกผู้ที่ด้อยกว่า โดยเน้นทำให้สังคมมีความเป็นระเบียบมากขึ้น  

 

“หนีกันหัวซุกหัวซุน ไม่มีที่อยู่อย่างปกติได้อีกต่อไป ถูกจับดำเนินคดี ถ้าต่อสู้ตำรวจ บางคนก็ถูกยิงเสียชีวิต บางคนหนีหัวซุกหัวซุน อยู่เป็นหลักแหล่งไม่ได้ นี่คือสิ่งที่เป็นผลพวงจากการดำเนินการปราบปราม เราไม่ได้ปล่อยให้ใครอยู่ได้อย่างเป็นปกติ แม้จะมีตำแหน่งแห่งหนทางราชการ ยิ่งทำก็ยิ่งโดน โดนดำเนินคดีเหมือนคนทั่วไป ไม่ได้มีอภิสิทธิ์ใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นความชัดเจนที่เห็นและจับต้องได้ในงานของกระทรวงมหาดไทยในยุคนี้” เขากล่าว

 

สติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า 

ภาพ: พีรพัฒน์ วิมลรังครัตน์

 

8 เต็ม 10 คะแนน

สติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า วิเคราะห์ความคืบหน้านโยบายปราบผู้มีอิทธิพลของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย คนที่ 52 ‘อนุทิน’ จากพรรคภูมิใจไทย ว่า ‘ขึงขัง’ และ ‘แอ็กทีฟดี’

 

ขณะเดียวกัน กระทรวงมหาดไทยก็มี ‘ชาดา’ เป็นจุดขายในปราบปรามผู้มีอิทธิพลอีก และสไตล์การทำงานของพรรคภูมิใจไทยก็เป็นพรรคการเมืองที่เป็นสไตล์บ้านใหญ่อยู่แล้วด้วย หากดูจากภาพลักษณ์แล้ว ‘ภูมิใจไทย’ คือพรรคการเมืองที่เข้าใจบทบาทของผู้มีอิทธิพลมากที่สุดแล้ว

 

สำหรับการประเมินการทำงานการปราบปรามผู้มีอิทธิพลตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา ‘สติธร’ ให้คะแนน ‘8 เต็ม 10’ เขาบอกว่าไม่อยากให้น้อย และไม่อยากให้มาก 

 

เพราะหากจะถามหาความเป็นรูปธรรมกับนโยบายดังกล่าวเร็วเกินไปที่จะให้คะแนนมาก ขณะเดียวกัน ณ ตอนนี้ยังไม่เห็นผลอะไร ณ วันนี้เห็นเพียงการขึ้นบัญชีผู้มีอิทธิพลเท่านั้น 

 

แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้เห็นว่ากระทรวงมหาดไทยยุคนี้ ‘เอาจริงเอาจัง’ กับการปราบผู้มีอิทธิพล ส่วนผลงานที่เป็นรูปธรรมจะต้องมีการพิสูจน์ไปอีกสักระยะ พร้อมตั้งคำถามต่อว่า เมื่อกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย มีการขึ้นบัญชีผู้มีอิทธิพลแล้วจะดำเนินการต่อไปอย่างไร

 

ดรีมทีมรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย 

3 คนเดินเท้าจากวัดราชบพิธฯ ถึงถนนอัษฎางค์ ด้านหน้ากระทรวงมหาดไทย

เนื่องในโอกาสเข้าทำงานวันแรก 

เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2566
ภาพ: ฐานิส สุดโต

 

ที่ผ่านมานโยบายการปราบผู้มีอิทธิพลถูกหลายคนมองว่าเป็นนโยบาย ‘ผักชีโรยหน้า’ เมื่อเกิดเรื่องราวขึ้นแต่ละครั้งก็เอาจริงเอาจังขึงขังกันไป แล้วเรื่องก็จะเงียบไป

 

สติธรบอกอีกว่า สิ่งที่สำคัญในการเดินหน้าปราบปรามผู้มีอิทธิพลครั้งนี้ ‘อนุทิน’ และ ‘ชาดา’ จากพรรคภูมิใจไทย ต้องพิสูจน์ให้สังคมเห็นว่าการปราบปรามผู้มีอิทธิพลหนนี้แตกต่างจากการปราบปรามผู้มีอิทธิพลในอดีต

 

‘ผู้มีอิทธิพล’ เปรียบเหมือนเหรียญที่มีสองด้าน เหรียญด้านแรก ผู้มีอิทธิพลก็ถูกมองว่าเป็นความสัมพันธ์ในสังคมไทยที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่คนมีบารมี มีฐานะทางสังคม หรือมีฐานะทางเศรษฐกิจที่ดีกว่าจะเข้าไปดูแลคนในพื้นที่ ซึ่งคนในพื้นที่ก็ยินดีที่จะอาศัยพึ่งพากันในลักษณะนี้ 

 

แต่อีกด้านที่ส่งผลกระทบในเชิงลบกับระบบใหญ่ เช่น ปัญหาวิ่งเต้นเส้นสาย โยกย้ายข้าราชการไม่เป็นธรรม กอบโกยผลประโยชน์ ประมูลโครงการภาครัฐไว้กับตนเองจนนำไปสู่การทุจริต หรือทำบุคคลใดบุคคลหนึ่งให้ถึงแก่ความตาย โดยไม่ต้องรับโทษในกระบวนการทางกฎหมาย 

 

