นริศ สถาผลเดชา – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Mon, 20 May 2024 06:53:34 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 มุมมองเศรษฐกิจไทยปี 67 และความท้าทายที่ไม่อาจมองข้าม https://thestandard.co/perspective-on-the-thai-economy-in-2024/ Thu, 14 Dec 2023 04:01:07 +0000 https://thestandard.co/?p=876604 เศรษฐกิจไทย

หากติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจมาตั้งแต่ต้นปีจนถึงช่วงโค้งสุ […]

The post มุมมองเศรษฐกิจไทยปี 67 และความท้าทายที่ไม่อาจมองข้าม appeared first on THE STANDARD.

]]>
เศรษฐกิจไทย

หากติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจมาตั้งแต่ต้นปีจนถึงช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ ในภาพรวมจะเป็นการทยอยฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ด้วยแรงขับเคลื่อนจากการบริโภคในประเทศและการท่องเที่ยว ขณะที่ภาคการส่งออกเผชิญความท้าทายค่อนข้างหนักในปีนี้ มองไปในปี 2567 เครื่องยนต์ด้านต่างๆ มีแนวโน้มขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้มากขึ้น ทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจดูสดใสกว่าปีนี้ อย่างไรก็ดี ยังคงมีโจทย์ความท้าทายหลายด้านที่ไม่อาจมองข้าม จะมีประเด็นอะไรบ้าง ชวนมาติดตามไปพร้อมๆ กัน 

 

เศรษฐกิจไทยโค้งสุดท้ายปี 2566 มีโมเมนตัมขยายตัวดีขึ้น และมีแรงส่งต่อเนื่องไปยังปีหน้า จากตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 3/66 ขยายตัวต่ำกว่าคาด ทำให้ใน 9 เดือนแรกของปี 2566 เศรษฐกิจไทยขยายตัวเพียง 1.9% เท่านั้น อย่างไรก็ดี ในไตรมาส 4 เห็นสัญญาณบวกจากเครื่องยนต์การท่องเที่ยวและการส่งออก โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติมีแนวโน้มเร่งขึ้นในไตรมาสสุดท้าย หลังเริ่มเข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งปี 2566 อยู่ที่ราว 28 ล้านคน จากช่วง 10 เดือนแรกของปี 2566 อยู่ที่ 22 ล้านคน อีกทั้งการส่งออกสินค้าที่เริ่มฟื้นขยายตัวเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน โดยในเดือนตุลาคมเติบโต 8% ทำสถิติสูงสุดในรอบ 13 เดือน สอดคล้องกับการฟื้นตัวของการค้าโลก 

 

อย่างไรก็ดี แม้จะเห็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจดีขึ้นในไตรมาส 4 แต่ในภาพรวมแล้วเครื่องยนต์เศรษฐกิจแทบทุกด้านยังทำงานได้ไม่เต็มศักยภาพ ทำให้ปี 2566 เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ต่ำกว่าประมาณการเดิมที่ 2.8% หรือขยายตัวในระดับต่ำกว่าปี 2565

 

กิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศและทิศทางการค้าโลกที่ปรับตัวดีขึ้น หนุนเศรษฐกิจไทยปี 2567 เติบโตเร่งขึ้น เริ่มจากการบริโภคภาคเอกชนคาดขยายตัวได้ต่อเนื่องจากปี 2566 ที่ทำสถิติสูงสุดในรอบ 20 ปี หรือมากกว่า 2 เท่าของค่าเฉลี่ย 10 ปี หนุนด้วยตลาดแรงงานที่เติบโตดี โดยเฉพาะรายได้นอกภาคเกษตรที่ฟื้นตัวได้มากกว่าระดับก่อนวิกฤตโควิด รวมทั้งอาจมีปัจจัยบวกเพิ่มจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น หรือนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติกู้เงิน วงเงิน 5 แสนล้านบาท ของคณะกรรมการกฤษฎีกา 

 

สำหรับภาคการส่งออก คาดกลับมาขยายตัวเป็นบวกที่ราว 2-3% สอดคล้องกับองค์การการค้าโลก (WTO) คาดปริมาณการค้าโลกเติบโต 3.3% จากที่ชะลอตัวลงที่ 0.8% ในปี 2566 โดยขณะนี้เริ่มมีสัญญาณของการฟื้นตัว สะท้อนจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคอุตสาหกรรม สำหรับยอดคำสั่งซื้อใหม่และแนวโน้มขาขึ้นของวัฏจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ 

 

อีกทั้งแม้เศรษฐกิจตลาดหลักทั้งสหรัฐฯ และยุโรปจะชะลอตัว แต่เศรษฐกิจเอเชีย (ไม่รวมจีน) ได้แก่ อาเซียน (5 ประเทศ) เกาหลีใต้ และไต้หวัน มีแนวโน้มขยายตัวได้ดีขึ้นเฉลี่ยมากกว่า 3% ตลอดจนเศรษฐกิจประเทศตะวันออกกลางและอินเดียที่มีแนวโน้มเติบโตได้ในระดับสูง สามารถเป็นปัจจัยสนับสนุนการส่งออกของไทย โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์ และอาหาร ในทำนองเดียวกัน ภาคการท่องเที่ยวคาดเติบโตต่อเนื่องจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ คาดอยู่ที่ราว 33 ล้านคน หรือคิดเป็น 82% ก่อนเกิดวิกฤตโควิด 

 

อย่างไรก็ตาม แม้มีปัจจัยบวกหลายประการที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้มีโอกาสเติบโตได้มากกว่า 3% ซึ่งจะเป็นปีแรกในรอบ 5 ปี แต่ยังมีหลายความท้าทายที่อาจฉุดรั้งการเติบโต เช่น

 

  • การส่งออกของไทยยังต้องเผชิญความท้าทายจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลัก โดยเฉพาะสถานการณ์เศรษฐกิจจีนที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประเมินว่าสามารถเติบโตได้ 5% ในปี 2566 ตามเป้าหมายที่รัฐบาลจีนได้ตั้งไว้ แต่การเติบโตของจีนจะชะลอตัวอยู่ที่ 3.5% ในระยะกลาง อีกทั้งล่าสุด Moody’s สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ได้ปรับลดแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของรัฐบาลจีนสู่เชิงลบ สะท้อนถึงมุมมองการชะลอตัวของเศรษฐกิจในระยะกลาง (GDP ปี 2567-2568 เฉลี่ยที่ 4%) และความเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤตในภาคอสังหาริมทรัพย์ 
  • ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์โลกในภูมิภาคต่างๆ ซึ่งอาจเป็นข้อจำกัดต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ผ่านช่องทางการส่งออกและความผันผวนในตลาดการเงิน อาทิ สงครามอิสราเอล-กลุ่มฮามาสชาวปาเลสไตน์ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 แม้ ณ ขณะนี้พื้นที่การสู้รบยังอยู่ในวงจำกัด แต่หากสถานการณ์ยืดเยื้อ ลุกลามนำไปสู่ความไม่สงบภายในภูมิภาคตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นประเทศคู่ค้าที่สำคัญของไทย และเป็นภูมิภาคที่มีแนวโน้มเศรษฐกิจเติบโตดี รวมทั้งเป็นแหล่งผลิตน้ำมัน อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกและราคาพลังงานโลกให้ปรับตัวสูงขึ้น 
  • สภาวะเอลนีโญที่ทำให้ปริมาณน้ำฝนน้อยกว่าค่าเฉลี่ยปกติ อาจทำให้เกิดภัยแล้งในปี 2567 ส่งผลต่อผลผลิตทางการเกษตร และเป็นความเสี่ยงที่ทำให้ต้นทุนราคาสินค้าเกษตรและอาหารอาจปรับสูงขึ้น ซึ่งกดดันต่อการขยายตัวของการบริโภคในประเทศ
  • ความเปราะบางของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ SMEs สะท้อนจากหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูงแตะ 90% ต่อ GDP และคุณภาพสินเชื่อของธุรกิจ SMEs ทรงตัวที่ระดับ 6% ซึ่งเป็นแรงกดดันต่ออำนาจซื้อ 