สติธรจึงบอกว่า กระทรวงมหาดไทยต้องดำเนินการให้ผู้มีอิทธิพลด้านลบนี้เข้ามาอยู่ในระบบให้ได้ ตนเองจึงมองว่าเป็นเรื่องที่ต้องทำในระยะยาว และทำอย่างต่อเนื่อง

 

“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เป็นผักชีโรยหน้า วันนี้ผมจึงตั้งคำถามว่า เมื่อกระทรวงมหาดไทยได้มีการขึ้นบัญชีผู้มีอิทธิพลแล้วจะดำเนินการต่อไปอย่างไร จะแค่ทำความเข้าใจใช่ไหม หรืออย่างไร เพราะเรายังไม่เห็นภาพที่กระทรวงมหาดไทยแอ็กชันเต็มที่ หรือ มท.1 ลงพื้นที่ไปดำเนินการกวาดล้างด้วยตนเองเลย” นักวิชาการจากสถาบันพระปกเกล้ากล่าว 

 

อย่างน้อยที่สุด กระทรวงมหาดไทยต้องให้ความรู้สึกว่า ผู้มีอิทธิพลสามารถดำรงอยู่ได้ด้วยการสร้างประโยชน์กับสังคม หรือมากกว่านั้น ต้องไม่สร้างอิทธิพลในเชิงลบที่ไม่เป็นธรรมกับผู้คน จนรู้สึกว่าผู้มีอิทธิพลนั้นยิ่งใหญ่และแตะต้องไม่ได้ 

 

ชาดา ไทยเศรษฐ์ ผู้สมัคร สส. อุทัยธานี (ขณะนั้น) 

ในฐานะผู้รับผิดชอบการเลือกตั้งในพื้นที่ภาคเหนือ โบกธงชัยพรรคภูมิใจไทย 

เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2566

ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร 

 

สติธรบอกกับ THE STANDARD อีกว่า ภาพลักษณ์ของภูมิใจไทยถือว่าเป็นอีกพรรคการเมืองที่มีบ้านใหญ่จำนวนมาก เช่น บ้านใหญ่ไทยเศรษฐ์ของชาดาในจังหวัดอุทัยธานี, ตระกูลช่างเหลาที่ขอนแก่น, บ้านใหญ่โพธิ์สุแห่งนครพนม, บ้านใหญ่ไตรสรณกุล-ตระกูลสรรณ์ไตรภพแห่งศรีสะเกษ, บ้านใหญ่รัชกิจประการแห่งแดนใต้, บ้านใหญ่ซารัมย์, บ้านใหญ่ทองศรี หรือแม้แต่ ‘บ้านใหญ่ชิดชอบ’ แห่งบุรีรัมย์ เมืองหลวงของพรรคภูมิใจไทย 

 

สติธรจึงมองว่า ‘ภูมิใจไทย’ น่าจะเป็นพรรคการเมืองที่เข้าใจผู้มีอิทธิพล และเป็นโอกาสที่ดีในการปรับภาพลักษณ์ของพรรคการเมืองที่มีบ้านใหญ่ให้ดีขึ้น เพราะภาพลักษณ์บ้านใหญ่และผู้มีอิทธิพลเป็นเรื่องอยู่คู่กันแล้ว 

 

สังคมจึงมองไม่ออกว่า ‘ภูมิใจไทย’ จะดำเนินการจัดการบ้านตัวเองอย่างไร หรือจะดำเนินการจัดการพวกตัวเองด้วยหรือไม่ ดังนั้น หนทางเดียวของพรรคภูมิใจไทยในการปราบปรามผู้มีอิทธิพลที่เข้าข่ายคือ ‘ต้องไม่เลือกปฏิบัติ’ และ ‘มีมาตรฐานเดียวกัน’

 

‘ชาดา ไทยเศรษฐ์’ แถลงเปิดใจหลังลูกเขยถูกจับรับสินบน 

หลังเข้าชี้แจงความคืบหน้าเกี่ยวกับการปราบปรามผู้มีอิทธิพลต่อคณะกรรมาธิการปกครอง รัฐสภา 

เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2566 

ภาพ: ฐานิส สุดโต 

 

สติธรยังยกตัวอย่างกรณีการจับกุมตัว ‘วีระชาติ รัศมี’ นายกเทศมนตรีตำบลตลุกดู่ จังหวัดอุทัยธานี ซึ่งมีศักดิ์เป็น ‘ลูกเขย’ ของชาดา ที่ถูกจับดำเนินคดีข้อหารับสินบน เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา และการดำเนินการของชาดาที่ให้ลูกเขยของตนเองลาออกจากตำแหน่งภายในวันนั้น เรื่องนี้สำหรับตนเองมองว่าเป็นการกระทำเป็นที่ ‘โอเค’ 

 

พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า แต่หลายฝ่ายไม่ทราบว่าเบื้องหลังเป็นอย่างไร อาจเป็นการไม่ถูกกันอยู่แล้วหรือไม่ หรือความเป็นจริงแล้ว ‘ชาดา’ ไม่ได้สนใจว่าจะเป็นใคร ใช่คนในครอบครัวหรือตระกูลเดียวกับตนเองหรือไม่ 

 

หาก ‘ผิด’ ก็คือ ‘ผิด’ นั่นหมายความว่าพรรคภูมิใจไทยดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ ‘ยกน่ายกย่อง’

 

สติธรย้ำกับ THE STANDARD ว่า สำคัญที่สุดในการปราบปรามผู้มีอิทธิพล คือ ‘มาตรฐาน’ ในการดำเนินการและเอาผิดกับผู้มีอิทธิพลอย่าง ‘ไม่เลือกปฏิบัติ’ และ ‘ไม่เข้าข้างพวกตัวเอง’ ซึ่งเป็นสิ่งที่พิสูจน์ต่อสังคมว่ากระทรวงมหาดไทยภายใต้การนำของ ‘อนุทิน’ และ ‘ชาดา’ จากพรรคภูมิใจไทยจะดำเนินการปราบปรามผู้มีอิทธิพล

 

รื้อกฎหมาย เคลียร์กลิ่นลูกปืนเถื่อน 

ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก ในช่วงคาบเกี่ยวที่อนุทินเข้ามารับตำแหน่ง มท.1 คนที่ 52 เกิดกรณี ‘ปืนเถื่อน’ ออกมาก่อเหตุคร่าชีวิตคนบริสุทธิ์ โดยเฉพาะเหตุกราดยิงภายในศูนย์การค้าย่านใจกลางเมืองเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา 

 

กระทรวงมหาดไทยเตรียมรื้อกฎหมายควบคุมอาวุธปืน-สิ่งเทียมอาวุธปืน อนุทินได้ประกาศว่า จากนี้ต่อไปบุคคลที่จะสามารถถือครองอาวุธปืนได้อนุญาตเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือเจ้าพนักงานบุคคลที่เป็นคนของราชการที่มีหน้าที่ปกป้องคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเท่านั้น

 

‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย 

ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย คนที่ 52 

ภายหลังให้สัมภาษณ์พิเศษกับทีมข่าว THE STANDARD

ภาพ: ณาฌารัฐ​ ภักดีอาสา

 

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีและกระทรวงมหาดไทย เรื่อง ห้ามออกใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว (แบบ ป.12) เป็นการชั่วคราว เป็นระยะเวลา 1 ปี เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2566 – 19 ธันวาคม 2567 

 

อนุทินได้กล่าวกับ THE STANDARD ว่า มหาดไทยยุคภายใต้การนำของเขาจะงดต่อใบอนุญาตการพกพาอาวุธปืน ใครที่ฝ่าฝืน ยังพกปืนโดยที่ไม่มีใบอนุญาต นั่นหมายความว่าตั้งใจทำผิดกฎหมายและมีเจตนาที่ไม่ดี ผิดกฎหมาย ผิดนโยบาย ผิดทุกเรื่อง พร้อมทั้งเชื่อว่าการงดต่อใบอนุญาตฯ จะทำให้สังคมดีขึ้น

 

รวมถึงเตรียมที่จะผลักดันกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อควบคุมอาวุธปืนและอาวุธปืนสิ่งเทียมต่อไปในรัฐสภา รัฐบาลมีเสียงถึง 314 เสียง หากแก้ไขแล้วเพียงพอก็แก้ไข ส่วนไหนที่แก้ไขแล้วไม่เพียงพอก็ต้องเสนอเป็นพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ใหม่ 

 

ชาดา ไทยเศรษฐ์ สส. อุทัยธานี ขณะกำลังสนทนากับ อนุทิน ชาญวีรกูล, ศักดิ์สยาม ชิดชอบ, ทรงศักดิ์ ทองศรี 3 สส. บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย 

ในที่ประชุมร่วมของรัฐสภา เพื่อขอทบทวนมติเสนอชื่อ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ เป็นนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 2 

เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม​ 2566

ภาพ: ฐานิส สุดโต

 

แต่ ‘สติธร’ กลับมองปัญหาพกพาอาวุธปืนว่า ‘เป็นเรื่องใหญ่’ เกินกว่าแค่ ‘ควบคุมใบอนุญาต’ แล้วเรื่องจะจบ แต่กระทรวงมหาดไทยต้องกระทำการระบบจัดใบอนุญาตเสียใหม่ 

 

หาก ‘ปืนเถื่อน’ ยังคงอยู่ อาจนำไปสู่การตั้งคำถามของสังคมได้ว่า การงดต่อใบอนุญาตการพกพาอาวุธปืนไม่ใช่การแก้ปัญหาได้อย่างแท้จริง 

 

“หลายคนไม่รู้สึกว่าการงดต่อใบอนุญาตเป็นเรื่องใหญ่ เพราะหลายฝ่ายหลายคนก็ไม่ได้ปรารถนาที่จะครอบครองปืนอยู่แล้ว” 

 

บรรยากาศภายหลังเยาวชนชายอายุ 14 ปี ก่อเหตุใช้ปืนยิงประชาชนในศูนย์การค้าสยามพารากอน 

ทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย เป็นนักท่องเที่ยวจีนและสาวชาวเมียนมา 

เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2566

ภาพ: ฐานิส สุดโต 

 

หากมองลึกลงไปในรายละเอียดจะเห็นว่าการก่อเหตุคร่าชีวิตคนบริสุทธิ์ในช่วงที่ผ่านมาล้วนเป็นการครอบครอง ‘ปืนเถื่อน’ ทั้งสิ้น เมื่อมีการงดต่อใบอนุญาตให้ถือครองปืนไปแล้ว หากหลังจากนี้ยังมีกรณีในลักษณะเดียวกันเกิดขึ้นอีก นั่นหมายความว่ามาตรการการงดต่อใบอนุญาตให้ถือครองปืนใช้ไม่ได้ผลใช่หรือไม่ 