 

จากภาพรวมเศรษฐกิจข้างต้น อาจกล่าวได้ว่าในปี 2567 จะเป็นปีที่เศรษฐกิจไทยมีทิศทางฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยขยายตัวในอัตราเร่งขึ้นจากปี 2566 แม้จะมีความไม่แน่นอนจากปัจจัยภายนอกเป็นโจทย์ท้าทาย อันเนื่องจากโครงสร้างเศรษฐกิจที่ยังคงพึ่งเศรษฐกิจโลกมาก ทั้งการส่งออกและการท่องเที่ยว 

 

อย่างไรก็ดี เมื่อมองปัจจัยภายในทั้งสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ บรรยากาศการค้าการลงทุนที่ปรับตัวดีขึ้น รวมทั้งหากภาครัฐเร่งสร้างแต้มต่อทางการค้า เช่น การบุกตลาดศักยภาพ การเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) ที่ค้างอยู่ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมด้านการส่งออก รวมทั้งเร่งผลักดันมาตรการสนับสนุนการท่องเที่ยว คาดว่าจะมีส่วนเกื้อหนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศและต่างประเทศให้เติบโตได้ต่อไป ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก

The post มุมมองเศรษฐกิจไทยปี 67 และความท้าทายที่ไม่อาจมองข้าม appeared first on THE STANDARD.

]]>
ซูมอินปัจจัยหนุนเศรษฐกิจเวียดนามโตก้าวกระโดด https://thestandard.co/factors-supporting-vietnams-economic/ Wed, 08 Nov 2023 06:49:58 +0000 https://thestandard.co/?p=863632

เวียดนามเป็นประเทศที่มักถูกกล่าวถึงในฐานะประเทศที่มีศัก […]

The post ซูมอินปัจจัยหนุนเศรษฐกิจเวียดนามโตก้าวกระโดด appeared first on THE STANDARD.

]]>

เวียดนามเป็นประเทศที่มักถูกกล่าวถึงในฐานะประเทศที่มีศักยภาพโดดเด่นทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่สามารถรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจไว้ได้ในช่วงวิกฤตโควิด ในขณะที่ประเทศอื่นๆ ประสบกับภาวะเศรษฐกิจทรุดตัว มองไปข้างหน้าเศรษฐกิจเวียดนามยังคงมีแนวโน้มเติบโตดีต่อเนื่อง เป็นตลาดผู้บริโภคที่ขยายตัวเร็ว เป็นจุดหมายปลายทางของการลงทุนต่างประเทศที่น่าจับตามอง โดยมีหลายปัจจัยที่หนุนเศรษฐกิจเวียดนามให้มีแนวโน้มเติบโตดีต่อเนื่อง แต่จะมีอะไรบ้าง ชวนมาติดตามหาคำตอบในบทความนี้ 

 

โครงสร้างเศรษฐกิจแข็งแกร่ง เติบโตไม่สะดุดแม้เผชิญกับวิกฤตโควิด และยังเติบโตแรงในระยะปานกลาง ย้อนไปช่วงปี 2020-2022 สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างหนัก โดยในปี 2020 เศรษฐกิจโลกหดตัว 2.8% แต่เศรษฐกิจเวียดนามยังคงขยายตัว 2.9% และเติบโตในอัตราเร่งถึง 8% ในปี 2022 นับเป็นสถิติสูงสุดนับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจปี 1997 หนุนด้วยการบริโภคในประเทศและการส่งออกที่แข็งแกร่ง สำหรับปี 2023 เศรษฐกิจโลกเป็นไปในทิศทางชะลอตัว ซึ่งเป็นผลจากอัตราเงินเฟ้อที่ปรับสูงขึ้น การปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเป็นเวลานาน รวมถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ทำให้โมเมนตัมการเติบโตของเวียดนามชะลอตามไปด้วย เนื่องจากเศรษฐกิจพึ่งพาการส่งออกเป็นสำคัญ โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2023 มูลค่าส่งออกหดตัวราว 12% แต่มีแนวโน้มที่ปรับดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง สอดคล้องกับมุมมองของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์เวียดนามจะยังโตได้ 4.7% ในปี 2023 และ 5.8% ในปี 2024 ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่ 3% ส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคเวียดนามมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง นอกจากนี้ การมีสัดส่วนของคนวัยทำงานสูงราว 60% และจำนวนชนชั้นกลางที่กำลังเติบโต เป็นปัจจัยบวกทั้งในด้านผลิตภาพและการบริโภค จึงเป็นโอกาสในทางการค้าและการลงทุนของผู้ประกอบการทั่วโลกที่ต้องการเจาะตลาดหรือขยายตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคมายังเวียดนาม

 

แนวโน้มส่งออกขยายตัวดีต่อเนื่อง หนุนด้วยโครงสร้างการส่งออกพัฒนาไปสู่สินค้าไฮเทคและการทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) เป็นจำนวนมาก การส่งออกของเวียดนามปรับสูงขึ้นอย่างชัดเจนแตะระดับ 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ นับตั้งแต่ปี 2017 เป็นต้นมา และเมื่อเข้าสู่ปี 2018 ที่บรรยากาศการค้าทั่วโลกต่างประสบกับความตึงเครียดจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน เวียดนามกลับมีผลการส่งออกเชิงบวก แม้ท่ามกลางวิกฤตโควิดที่เริ่มต้นตั้งแต่ปลายปี 2019 การส่งออกรวมของเวียดนามยังคงมีมูลค่าส่งออกสูงถึง 2.6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือขยายตัว 8% และในปี 2021 มูลค่าส่งออกสูงถึง 3.4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเติบโต 19% จึงกล่าวได้ว่าในกว่า 1 ทศวรรษที่ผ่านมา เส้นทางการส่งออกของเวียดนามเติบโตแข็งแกร่ง และเป็นประเทศในกลุ่มอาเซียนที่มีพัฒนาการด้านการค้าระหว่างประเทศที่โดดเด่น สะท้อนจากในปี 2021 เวียดนามมีมูลค่าการค้าระหว่างประเทศสูงเป็นอันดับสองรองจากสิงคโปร์ 

 

นอกจากนี้ เบื้องหลังความสำเร็จที่สำคัญน่าจะมาจากโครงสร้างการส่งออกของเวียดนามได้พัฒนาขึ้นทั้งด้านความหลากหลายและความซับซ้อนของสินค้า รวมทั้งเพิ่มความเชี่ยวชาญในการผลิตสินค้า โดยเฉพาะสินค้าเทคโนโลยีและสินค้าที่มีความซับซ้อนสูง สินค้าส่งออกอุตสาหกรรมของเวียดนามที่สำคัญ ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีการส่งออกมากกว่า 30% ของการส่งออกทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มโทรศัพท์มือถือและชิ้นส่วน คอมพิวเตอร์ และส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ รองลงมาเป็นการส่งออกสิ่งทอและเครื่องแต่งกาย อาหารและเครื่องดื่ม และไฟฟ้า ซึ่งมีการส่งออกราว 8-13% สหรัฐฯ ยังคงเป็นตลาดส่งออกรายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม รองลงมาได้แก่ จีน เกาหลีใต้ และสหภาพยุโรป ปัจจัยหนุนการส่งออกอีกด้านหนึ่งเป็นผลมาจากผู้ผลิตชั้นนำของโลกเข้ามาลงทุนผลิตเพื่อส่งออก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งมีสัดส่วนใหญ่ที่สุดในภาคการส่งออก ล่าสุดสหรัฐฯ ประกาศให้ความร่วมมือด้านการผลิตเซมิคอนดักเตอร์และพร้อมช่วยพัฒนาศักยภาพและขยายการผลิตให้มากขึ้น โดยมองว่าเวียดนามมีศักยภาพในการเป็นหนึ่งในห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์ที่สำคัญให้กับสหรัฐฯ 