 

ทั้งนโยบาย ‘คุมมาเฟีย’ และ ‘เคลียร์กลิ่นลูกปืน’ ของกระทรวงมหาดไทย จะสัมฤทธิผลประสบความสำเร็จ ‘เหมือน’ หรือ ‘ต่าง’ จากรัฐบาลในอดีต อนุทินในฐานะเจ้ากระทรวงต้องรีบใช้โอกาสตลอด 4 ปี โชว์ฝีมือและพิสูจน์ผลงานให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาประชาชนที่เฝ้าติดตาม  

 

หากประสบความสำเร็จก็ถือเป็นโอกาสทองของพรรคภูมิใจไทยที่จะกวาดคะแนนความนิยมจากประชาชนสู่การเลือกตั้งครั้งหน้าในปี 2570

 

อย่าลืมว่าการเลือกตั้งเมื่อกลางปีผ่านมา แม้ภูมิใจไทยจะได้ สส. ถึง 71 ที่นั่ง ได้เป็นตัวแปรสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาล และเป็นพรรคอันดับ 2 ในรัฐบาล แต่หากมองลึกลงไปก็จะเห็นว่า คะแนนมหาชน (สส. แบบบัญชีรายชื่อ) มีเพียงล้านนิดๆ เท่านั้นเอง

The post ชำแหละนโยบาย ‘คุมมาเฟีย เคลียร์กลิ่นลูกปืน’ โอกาสทองที่ท้าทายภูมิใจไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘คุมมาเฟีย เคลียร์กลิ่นลูกปืน’ มหาดไทย ‘ยุคอนุทิน’ https://thestandard.co/interior-work-in-anutin-era/ Sat, 23 Dec 2023 04:00:30 +0000 https://thestandard.co/?p=879681

การเลือกตั้งเมื่อกลางปีที่ผ่านมา พรรคภูมิใจไทยได้สมาชิก […]

The post ‘คุมมาเฟีย เคลียร์กลิ่นลูกปืน’ มหาดไทย ‘ยุคอนุทิน’ appeared first on THE STANDARD.

]]>

การเลือกตั้งเมื่อกลางปีที่ผ่านมา พรรคภูมิใจไทยได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งสิ้น 71 ที่นั่ง โดยไม่ถึงตามเป้าที่หวังไว้ (100 ที่นั่ง) แต่ก็มากพอที่จะทำให้เป็นพรรคการเมืองตัวแปรสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาล และเป็นพรรคอันดับ 2 ในรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน

 

เมื่อพรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาลต้องการกระทรวงเดิมทั้งหมดของพรรคภูมิใจไทยในรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา พรรคจึงได้ยื่นข้อเสนอว่าต้องการคุมกระทรวงมหาดไทย ที่มาพร้อมกับโควตา (4 + 4) เก้าอี้รัฐมนตรี ประกอบด้วย 4 รัฐมนตรีว่าการ และ 4 รัฐมนตรีช่วยว่าการ คือ 2 กระทรวงเกรดเอ (กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงศึกษาธิการ) พ่วงด้วยกระทรวงแรงงาน และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม

 

‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย คนที่ 52 เปิดห้องทำงานภายในกระทรวงมหาดไทยต้อนรับทีมข่าว THE STANDARD พูดคุยถึงบทบาทการทำงานตลอด 3 เดือน ภายใต้รัฐนาวาที่นำโดยเศรษฐา ทวีสิน

 

แม้คนจากพรรคภูมิใจไทยมีความคุ้นเคยกับกระทรวงมหาดไทยเป็นอย่างดี เนื่องจากเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ชวรัตน์ ชาญวีรกูล บิดาของอนุทินเคยนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย คนที่ 48 ในรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อปี 2551  

 

แต่การนั่งเก้าอี้ มท.1 ของอนุทินตลอดระยะเวลาเกือบ 3 เดือนที่ผ่านมา ถูกสังคม ‘รับน้อง’ ไปไม่น้อย ทั้งผู้มีอิทธิพลออกมาอาละวาด รังแกประชาชน หรือแม้แต่กรณีปืนเถื่อนออกมาก่อเหตุคร่าชีวิตคนบริสุทธิ์ไปแล้วจำนวนไม่น้อย เขาจึงมาพร้อมกับภารกิจที่ต้องเร่งแก้ปัญหาเหล่านี้ให้จงได้ และทำควบคู่ไปกับการเดินหน้าปลูกจิตสำนึกสร้างความสามัคคี เพื่อจัดระเบียบสังคมใหม่ 

 

จากซ้าย อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย, ทรงศักดิ์ ทองศรี, ชาดา ไทยเศรษฐ์ และเกรียง กัลป์ตินันท์ 3 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย 

ภาพ: ณาฌารัฐ ภักดีอาสา

 

3 เดือน ดรีมทีมมหาดไทยยุคอนุทิน 

 

“คนที่จะให้คะแนนต้องเป็นประชาชน” อนุทินเริ่มต้นบทสนทนากับทีมข่าว THE STANDARD หลังถูกให้คะแนนบทบาทเจ้ากระทรวงมหาดไทยของตนเอง ร่วมกับดรีมทีมรัฐมนตรีช่วยว่าการทั้ง 3 ท่าน

 