 

นอกจากนี้ การที่เวียดนามมีข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ที่ครอบคลุมตลาดสำคัญๆ มากกว่าประเทศในอาเซียน กล่าวคือเวียดนามถือเป็นเบอร์ 1 ของอาเซียนที่ทำ FTA มากที่สุด รวม 15 ฉบับ ครอบคลุม 53 ประเทศ ทั้งระดับทวิภาคี และเข้าร่วมข้อตกลง FTA แบบพหุภาคี ได้แก่ ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) และล่าสุดความตกลงการค้าเสรีระหว่างสหภาพยุโรป-เวียดนาม (EVFTA) เป็นความตกลงที่เวียดนามเปิดเสรีการค้าเกือบทุกรายการสินค้า นับเป็นอีกหนึ่งความก้าวหน้าครั้งสำคัญของเวียดนามในการเชื่อมโยงประเทศสู่เวทีการค้าการลงทุนระดับโลก ช่วยให้การค้าระหว่างประเทศหรือการทำธุรกิจกับภูมิภาคต่างๆ สะดวกขึ้น

 

จุดหมายปลายทางดึงดูดเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) โดยปี 2015 มูลค่า FDI เวียดนามเติบโตสูงแตะระดับ 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นครั้งแรก และปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยในช่วงปี 2017-2018 ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ส่งผลให้จีนเข้ามาลงทุนในเวียดนามมากขึ้น หนุนให้ยอด FDI เวียดนามเพิ่มขึ้นเป็น 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ แม้ในช่วงวิกฤตโควิด FDI ของเวียดนามก็ยังยืนอยู่ได้ที่ระดับ 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นอย่างต่อเนื่องของนักลงทุนต่างชาติต่อศักยภาพในระยะยาวของเวียดนาม 

 

ทั้งนี้ ในภาพรวมเป็น FDI ที่ลงทุนในภาคการผลิตเป็นหลัก (59% ของ FDI รวม) ปัจจุบันมีบริษัทชั้นนำระดับโลกที่เข้าลงทุน เช่น Apple, Samsung, LG และ Panasonic สำหรับในครึ่งแรกของปี 2023 FDI ของเวียดนามอยู่ที่ 8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นถึง 30% (ซึ่งสูงกว่าไทยและมาเลเซียราว 2 เท่า) แม้จะเผชิญความท้าทายอย่างมาก แต่เวียดนามยังคงเป็นจุดหมายปลายทาง FDI ที่น่าสนใจ อันเนื่องจากการเป็นห่วงโซ่อุปทานในสินค้าอุตสาหกรรมสำคัญของโลก ตลาดมีศักยภาพในการขยายตัวสูงจากความพร้อมด้านแรงงานและกำลังซื้อ การเข้าร่วมข้อตกลงการค้าเสรีหลายฉบับ และแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว รวมทั้งการสนับสนุนที่แข็งแกร่งของรัฐบาล เช่น มาตรการส่งเสริมด้านภาษี 

 

ด้วยแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจเวียดนามที่โดดเด่น คาดว่าจะเห็นการลงทุนต่างประเทศในเวียดนามเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แม้อาจถูกมองว่าเวียดนามเป็นคู่แข่งทางเศรษฐกิจหรือการค้าของหลายประเทศ ในขณะเดียวกันมองอีกมุมก็สามารถใช้โอกาสจากการเติบโตของเวียดนามในการลงทุนเปิดตลาด หรือเข้าไปมีส่วนร่วมในห่วงโซ่อุปทาน สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจลงทุนในประเทศต่างๆ ที่ต้องการเจาะตลาดที่มีศักยภาพเติบโตเร็ว โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค รวมทั้งการขยายการลงทุนในตลาดเวียดนามได้ด้วยเช่นกัน

The post ซูมอินปัจจัยหนุนเศรษฐกิจเวียดนามโตก้าวกระโดด appeared first on THE STANDARD.

]]>
Aged Society: ความท้าทายด้านแรงงานของภาคธุรกิจไทย https://thestandard.co/aged-society-business-labor-challenge/ Thu, 12 Oct 2023 03:44:06 +0000 https://thestandard.co/?p=853771 Aged Society

ปัจจุบันแม้เทคโนโลยีในโลกธุรกิจจะก้าวไปไกลขนาดไหน แต่แร […]

The post Aged Society: ความท้าทายด้านแรงงานของภาคธุรกิจไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
Aged Society

ปัจจุบันแม้เทคโนโลยีในโลกธุรกิจจะก้าวไปไกลขนาดไหน แต่แรงงานยังคงเป็นปัจจัยการผลิตที่เปรียบเสมือนฟันเฟืองเพื่อช่วยขับเคลื่อนองค์ประกอบอื่นๆ ของธุรกิจด้วย ในขณะที่ประเทศไทยเผชิญกับข้อจำกัดทางด้านแรงงานตั้งแต่ปี 2548 โดยเฉพาะการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) และมีแนวโน้มเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society) ภายในปี 2566 ซึ่งสถานการณ์ด้านแรงงานเช่นนี้มีแนวโน้มดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นสิ่งที่ภาคธุรกิจต้องมีการเตรียมพร้อมเพื่อปรับตัวรองรับและรักษาความสามารถในการแข่งขันของโลกธุรกิจยุคใหม่

 

กำลังแรงงานของไทย ณ ปัจจุบันอยู่ที่ 40 ล้านคน คิดเป็น 69% ของประชากรวัยแรงงาน

ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2565 ประเทศไทยมีประชากรทั้งหมด 66.09 ล้านคน เป็นประชากรวัยแรงงาน (อายุ 15 ปีขึ้นไป) ถึง 58.6 ล้านคน แต่เป็นกำลังแรงงานได้จริง 39.9 ล้านคน เมื่อหักผู้ว่างงานอีก 0.53 ล้านคน เหลือเป็นผู้มีงานทำจริงราว 39.37 ล้านคนเท่านั้น สำหรับในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2566 ประชากรวัยแรงงาน เพิ่มขึ้นเป็น 58.9 ล้านคน แต่เป็นกำลังแรงงานได้จริง 40.59 ล้านคน หรือคิดเป็น 68.9% หักผู้ว่างงาน 0.47 ล้านคน เหลือเป็นผู้มีงานทำจริง 40.12 ล้านคน ขณะที่ในมุมสถานประกอบการยังคงเพิ่มขึ้น โดยปี 2562 มีสถานประกอบการ 4.2 แสนแห่ง และในปี 2565 มีผู้ประกอบการเพิ่มเป็น 4.8 แสนแห่ง หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 4% แม้จะผ่านช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดก็ไม่ได้ทำให้มีจำนวนในภาพรวมลดลง โจทย์ท้าทายด้านแรงงานที่สำคัญ ณ ขณะนี้คือ กำลังแรงงานจะมีเพียงพอกับภาคธุรกิจที่มีแนวโน้มโตต่อเนื่องหรือไม่ และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อแข่งขันในธุรกิจมากพอหรือไม่

 

ไทยจะก้าวเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society) ภายในปี 2566 และเป็นสังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด (Hyper Aged Society) ในปี 2577   

สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) คือสังคมที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป เท่ากับหรือมากกว่า 10% ของประชากรทั้งหมดเป็นสิ่งที่เริ่มเกิดขึ้นกับไทยมาตั้งแต่ปี 2548 และข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน 2566 พบว่าสัดส่วนผู้สูงอายุอยู่ที่ร้อยละ 19.7 ของประชากรรวม ขณะที่สัดส่วนวัยทำงานอยู่ที่ร้อยละ 64.8 ส่งผลให้คาดว่าในปี 2566 ไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society) ตามนิยามการมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปเท่ากับหรือมากกว่า 20% โดยเป็นสัดส่วนที่มากเป็นอันดับ 2 ในกลุ่มประเทศอาเซียน รองจากสิงคโปร์ ทั้งนี้ อาจกล่าวได้ว่าอาเซียนเป็นภูมิภาคสังคมผู้สูงอายุ เพราะมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากถึง 11% อีกทั้งในปี 2577 จากการคาดการณ์ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด (Hyper Aged Society) ซึ่งจะมีสัดส่วนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป เท่ากับหรือมากกว่า 30% สอดคล้องกับอัตราการเกิดและประชากรวัยแรงงานของไทยที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง 

 

ภาคธุรกิจเผชิญความท้าทายของตลาดแรงงานทั้งด้านปริมาณและผลิตภาพแรงงาน โดยในด้านปริมาณเกิดจากการเปลี่ยนโครงสร้างประชากรไปสู่สังคมสูงวัยดังที่กล่าวมาและอัตราการเกิดที่มีแนวโน้มชะลอลง ที่ทำให้ประชากรวัยทำงานมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2559 ส่งผลให้อัตราการมีส่วนร่วมในกำลังแรงงาน (คำนวณจากกำลังแรงงานต่อประชากรวัยทำงาน) ใน 1 ทศวรรษที่ผ่านมาได้ปรับลดลงเช่นกัน จาก 72.29% ในปี 2555 เหลือ 68.07% ในปี 2565 สำหรับในด้านผลิตภาพแรงงาน (Labor Productivity) พบว่า เติบโตในระดับจำกัดและฟื้นตัวค่อนข้างช้าหลังวิกฤตโควิด โดยในช่วงปี 2557-2562 ผลิตภาพแรงงานไทยเติบโต 4.5% ต่อปี และในช่วงปี 2563-2564 ของสถานการณ์โควิดปรับลดลงที่ -1.3% และในปี 2565 อยู่ที่ -2.5% ขณะที่ในปี 2565 ผลิตภาพแรงงานของจีนฟื้นตัวได้เร็วที่ 4.8% เวียดนาม 8.8% และมาเลเซีย 5.4% นอกจากนี้ ตลาดแรงงานยังคงมีความท้าทายอีกหลายด้านที่ผู้ประกอบการธุรกิจต้องเตรียมพร้อมรองรับ เช่น

 

  • สาขาแรงงานที่มีแนวโน้มความต้องการสูงขึ้นมากในระยะยาว ได้แก่ แรงงานในภาคบริการ สะท้อนจากจำนวนผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมที่เพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่อยู่ในภาคบริการและแรงงานทักษะสูงในอุตสาหกรรมไฮเทคต่างๆ 
  • กระแสธุรกิจใหม่ทำให้ความต้องการแรงงานที่มีทักษะเฉพาะด้านเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น การยกระดับและเรียนรู้ทักษะใหม่ (Up-Skill & Re-Skill) จึงเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับแรงงานเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในอนาคต 
  • เทคโนโลยีทรานส์ฟอร์เมชัน รวมถึงความต้องการทักษะแรงงานใหม่ๆ และรูปแบบการทำงาน รวมถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ภาคธุรกิจต้องวางแผนรับมือให้พร้อมทั้งในโลกการทำงานปัจจุบันและอนาคตที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา 
  • ผู้หญิงมีแนวโน้มสำคัญมากขึ้นในตลาดแรงงานไทย สะท้อนจากอัตราการมีส่วนร่วมในตลาดแรงงาน (Labor Force Participation Rate) ของผู้หญิงสูงราว 60% ซึ่งเป็นอัตราที่มากกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค เช่น สิงคโปร์ (54%) เกาหลี (50%) และมาเลเซีย (44%) และผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะมีบทบาทในการเป็นผู้บริหารมากขึ้นด้วย 
  • ภาคธุรกิจเผชิญกับการแข่งขันที่สูงขึ้นในการจัดหาทรัพยากรบุคคล นอกจากนั้นแล้วแรงงานที่มีอยู่เดิมยังอาจเกิดปัญหาทำงานไม่ตรงกับทักษะ (Mismatching) ซึ่งอาจเป็นสาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้ผลิตภาพแรงงานอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ

แนะภาคธุรกิจรับมือกับความท้าทายด้านแรงงาน โดยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานในภาพรวม เพื่อตอบโจทย์การใช้ทรัพยากรบุคคลที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น ทำอย่างไรจึงจะทำงานได้มากขึ้นในเวลาที่สั้นลงหรือเท่าเดิม ทำอย่างไรจะทำให้งานเดิมๆ ใช้เวลาทำให้สำเร็จได้เร็วขึ้น ทำอย่างไรจึงจะลดต้นทุนแต่ไม่ลดคุณภาพได้ อีกทั้ง ปัจจุบัน ความต้องการบุคลากรในตลาดแรงงานมีความซับซ้อนมากขึ้น อันมาจากการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวของแต่ละองค์กรในการดำเนินธุรกิจ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์และแนวโน้มการทำงานในอนาคต ส่งผลให้ความต้องการทางด้านทักษะโดยเฉพาะทักษะใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์การทำงานในปัจจุบันและการจ้างงานยุคใหม่มากขึ้น ทุกองค์กรธุรกิจควรให้ความสำคัญเพื่อให้บุคลากรสามารถขับเคลื่อนองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลตามเป้าหมายที่วางไว้

The post Aged Society: ความท้าทายด้านแรงงานของภาคธุรกิจไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
ส่องอนาคตเศรษฐกิจอินเดียเติบโตแข็งแกร่ง สร้างโอกาสทางการค้า-การลงทุนของไทย https://thestandard.co/the-future-of-india-economy/ Wed, 09 Aug 2023 11:22:15 +0000 https://thestandard.co/?p=827541

อินเดียเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโ […]

The post ส่องอนาคตเศรษฐกิจอินเดียเติบโตแข็งแกร่ง สร้างโอกาสทางการค้า-การลงทุนของไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>

อินเดียเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก รองจากเยอรมนี ญี่ปุ่น จีน และสหรัฐอเมริกา แต่ด้วยความโดดเด่นของแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจ การเป็นตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่จากการมีประชากรมากที่สุดในโลก และการมีเสถียรภาพทางการเมือง เป็นปัจจัยดึงดูดกระแสเงินลงทุนจากต่างประเทศในอุตสาหกรรมชั้นนำ 

 

นอกจากนี้ยังเป็นฐานการบริโภครองรับการค้าโลกอีกด้วย ตลอดจนเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยว ทำให้อินเดียมีแนวโน้มก้าวสู่การเป็นประเทศที่มีบทบาทขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกมากขึ้นตามลำดับ จนอาจบดบังมหาอำนาจอย่างจีนที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัว การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของอินเดียจะส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกรวมทั้งประเทศไทยอย่างไร มาติดตามไปพร้อมๆ กัน 