เขากล่าวต่อว่า ตลอดระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา ทุกอย่างเป็นไปด้วยความราบรื่น นโยบายของรัฐบาล เราได้ตอบสนองในทุกเรื่อง นโยบายของตนเองในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยที่ได้ให้สัญญากับประชาชนไว้ในช่วงหาเสียง หลายๆ อย่างเราก็ทำไปเรียบร้อยแล้ว หลายๆ อย่างกำลังดำเนินการ ส่วนที่ไม่ได้กำกับดูแลด้วยตนเองก็กำลังหาหนทางประสานความร่วมมือกับกระทรวงที่เกี่ยวข้อง 

 

ส่วนการทำงานร่วมกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยทั้ง 3 ท่าน ได้แก่ ทรงศักดิ์ ทองศรี, ชาดา ไทยเศรษฐ์ และเกรียง กัลป์ตินันท์ ได้มีการแบ่งงานกันในกรมและรัฐวิสาหกิจที่ขึ้นตรงต่อกระทรวงมหาดไทยให้แต่ละท่านได้กำกับดูแล ทุกอย่างเป็นไปตามระบบการบริหารที่ยึดหลักธรรมาภิบาล

 

  • ทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย จากพรรคภูมิใจไทย สั่งและปฏิบัติราชการกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และกำกับดูแลการประปานครหลวง
  • ชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย จากพรรคภูมิใจไทย สั่งและปฏิบัติราชการกรมการพัฒนาชุมชน กรมที่ดิน และกำกับดูแลการประปาส่วนภูมิภาค
  • เกรียง กัลป์ตินันท์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย จากพรรคเพื่อไทย สั่งและปฏิบัติราชการกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กรุงเทพมหานคร และกำกับดูแลองค์การตลาด และองค์การจัดการน้ำเสีย

 

แน่นอน…เกรียง กัลป์ตินันท์ หนึ่งในรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ถูกจับตามองเป็นอย่างมากในฐานะคนของพรรคเพื่อไทย เจ้าของพื้นที่ภาคอีสานตอนใต้ (จังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ และอำนาจเจริญ) ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาพรรคภูมิใจไทยไปเจาะพื้นที่จนได้เก้าอี้ สส. และการที่เกรียงเข้าเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยที่อยู่ในการกำกับดูแลของพรรคภูมิใจไทยจึงมีนัยทางการเมืองเช่นกัน

 

อนุทินตอบคำถามด้วยน้ำเสียงมีอารมณ์ว่า “ทำไมต้องถามถึงท่านเกรียงท่านเดียว แล้วทำไมต้องบอกว่าใครเป็นเจ้าของพื้นที่ มันไม่มีใครเป็นเจ้าของพื้นที่ใดๆ ในประเทศนี้ เจ้าของประเทศนี้คือประชาชน”

 

อนุทินอธิบายต่อว่า เรา (พรรคภูมิใจไทย) ไม่เคยแย่งพื้นที่ของใครทั้งสิ้น ทุกคนทำงานอย่างเต็มที่เพื่อประชาชน เมื่อถึงเวลาประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะเลือกตั้งให้ใครเข้ามาทำหน้าที่แทน ยืนยันว่าไม่มีนาย ก หรือนาย ข 

 

อนุทิน ชาญวีรกูล ชูมือ ‘เกรียง กัลป์ตินันท์’พร้อมด้วย 2 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยจากพรรคภูมิใจไทย และสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในโอกาสเข้ารับตำแหน่งวันแรก เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2566 

แฟ้มภาพ: ฐานิส สุดโต 

 

“การทำงานของผมและท่านเกรียงเป็นไปได้ด้วยพี่ด้วยน้อง ผมเรียกท่านว่าพี่ทุกคำ ท่านก็ปฏิบัติต่อผมด้วยการให้เกียรติซึ่งกันและกัน” 

 

อนุทินบอกอีกว่า ตนเองได้มอบหมายงานต่างๆ ให้เกรียง ทั้งกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งถือเป็นกรมใหญ่ในกระทรวงมหาดไทย กรุงเทพมหานคร องค์การตลาด องค์การจัดการน้ำเสีย และในคำสั่งการมอบงานไม่ใช่เฉพาะเกรียง แต่รวมถึงทรงศักดิ์และชาดาล้วนเป็นคำสั่งเดียวกันหมด 

 

“ทุกคนต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ต้องใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการหน่วยงานที่ได้รับมอบหมาย ต้องนำเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับงบประมาณ การบริหารงานบุคคล เรื่องที่เป็นนโยบาย ไปดูคำสั่งมอบหมายงานของกระทรวงไหนๆ ทั้ง 20 กระทรวงที่มีอยู่ก็เป็นข้อความเดียวกันหมด

 

“ไม่มีการแยกเป็นกรณีพิเศษ เป็นการจำเพาะเจาะจงใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่ากระทรวงไหน คนไหน ฉะนั้นตรงนี้ต้องขอความเป็นธรรมด้วย”

 

อนุทิน ชาญวีรกูล ดึง ชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย มาพูดคุย 

แฟ้มภาพ: ฐานิส สุดโต 

 

มอบ ‘ชาดา’ เจ้าพ่อแห่งลุ่มน้ำสะแกกรัง ปราบมาเฟีย


ในช่วงแรกที่อนุทินเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย สังคมไทยเกิดเหตุอุกอาจจากกลุ่มผู้มีอิทธิพล นักการเมืองท้องถิ่นที่จังหวัดนครปฐม และสร้างแรงสั่นสะเทือนไปถึงทำเนียบรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทย

 

เขาในฐานะผู้บังคับบัญชาจึงประกาศถอนรากถอนโคนปราบปรามเจ้าพ่อ-มาเฟีย พร้อมกับสั่งการให้ผู้ที่ถูกขนานนามว่าเป็นเจ้าพ่อแห่งลุ่มน้ำสะแกกรัง ‘ชาดา ไทยเศรษฐ์’ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย จากพรรคภูมิใจไทย ได้โชว์ฝีมือและพิสูจน์ผลงาน

 

“ผมได้มอบหมายให้ ชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้กำกับดูแลรับผิดชอบ” อนุทินบอกกับ THE STANDARD 

 

ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาชาดาได้ดำเนินการไปหลายอย่าง ทั้งเรื่องการขึ้นบัญชี รวมถึงการส่งสัญญาณไปยังเจ้าตัว (ผู้มีอิทธิพล) ว่าขอให้ยุติการกระทำลักษณะข่มเหงรังแกพี่น้องประชาชน 

 

อนุทินอธิบายนิยามคำว่าผู้มีอิทธิพลคือ บุคคลที่ถืออาวุธปืนไปไหนมาไหน และใช้อิทธิพลของตนเองไปข่มเหงรังแกผู้ที่ด้อยกว่า ตนเองไม่อยากใช้คำว่าผู้มีอิทธิพล แต่เรียกว่าปราบปรามอันธพาล คนที่คิดว่าตัวเองมีอิทธิพลและอำนาจเหนือคนอื่น จึงได้สั่งการให้ชาดาเน้นเรื่องนี้เป็นพิเศษ 

 

“เราเน้นทำให้สังคมมีความเป็นระเบียบมากขึ้น เรื่องผู้มีอิทธิพล ขอให้ปราบปรามได้ทุกวันถือว่าเป็นผลงานแล้ว เพราะมีจำนวนมากและหลายรูปแบบ มีตั้ง 16 ประเภท ทั้งปล่อยเงินกู้นอกระบบ ค้าของเถื่อน ค้าประเวณี น้ำมันเถื่อน บ่อนการพนัน ยาเสพติด หลายประเภท เราเน้นเรื่องการข่มเหงรังแกผู้ที่ด้อยกว่าก่อน เรื่องนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ถ้าใช้ความเป็นอิทธิพลของตนเองไปข่มเหงรังแกประชาชนทั่วไปได้ ประเทศก็จะไม่มีสังคมที่สงบสุข ผมจึงให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษ” 

 

อนุทินยืนยันว่านโยบายการปราบปรามผู้มีอิทธิพลภายใต้การปราบปรามของชาดา กระทรวงมหาดไทยไม่ได้ขีดเส้นการดำเนินการ แต่เริ่มเห็นผลการปราบปรามแล้ว

 

“หนีกันหัวซุกหัวซุน ไม่มีที่อยู่อย่างปกติได้อีกต่อไป ถูกจับดำเนินคดี ถ้าต่อสู้ตำรวจ บางคนก็ถูกยิงเสียชีวิต บางคนหนีหัวซุกหัวซุน อยู่เป็นหลักแหล่งไม่ได้ นี่คือสิ่งที่เป็นผลพวงจากการดำเนินการปราบปราม เราไม่ได้ปล่อยให้ใครอยู่ได้อย่างเป็นปกติ แม้จะมีตำแหน่งแห่งหนทางราชการ ยิ่งทำก็ยิ่งโดน โดนดำเนินคดีเหมือนคนทั่วไป ไม่ได้มีอภิสิทธิ์ใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นความชัดเจนที่เห็นและจับต้องได้ในงานของกระทรวงมหาดไทยในยุคนี้” อนุทินกล่าว

 

ภาพ: ณาฌารัฐ ภักดีอาสา

 

รื้อกฎหมาย เคลียร์กลิ่นลูกปืนเถื่อน 

 

นโยบายถือครองอาวุธปืนที่กระทรวงมหาดไทยเตรียมรื้อกฎหมายควบคุมอาวุธปืน-สิ่งเทียมอาวุธปืน โดยเฉพาะในช่วงที่เขาเข้ามารับตำแหน่ง มท.1 คนที่ 52 เกิดกรณีปืนเถื่อนออกมาก่อเหตุคร่าชีวิตคนบริสุทธิ์ โดยเฉพาะเหตุกราดยิงภายในศูนย์การค้าย่านใจกลางเมืองเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา แต่มีกลุ่มบุคคลที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายนี้  

 

“ผมไม่แลกชีวิตประชาชนกับเหตุผลอื่นๆ ประเทศไทยเราเป็นนิติรัฐ ต้องใช้กฎหมาย และเจ้าหน้าที่ที่เป็นเจ้าพนักงานให้ความคุ้มครองความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนได้ ไม่ใช่เป็นประเทศที่ประชาชนสามารถตัดสินใจป้องกันตนเองได้โดยใช้อาวุธที่ร้ายแรง ผมตอบง่ายๆ แค่นี้” อนุทินกล่าว

 

หากเราบอกว่าประเทศไทยเป็นเมืองที่เจริญทั้งทางด้านวัฒนธรรม ประเพณี และสังคม ดังนั้นเราจึงปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นไม่ได้ สิ่งที่ผ่านมาอาจเป็นสิ่งที่ผิดก็ได้ สิ่งที่ตนเองกำลังทำอยู่อาจเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่อาจไม่ได้รับการปฏิบัติมา อาจเป็นสิ่งใหม่ที่คนไม่คุ้นเคย 