 

อินเดียโชว์ศักยภาพเศรษฐกิจติดอันดับท็อปโลก 

 

ข้อมูลจากธนาคารโลก (World Bank) ปี 2022 สะท้อนศักยภาพของอินเดียในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น

 

  • เป็นฐานดึงดูดการลงทุนที่สำคัญของโลก โดยเงินลงทุนจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment: FDI) ไหลสู่อินเดีย 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 3% ของ FDI โลก ซึ่งจัดอยู่ในอันดับ 9 ของโลก ขณะที่สหรัฐฯ และจีนยังคงครองแชมป์อันดับ 1 และ 2 
  • ภาคการผลิต การลงทุน และการส่งออก เติบโตดี โดยมีรายได้จากการส่งออกสินค้าและบริการอยู่ที่ 7.7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ จัดเป็นอันดับ 10 ของโลก
  • เป็นผู้นำการผลิตด้าน ICT โดยมีรายได้จากการส่งออก ICT Service อยู่ที่ 1.4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ จัดเป็นอันดับ 2 ของโลก ขณะที่สหรัฐฯ และจีนอยู่อันดับ 3 และ 4 
  • ภาคการบริโภคและการลงทุนในประเทศเติบโตแข็งแกร่ง โดยมูลค่าการนำเข้าสินค้าและบริการอยู่ที่ 9 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ มากเป็นอันดับ 7 ของโลก ขณะที่สหรัฐฯ และจีนอยู่อันดับ 1 และ 2

 

นอกจากนี้ปัจจัยที่สร้างความสำเร็จของอินเดียนับตั้งแต่ยุคเริ่มต้นใช้อินเทอร์เน็ตคือ การมีชื่อเสียงจากการให้บริการในรูปแบบ Outsource แก่บริษัททั่วโลก เช่น การพัฒนาซอฟต์แวร์และการบริการลูกค้า โดยอินเดียกำลังปรับตัวสู่การเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมผ่านการลดภาษีธุรกิจ มาตรการส่งเสริมการลงทุนและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งปัจจุบันสัดส่วนการผลิตอุตสาหกรรมอยู่ที่ 16% 

 

คาดการณ์เศรษฐกิจอินเดียเติบโตแซงหน้าจีนในปี 2023 และ 2024

 

โดยล่าสุดจากประมาณการของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เศรษฐกิจอินเดียขยายตัว 6.1% ในปี 2023 และเติบโตเร่งขึ้นเป็น 6.3% ในปี 2024 ขณะที่มองเศรษฐกิจโลกมีการขยายตัวชะลอลงที่ 3% ทั้งในปี 2023 และ 2024 เช่นเดียวกับเศรษฐกิจจีนที่คาดว่าชะลอตัวลงที่ 5.2% และ 4.5% สำหรับในระยะต่อไป IMF คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจอินเดียจะสามารถรักษาการเติบโตไม่ต่ำกว่า 6% ในช่วงปี 2023-2028 ทำให้มีโอกาสที่อินเดียจะขยับอันดับดีขึ้นในศักยภาพด้านต่างๆ ที่กล่าวมาในอนาคตอีกไม่นาน

 

นอกจากนี้ S&P Global และ Morgan Stanley คาดการณ์เศรษฐกิจอินเดียว่ามีโอกาสเติบโตแซงหน้าญี่ปุ่นและเยอรมนี จนก้าวขึ้นมาเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกก่อนสิ้นทศวรรษ 2020 จากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มาจากการย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนต่างชาติ การลงทุนด้านการผลิต การเปลี่ยนแปลงด้านพลังงาน รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลขั้นสูง ตลอดจนมีการสนับสนุนจากภาคการเงินและทรัพยากรบุคคลที่แข็งแกร่ง 

 

อินเดียเติบโตแรง ถือเป็นโอกาสทางการค้าและการลงทุน ตลอดจนภาคการท่องเที่ยวของไทย 

 

ในด้านการค้าปี 2022 อินเดียมีสถานะเป็นตลาดส่งออกอันดับ 7 ของไทย ด้วยมูลค่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 23% จากปี 2021 สินค้าส่งออกสำคัญที่มีมูลค่าสูง ได้แก่ กลุ่มน้ำมันพืช, เม็ดพลาสติก, เคมีภัณฑ์ และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค 

 

สำหรับด้านการลงทุนต่างประเทศ (Thai Direct Investment: TDI) ในอินเดียปี 2022 อยู่ที่ 446 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 41% จากปี 2021 และเป็นระดับต่ำกว่าในช่วง 5 ปีก่อนสถานการณ์โควิดที่อยู่ระดับ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ TDI ไปอินเดียคิดเป็นเพียง 1% ของ TDI รวมของปี 2022 โดยสาขาที่เข้าไปลงทุน ได้แก่ การผลิต (ส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมอาหาร) การค้าส่ง-ค้าปลีก และภาคการเงิน 

 

สำหรับภาคการท่องเที่ยวในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2023 นักท่องเที่ยวอินเดียอยู่ที่ 8.9 แสนคนจากนักท่องเที่ยวทั้งหมด 15 ล้านคน โดยเป็นตลาดนักท่องเที่ยวอันดับ 4 ของไทย และอยู่ในระดับ 45% ของปี 2019 ก่อนสถานการณ์โควิด และมีแนวโน้มที่นักท่องเที่ยวอินเดียจะมีบทบาทเพิ่มขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งไทย ในขณะที่นักท่องเที่ยวจีนมีแนวโน้มชะลอลง

 

คาดการณ์แนวโน้มการส่งออกของไทยและไปลงทุนในอินเดียเพิ่มขึ้น

 

โดยอินเดียมีโอกาสขยับเป็นตลาดส่งออกที่มีมูลค่าสูงขึ้นกว่าปัจจุบัน รวมทั้งโอกาสที่จะไปลงทุนที่อินเดียในภาคการผลิตเพิ่มขึ้น เมื่อพิจารณาจากปัจจัยหนุนด้านโครงสร้างประชากร โดยเฉพาะวัยแรงงานที่มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อการเพิ่มกำลังซื้อในประเทศระยะยาว ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 มิติ ดังนี้

 

  1. มิติเชิงปริมาณ ปัจจุบันพบว่า ประชากรอินเดียอยู่ในวัยแรงงานจำนวน 874.5 ล้านคน ซึ่งคาดว่าในอีก 10 ปีข้างหน้าจะเพิ่มขึ้นแตะ 1,054 ล้านคน ซึ่งเป็นปัจจัยเร่งต่อกำลังซื้อ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีทิศทางเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

  1. มิติเชิงคุณภาพ ผ่านการยกระดับสถานะทางรายได้ ในช่วง 1 ทศวรรษที่ผ่านมาอินเดียมีการเพิ่มขึ้นของรายได้ต่อหัวสูงถึง 56% มากเป็นอันดับ 2 ของประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ 10 อันดับแรกของโลก 

 

สอดคล้องกับงานศึกษาของ Bain & Company ที่ประมาณการในปี 2030 ประชากรอินเดียที่มีรายได้ปานกลางในระดับสูงขึ้นไปจะมีสัดส่วน 51% ของจำนวนประชากรทั้งหมด และองค์กรเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ประมาณการในปี 2030 ประชากรอินเดียจะเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีรายได้ปานกลางคิดเป็นสัดส่วน 25% ของกลุ่มผู้บริโภคที่มีรายได้ปานกลางทั่วโลก ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนการขยายตัวความต้องการในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยให้เพิ่มในอัตราเร่ง

 

กล่าวได้ว่า การสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจจากอินเดีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีศักยภาพขยายตัวทางเศรษฐกิจสูงที่โดดเด่นในทศวรรษนี้เป็นสิ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้ โดยไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีทำเลที่ตั้งที่สามารถเชื่อมภาคการค้าของอินเดียไปยังตลาดใหญ่ได้ เช่น สหรัฐฯ และจีน และมีข้อตกลงการค้าที่สำคัญ อาทิ ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย (AIFTA) ซึ่งการใช้ข้อได้เปรียบดังกล่าวจะสร้างแต้มต่อให้กับผู้ส่งออกและนักลงทุนไทยในตลาดอินเดีย ตลอดจนการปรับตัวและสร้างบรรยากาศด้านการท่องเที่ยวที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวอินเดีย ซึ่งจะกลายเป็นตลาดสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของภูมิภาคต่อไป

The post ส่องอนาคตเศรษฐกิจอินเดียเติบโตแข็งแกร่ง สร้างโอกาสทางการค้า-การลงทุนของไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
แนวโน้มความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจไทย https://thestandard.co/competitiveness-thai-business-sector/ Wed, 12 Jul 2023 08:12:30 +0000 https://thestandard.co/?p=815930 ธุรกิจไทย

World Competitiveness Ranking 2023 หรืออันดับความสามารถ […]

The post แนวโน้มความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
ธุรกิจไทย

World Competitiveness Ranking 2023 หรืออันดับความสามารถในการแข่งขันที่จัดทำโดยสถาบัน IMD (International Institute for Management Development) ชี้ให้เห็นถึงประเทศส่วนใหญ่ล้วนมีอันดับที่ดีขึ้น สอดคล้องกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกจากสถานการณ์โควิด รวมทั้งประเทศไทยที่ปรับจากอันดับ 33 ในปีก่อนมาอยู่อันดับที่ 30 ในปี 2566 (จากทั้งหมด 64 ประเทศ) แต่ยังคงอยู่ในอันดับ 3 ของอาเซียน รองจากสิงคโปร์และมาเลเซีย โดยเป็นการปรับที่ดีขึ้นในทุกมิติทั้งด้านเศรษฐกิจ ภาครัฐ ภาคธุรกิจ และโครงสร้างพื้นฐาน ในบทความนี้จะขอกล่าวถึงมิติประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ โดยมองให้ลึกขึ้นถึงแนวโน้มของปัจจัย

 

ต่างๆ ที่เป็นโอกาสในการพัฒนาขีดความสามารถด้านนี้ให้เพิ่มขึ้น

 

IMD วิเคราะห์และจัดอันดับจาก ‘ความสามารถของประเทศในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้องค์กรธุรกิจสามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน’ โดยแบ่งปัจจัยออกเป็น 4 ด้าน ได้แก่ 

 

  1. สมรรถนะทางเศรษฐกิจ เช่น ภาวะเศรษฐกิจ การค้าระหว่างประเทศ 
  2. ประสิทธิภาพของภาครัฐ เช่น ฐานะการคลัง ภาษี กฎหมายธุรกิจ 
  3. ประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ เช่น ประสิทธิภาพการผลิต ตลาดแรงงาน 
  4. โครงสร้างพื้นฐาน เช่น ด้านกายภาพ ด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี 

 

ทั้งนี้ IMD ใช้ทั้งข้อมูลสถิติและการสำรวจความคิดเห็นประกอบกันในการวิเคราะห์

 

ในภาพรวมทุกองค์ประกอบหนุนให้ไทยมีอันดับความสามารถในการแข่งขันดีขึ้นในปี 2566 ด้านสมรรถนะทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นมาอยู่อันดับ 16 โดย IMD พิจารณาข้อมูลในปี 2565 พบว่า เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ดีหลังจากวิกฤตโควิด ด้านประสิทธิภาพของภาครัฐเพิ่มขึ้นเป็นอันดับที่ 24 จากกรอบการบริหารภาครัฐและกฎหมายธุรกิจที่ดีขึ้น ด้านประสิทธิภาพของภาคธุรกิจเพิ่มขึ้น 7 อันดับมาอยู่ที่ 23 ซึ่งไทยได้อันดับในด้านนี้ดีกว่ามาเลเซียแม้อันดับรวมของไทยจะอยู่ต่ำกว่าก็ตาม อย่างไรก็ดี โครงสร้างพื้นฐานด้านต่างๆ ยังเป็นสิ่งที่ไทยต้องพัฒนาเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน โดยอยู่อันดับ 43 เพิ่มขึ้นเพียง 1 อันดับ 

 

เจาะลึกในมิติประสิทธิภาพของภาคธุรกิจไทย โดยองค์ประกอบย่อยหรือเกณฑ์ที่ใช้ชี้วัดความสามารถ ได้แก่ ผลิตภาพและประสิทธิภาพ (Productivity and Efficiency) ตลาดแรงงาน (Labour Market) การเงิน (Finance) การบริหาร (Management Practices) และทัศนคติ (Attitudes & Values) ซึ่งภาพรวมมิตินี้ประเทศไทยครองอันดับ 23 ซึ่งดีกว่ามาเลเซียที่อยู่ที่อันดับ 32 แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าอินโดนีเซียแซงขึ้นมาอยู่ในอันดับ 20 ซึ่งดีกว่าไทย โดยพบว่าปัจจัยย่อยที่เป็นองค์ประกอบผลักดัน ได้แก่ ตลาดแรงงานของอินโดนีเซียโดดเด่นได้เป็นอันดับ 1 จากจุดเด่นที่มีประชากรในวัยทำงาน (Labour Force) กว่า 140 ล้านคนและค่าแรงอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่ปัจจัยด้านอื่นทั้งผลิตภาพและประสิทธิภาพ รวมทั้งด้านการเงินของอินโดนีเซียอยู่ในอันดับต่ำกว่าไทย 

 

มองแนวโน้มภาคธุรกิจไทยมีศักยภาพที่เติบโตได้อีกมาก แม้เผชิญการแข่งขันที่ซับซ้อนในโลกธุรกิจยุคใหม่ ด้วยแรงส่งจากหลายปัจจัยขับเคลื่อน เริ่มจากด้านผลผลิตและประสิทธิภาพ จากปัจจัยท้าทายสำคัญที่ภาคธุรกิจต้องเผชิญ ได้แก่ การแข่งขันที่สูงและเงื่อนไขการค้าโลกยุคใหม่ โดยเฉพาะมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น อาทิ มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป ซึ่งภาคธุรกิจส่งออกไทยควรมีการเตรียมความพร้อมในการปรับตัวเข้าสู่การผลิตหรือทำธุรกิจที่คำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือสิ่งแวดล้อม เนื่องจากจะถูกกีดกันทางการค้าและอาจต้องรับต้นทุนเพิ่มขึ้นในช่วงเปลี่ยนผ่านไปสู่ธุรกิจสีเขียว 

 

นอกจากนี้ การนำดิจิทัลและเทคโนโลยีทันสมัยมาปรับใช้ในกระบวนการผลิตและการตลาดเพิ่มขึ้น อาทิ การใช้ Big Data ในการวิเคราะห์ความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภค ซึ่งจะนำไปสู่การเป็นตัวช่วยในการกำหนดกลยุทธ์ในโลกการตลาดที่เน้นความต้องการแบบเฉพาะเจาะจง (Personalization) มากขึ้น ซึ่งจะมีส่วนช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมทั้งการให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ และการสร้างแบรนด์เป็นของตัวเอง ตลอดจนในการลงทุนใหม่ควรมองโอกาสลงทุนในธุรกิจอุตสาหกรรมที่เป็นไปในทิศทางของ S-Curve และ New S-Curve ซึ่งจะได้สิทธิประโยชน์ต่างๆ จากการที่ภาครัฐมีนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมดังกล่าวเพื่อเป็นเครื่องยนต์ใหม่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและเป็นอุตสาหกรรมที่ตอบโจทย์โลกการค้ายุคใหม่ 