 

“ประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศแค่ครอบครองอาวุธก็มีโทษถึงขั้นประหารชีวิตแล้ว แต่ประเทศไทยไปยอมให้คนที่ไม่มีใบอนุญาตสามารถพกปืนออกจากบ้านได้เป็นกิจวัตรประจำวัน อาบน้ำ แต่งตัว หวีผม เสร็จแล้วเอาปืนพกเข้าเอว แล้วเดินออกไปใช้ชีวิตข้างนอก ไปทำงาน ดำเนินชีวิตอยู่ข้างนอก แบบนี้ไม่ได้ มันไม่ใช่ประเทศ แบบนี้คือบ้านป่าเมืองเถื่อน” อนุทินกล่าว 

 

ภาพ: ณาฌารัฐ ภักดีอาสา

 

ดังนั้นถ้าจะถือครองอาวุธได้ อนุญาตเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือเจ้าพนักงานบุคคลที่เป็นคนของราชการ ที่มีหน้าที่ปกป้องคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว 

 

อนุทินบอกอีกว่า สิ่งที่ตนเองดำเนินการหลังจากนี้คืองดต่อใบอนุญาตการพกพาอาวุธปืน ซึ่งที่ผ่านมามีการต่อใบอนุญาตแบบปีต่อปี ตนเองเข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเมื่อเดือนกันยายน 

 

หากบอกว่านโยบายนี้มีมาตั้งแต่เดือนกันยายน 2566 ใบอนุญาตพกพาปืนต่อแบบปีต่อปี เท่ากับว่าภายในเดือนกันยายน 2567 ประเทศไทยก็จะไม่มีบุคคลที่สามารถพกปืนไปไหนมาไหนได้อีก ใครต่ออายุใบอนุญาตถือว่ากระทำความผิด ผิดคำสั่ง ผิดกฎหมาย ผิดนโยบาย ผิดทุกเรื่อง 

 

อนุทินย้อนถามว่า “แบบนี้สังคมจะดีขึ้นหรือไม่

 

“ถ้าใครยังพกปืนโดยที่ไม่มีใบอนุญาต คุณตั้งใจทำผิดกฎหมาย คุณต้องมีเจตนาที่ไม่ดีแน่ๆ กับใครคนใดคนหนึ่ง คุณถึงต้องพกปืนออกไปทั้งที่ไม่มีใบอนุญาต ตำรวจก็จะดำเนินคดีโดยเฉียบขาด”

 

มท.1 บอกอีกว่า การขอใบอนุญาตนำเข้าปืนก็จะไม่มีอีกต่อไป เราต้องรักษาชีวิตประชาชนในชาติ รักษาความปลอดภัยให้คนทั้งโลกได้เห็นว่าถ้าเขามาเที่ยว มาลงทุน มาทำงานในประเทศไทย เขาต้องมีความปลอดภัยในชีวิตเป็นสิ่งแรก 

 

อนุทินกล่าวอีกว่า รัฐบาลมีเสียงในสภาถึง 314 เสียง ต้องเดินเรื่องกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อควบคุมอาวุธปืนและอาวุธปืนสิ่งเทียมต่อไป หากแก้ไขแล้วเพียงพอก็แก้ไข ส่วนไหนที่แก้ไขแล้วไม่เพียงพอก็ต้องเสนอเป็นพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ใหม่ 

 

เดินหน้าปลูกจิตสำนึกรักชาติ สามัคคี แก้ปัญหาความรุนแรงในสถานศึกษา 

 

“ผมคิดว่าประเทศนี้มีความแตกแยกมากในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา มีความพยายามของคนบางกลุ่ม พรรคการเมืองบางพรรคที่คิดจะเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองบ้านเมืองนี้ สถาบันที่เป็นที่เคารพบูชาสูงสุดของประเทศไทยได้รับการท้าทาย ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้” อนุทินตอบคำถามเรื่องถึงนโยบายล่าสุดที่เป็นความร่วมมือภายใน 4 กระทรวงที่พรรคภูมิใจไทยกำกับดูแล ปลูกฝังให้เป็นคนมีจิตสำนึกรักชาติและภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์ชาติไทย 

 

อนุทินเล่าย้อนว่า ในยุคสมัยที่ตนเองโตมาไม่มีเด็กคนใดที่จะกล้าท้าทายผู้ใหญ่ เห็นต่างได้ ถกเถียงได้ แต่ไม่มีการใช้ถ้อยคำที่รุนแรงและหยาบคาย ใช้กู-มึงพูดคุยกับผู้ใหญ่อย่างไม่มีสัมมาคารวะ 

 

ตนเองจึงเชื่อว่าหากเรียกตัวเองว่าเป็นคนไทย สิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้น เพราะนี่คือวัฒนธรรมอันดีงามที่ทำให้เรามีระเบียบวินัย มีความเคารพ มีความเกรงใจซึ่งกันและกัน และทำให้ประเทศไทยฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ มาได้อย่างราบรื่นโดยตลอด 

 