 

ด้านตลาดแรงงานของไทยเป็นปัจจัยการผลิตที่ฟื้นตัวได้เร็ว สะท้อนจากจำนวนผู้ประกันตนมาตรา 33 ในระบบประกันสังคมที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และจำนวนผู้ว่างงานปรับลดลงใกล้เคียงระดับก่อนสถานการณ์โควิด อย่างไรก็ดี ในอนาคตตลาดแรงงานไทยยังคงมีความท้าทายด้านต่างๆ ที่ผู้ประกอบการต้องเตรียมพร้อมรองรับ ได้แก่ 1. การเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยโดยสมบูรณ์ สิ่งที่จะตามมาคือการขาดแคลนประชากรวัยแรงงานทั้งภาคเกษตร อุตสาหกรรม และภาคบริการ โดยแรงงานที่มีแนวโน้มความต้องการสูงขึ้นมากในระยะยาว คือแรงงานในภาคบริการและแรงงานประเภทแรงงานทักษะสูงในอุตสาหกรรมไฮเทคต่างๆ 2. เทคโนโลยีทรานส์ฟอร์เมชัน รวมถึงความต้องการทักษะแรงงานใหม่ๆ และรูปแบบการทำงาน พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ภาคธุรกิจและแรงงานต้องวางแผนรับมือให้พร้อมทั้งในโลกการทำงานปัจจุบันและอนาคตที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และ 3. กระแสธุรกิจใหม่ ทำให้ความต้องการแรงงานที่มีทักษะเฉพาะด้านเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น การยกระดับและเรียนรู้ทักษะใหม่ (Up-Skill & Re-Skill) จึงเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับแรงงานเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในอนาคต 

 

ในด้านการเงิน ภาพรวมระบบธนาคารพาณิชย์มีความแข็งแกร่งเป็นกลไกสนับสนุนทางการเงินแก่ภาคธุรกิจได้ดี โดยในปี 2565 ยอดสินเชื่ออยู่ที่ 18.3 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากช่วงสถานการณ์โควิด ในช่วงปี 2563-2564 และการระดมทุนในตลาดทุนมีแนวโน้มที่ดีเช่นกัน สะท้อนจากมูลค่าตลาดทั้งตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้อยู่ที่ 35.7 ล้านล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 10% สำหรับในปี 2566 คาดความต้องการสินเชื่อมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ อีกทั้งยังเพิ่มขึ้นในเกือบทุกสาขาธุรกิจ โดยเฉพาะภาคการผลิต อาทิ ธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และธุรกิจบริการที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว อย่างไรก็ดี ต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้นตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อาจส่งผลให้ความต้องการสินเชื่อของภาคธุรกิจไม่ขยายตัวในอัตราเร่ง แต่เชื่อว่าจะไม่เป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวของภาคธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ คุณภาพสินเชื่อของธุรกิจในภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ดี

 

การเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในมิติด้านอื่นๆ ทั้งสมรรถนะด้านเศรษฐกิจ ประสิทธิภาพของภาครัฐ และโครงสร้างพื้นฐานเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องดำเนินการควบคู่ไปพร้อมๆ กัน เพื่อเป็นปัจจัยหรือสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้ภาคธุรกิจมีศักยภาพในการเติบโตและมีความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้น จนนำไปสู่การมีอันดับความสามารถในการแข่งขันในภาพรวมที่ดีขึ้นต่อเนื่องในอนาคต

The post แนวโน้มความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
แนวโน้มและโอกาสการลงทุนของไทย ‘ในต่างประเทศ’ https://thestandard.co/trends-thai-investment-abroad/ Wed, 14 Jun 2023 06:09:00 +0000 https://thestandard.co/?p=802887 การลงทุนของไทย

ตลอดระยะเวลาหลายทศวรรษที่ผ่านมา การลงทุนโดยตรงระหว่างปร […]

The post แนวโน้มและโอกาสการลงทุนของไทย ‘ในต่างประเทศ’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
การลงทุนของไทย

ตลอดระยะเวลาหลายทศวรรษที่ผ่านมา การลงทุนโดยตรงระหว่างประเทศถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกที่สำคัญ ไม่เพียงแต่กลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่รวมถึงประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนาที่ผลักดันให้ผู้ประกอบการของตนเองออกไปลงทุนในต่างประเทศ โดยในช่วง 1 ทศวรรษที่ผ่านมา เงินลงทุนโดยตรงของไทยในต่างประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แม้จะมีการชะลอลงในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด สำหรับในระยะต่อไปนักลงทุนไทยมีแนวโน้มออกไปลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้น เพื่อตอบโจทย์การแสวงหาตลาดศักยภาพใหม่ๆ และการได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ รวมถึงเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน 

 

ย้อนรอยการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศของไทย

ในช่วงปี 2548-2553 การลงทุนโดยตรงของไทยในต่างประเทศ (Thai Direct Investment Abroad: TDI) อยู่ในระดับต่ำกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเพียง 1 ใน 3 ของยอดการลงทุนจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment: FDI) และจุดหมายปลายทางส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอาเซียน (40%) รองมาเป็นสหภาพยุโรป (8%) และตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นมา ยอด TDI เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดอยู่ที่ราว 7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และขยับสูงสุดแตะระดับเกือบ 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2556 สะท้อนถึงภาพรวมธุรกิจไทยมีการมองหาโอกาสด้านการลงทุนในประเทศที่มีศักยภาพการเติบโตเพิ่มขึ้นชัดเจนมากขึ้น  

 

สำหรับในปี 2563-2564 ที่เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด การลงทุน TDI ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และในปี 2565 TDI ยังคงลดลง 9.7% จากปี 2564 เป็นผลจากเศรษฐกิจทั่วโลกที่ยังคงฟื้นตัวอย่างช้าๆ รวมทั้งเผชิญกับการปรับขึ้นของอัตราเงินเฟ้ออย่างรุนแรงและอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกขยับสูงขึ้น ณ ปัจจุบันโครงสร้างการลงทุนยังปักหมุดเป็นกลุ่มอาเซียน (28%) สหภาพยุโรป (9%) สหรัฐอเมริกา (8%) ญี่ปุ่น (7%) และจีน (3%) ประเภทธุรกิจที่ไปลงทุนในรูปแบบ TDI ประกอบด้วยการผลิต (20%) ซึ่งได้แก่ อาหาร อุปกรณ์ไฟฟ้า เคมีภัณฑ์ คอมพิวเตอร์ รองลงมาเป็นภาคการค้าขายส่ง-ขายปลีก (10%) กิจกรรมภาคการเงิน (8%) การทำเหมืองแร่ ภาคบริการในกลุ่มโรงแรม ขนส่ง และอสังหาริมทรัพย์ (4%)

 