ในอดีตเราถูกสอนว่าประเทศไทยมี 3 สถาบันหลักคือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ แต่ปัจจุบันมีการเพิ่มคำว่า ‘ประชาชน’ เข้าไป นั่นไม่ได้หมายความว่าเราอยู่กับยุคเดิมๆ ไม่มีการปรับเปลี่ยน ตอนนี้เวลาพูดเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และไม่มีใครเคยลืมคำว่าประชาชน นั่นหมายความว่าตอนนี้ประชาชนคืออีกหนึ่งสถาบันหลักของชาติเช่นกัน

 

ส่วนเรื่องกลุ่มนักเรียนก่อเหตุวิวาทยกพวกตีกัน อนุทินมองเรื่องเหล่านี้ว่าเป็นช่วงวัย ขณะนี้เวลาก่อเหตุวิวาทมีอาวุธที่ผิดกฎหมาย อาวุธที่ร้ายแรงคร่าชีวิตคนได้เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ลูกผู้ชายทำกัน แต่คืออันธพาล 

 

“ถ้าเราปลูกฝังเรื่องพวกนี้ ต่อยกันได้ ชกกันได้ เวลามีเรื่องชกต่อยกับเพื่อน ครูก็ลงโทษทั้งคู่ สมัยผมเรียนโรงเรียนชายล้วน ผมถูกเฆี่ยนด้วยแล้วก็หลาบจำ มันทำให้เห็นว่าถ้าเราไม่มีความสามัคคีกัน ไม่มีความรักเพื่อนพ้อง คนที่เจ็บคือเราทั้งสองฝ่าย นี่คือวิธีการปลูกจิตสำนึก” 

 

อนุทินเชื่อว่าการปลูกฝังนั้นมีประโยชน์ ในอดีตวิชาต่างๆ ทั้งวิชาประวัติศาสตร์ ศีลธรรม หน้าที่พลเมือง เป็นวิชาจำเพาะ มีชั่วโมงของวิชานั้นๆ แต่ปัจจุบันถูกรวมอยู่ในส่วนหนึ่งที่เรียกว่าการสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต ซึ่งไม่ใช่วิชาหลัก ความเข้มของเนื้อหาน้อยลง โดยขอให้มีการสังคายนาขึ้นใหม่ ให้ปลูกฝังให้เกิดความภูมิใจในประเทศ ชาติกำเนิดของตัวเอง ความเป็นคนไทย และสิ่งที่ประเทศไทยมีอยู่

 

“เราไม่ได้มาผิดทาง เรากำลังจะไปถูกทางด้วยซ้ำ เพราะมันถึงเวลาแล้วที่ประเทศของเราควรจะต้องมีความกลมเกลียวเหนียวแน่น เพราะโลกจากนี้ไปเป็นโลกที่ต้องมีความสามัคคี” อนุทินกล่าว 

 

ภาพ: ณาฌารัฐ ภักดีอาสา

 

ภูมิใจไทยไม่ใช่พรรคอนุรักษนิยม

 

ด้วยจำนวน สส. 71 เสียงนั้น ทำให้ภูมิใจไทยถูกมองว่าเป็นพรรคการเมืองอันดับ 1 ในขั้วอนุรักษนิยม เข้าสู่ปีที่ 15 พรรคภูมิใจไทยเคยเป็นฝ่ายค้านเพียงครั้งเดียว และเป็นพรรคร่วมรัฐบาลมาโดยตลอด ซึ่งมีสโลแกนว่า ‘พูดแล้วทำ’ ไม่มีนโยบายไหนที่พูดไปแล้วทำไม่ได้ 

 

หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยกล่าวแย้งว่า ภูมิใจไทยไม่ใช่พรรคอนุรักษนิยม แต่เป็นพรรคการเมืองไฮบริด (ลูกผสม) ที่อนุรักษ์สิ่งดีงามของประเทศไทย คุณค่าความเป็นประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศที่มีวัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิตที่งดงาม เราก็หวงแหนสิ่งเหล่านี้ มีสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เป็นความภาคภูมิใจของคนไทยส่วนใหญ่ทั้งประเทศ 

 

ขณะเดียวกันเราก็เป็นพรรคปฏิบัติงานปฏิบัติการ เราทำงานด้วยใจ พูดทีไรก็อาจมีคนตีความ งานเข้าอยู่บ่อยครั้ง แต่ต้องดูความตั้งใจ เรากล้าที่จะทำสิ่งที่หลายพรรคไม่เคยทำ เพราะมั่นใจว่าจะเป็นประโยชน์แก่ประชาชน และเป็นพรรคที่คิดถึงกติกาใหม่ของโลกเสมอ 

 

เขายืนยันอีกว่า ขณะนี้ยังไม่มีนโยบายใดของพรรคภูมิใจไทยที่พูดไปแล้ว ‘ทำไม่ได้’ เพราะนโยบายใดที่คิดว่าทำไม่ได้ เราก็จะไม่พูด ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยพูดในสิ่งที่ทำไม่ได้ เพราะไม่ชอบสัญญาอะไรกับใครแล้วทำไม่ได้ แล้วก็ไม่พูดอะไรมากเกินไป หากประชาชนหลงเชื่อแล้วเลือกเรา ตนเองตระหนักดีว่าผลสะท้อนนั้นรุนแรงเกินกว่าจะรับได้ พรรคภูมิใจไทยจึงจะไม่มีวันเป็นพรรคการเมืองที่โกหกประชาชน

 

The post ‘คุมมาเฟีย เคลียร์กลิ่นลูกปืน’ มหาดไทย ‘ยุคอนุทิน’ appeared first on THE STANDARD.

]]>