อย่างไรก็ดี ในภาพรวมแม้ยอด TDI จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่เมื่อพิจารณาในมุมยอดคงค้างการลงทุนต่างประเทศสุทธิพบว่า ยอดลงทุนในต่างประเทศยังคงน้อยกว่าการลงทุนจากต่างประเทศในไทย (net TDI stock ซึ่งคำนวณจาก TDI stock หักด้วย FDI stock ยังคงติดลบ) แต่ net TDI stock เริ่มมีทิศทางสูงขึ้นหรือติดลบน้อยลง ซึ่งเป็นพัฒนาการที่มีแนวโน้มเกิดขึ้นได้ กล่าวคือเมื่อเศรษฐกิจขยายตัวดีต่อเนื่องและ FDI สูงถึงระดับหนึ่งแล้ว บริษัทในประเทศมีแนวโน้มออกไปลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้น ตัวอย่างเช่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย ที่มียอดคงค้างของการลงทุน TDI สูงกว่า FDI ที่สะสมในประเทศแล้ว และคงไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้หากไทยจะก้าวไปสู่จุดนั้นในอนาคต จากปัจจุบันยอดคงค้าง TDI และ FDI อยู่ที่ 1.8 และ 3.1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามลำดับ

 

TDI ตอบโจทย์การขยายตลาดและลดต้นทุนการผลิตของภาคธุรกิจของไทยในปัจจุบัน   

หากดูรูปแบบที่ธุรกิจไทยลงทุนโดยตรงในต่างประเทศ (TDI) ส่วนใหญ่ออกไปทำธุรกิจที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญอยู่แล้ว หรือเป็นการต่อยอดเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และมีวัตถุประสงค์เพื่อขยายตลาดไปยังประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง หรือเพื่อลดต้นทุนการผลิต เช่น ค่าแรง อัตราภาษี แรงงานทักษะสูง ในระยะต่อไปบริษัทไทยมีแนวโน้มลงทุนในรูปแบบ TDI มากขึ้น เพื่อเข้าถึงตลาดและแหล่งทรัพยากรที่ไทยมีจำกัด รวมถึงขยายแบรนด์สินค้า และเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งจะช่วยพัฒนาบริษัทไทยให้แข่งขันในตลาดโลกได้ดีขึ้น รวมทั้งเห็นแนวโน้มการเข้าไปลงทุนในธุรกิจที่สอดคล้องกับความยั่งยืนหรือเป็นธุรกิจสีเขียวมากขึ้น

 

ทั้งนี้ ไม่ใช่เฉพาะบริษัทขนาดใหญ่เท่านั้นที่ลงทุนในต่างประเทศ โดยบริษัทขนาดกลางมีแนวโน้มไปลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้น สะท้อนจากข้อมูลในปี 2563 มูลค่าการลงทุนทางตรงในต่างประเทศของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) รวมทั้งสิ้น 1.39 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนของตลาดหลักทรัพย์ mai (ตามนิยามหมายถึงธุรกิจที่มีศักยภาพขนาดกลางและเล็ก ซึ่งมีทุนชำระแล้วหลังการเสนอขายหุ้นใหม่แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก หรือ IPO ตั้งแต่ 50 ล้านบาทขึ้นไป โดยเน้นธุรกิจที่มีการเติบโตสูง และมีแนวโน้มการเติบโตดีในอนาคต) จำนวน 27 บริษัท มูลค่า TDI ราว 2 พันล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมการบริการมากที่สุด โดยรวมแล้วภูมิภาคที่เป็นเป้าหมายการลงทุนของบริษัททั้งสองตลาดคือกลุ่มประเทศอาเซียน คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุนประมาณ 1.32 แสนล้านบาท

 

แนวโน้มการเติบโตของ TDI ของไทยในปี 2566 และในอนาคตยังคงเป็นภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะอาเซียน  

จากแนวโน้มเศรษฐกิจภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะอาเซียน (มีสัดส่วนในการลงทุน TDI เกือบ 30%) มีแนวโน้มขยายตัวได้สูงกว่าภูมิภาคอื่น โดยล่าสุดกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF คาดการณ์เศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนา (Emerging Market and Developing Economies) เติบโต 3.9% โดยกลุ่มอาเซียน-5 (สิงคโปร์ มาเลเซีย ไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์) จะเติบโตโดดเด่นที่ 4.5% ขณะที่คาดการณ์เศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปเติบโตในอัตราชะลอลงที่ 2.8% 1.6% และ 0.8% ตามลำดับ  

 

นอกจากการเติบโตทางเศรษฐกิจแล้ว อาเซียนเป็นโอกาสทางธุรกิจสำหรับนักลงทุนไทย เมื่อพิจารณาจากจำนวนชนชั้นกลางเพิ่มขึ้นต่อเนื่องสะท้อนภาพกำลังซื้อที่ดี และการเชื่อมโยงกับภูมิภาคอื่น เป็นปัจจัยสำคัญที่จะเห็นภาพของอาเซียนมีศักยภาพที่จะเติบโตได้ในอนาคต สอดคล้องกับสถานการณ์เงินลงทุนจากบริษัททั่วโลกในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาพบว่า กระแสการลงทุนไหลสู่ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกมากที่สุด และที่สำคัญคือเป็นการลงทุนจากประเทศในกลุ่มอาเซียนด้วยกัน 

 

นอกจากนี้ อินเดียเป็นประเทศที่นักลงทุนทั่วโลกจับตามอง คาดว่าในอนาคตนักลงทุนไทยจะสนใจไปลงทุนในอินเดียเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่ TDI ไปอินเดียอยู่ในระดับ 1% ของยอด TDI ทั้งหมด ด้วยปัจจัยหนุนด้านอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ IMF คาดการณ์ที่ 5.9% และศักยภาพด้านกำลังซื้อที่เติบโตก้าวกระโดดจากชนชั้นกลางที่มีอยู่กว่า 600 ล้านคน อีกทั้งมีฐานการผลิตอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ การผลิตเครื่องผลิตไฟฟ้า และยังเป็นศูนย์กลางด้านนวัตกรรมและสตาร์ทอัพ ทั้งนี้ การดำเนินธุรกิจที่ลงทุนไปยังประเทศที่มีอัตราการเติบโตสูงจะเป็นโอกาสสำหรับภาคส่งออกของไทย ซึ่งช่วยลดผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มเติบโตช้าลงในระยะข้างหน้า และเป็นทางเลือกทดแทนของการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ และจีน รวมถึงประเทศพัฒนาแล้วที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวในอัตราชะลอลงในอนาคตด้วย 

The post แนวโน้มและโอกาสการลงทุนของไทย ‘ในต่างประเทศ’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Taxonomy นัยต่อการปรับตัวของภาคการเงินและภาคธุรกิจ https://thestandard.co/taxonomy-money-and-business-adjustment/ Fri, 12 May 2023 07:45:35 +0000 https://thestandard.co/?p=788927 Taxonomy

สถานการณ์สิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปล […]

The post Taxonomy นัยต่อการปรับตัวของภาคการเงินและภาคธุรกิจ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Taxonomy

สถานการณ์สิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงถือเป็นประเด็นสำคัญที่กำลังมีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจมากขึ้นต่อเนื่อง ในส่วนของประเทศไทยได้ประกาศเป้าหมายระยะยาวในการประชุม COP26 หรือการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065 ซึ่งทุกภาคส่วนตระหนักและมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อน โดยเฉพาะภาคการเงินและภาคธุรกิจที่มีความคืบหน้าในการดำเนินธุรกิจภายใต้มาตรการสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดมากขึ้นเป็นลำดับ

 

Thailand Taxonomy คือการจัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจตามนโยบายที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมหรือสภาพภูมิอากาศ (Climate Change Mitigation) จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ร่วมกับภาคการเงิน เพื่อให้เกิดมาตรฐานกลางที่ภาคส่วนต่างๆ สามารถนำไปอ้างอิงหรือเป็นแนวทางปฏิบัติได้ โดยจัดแบ่งกิจกรรมทางเศรษฐกิจหรือกลุ่มธุรกิจเป็น 3 ระดับ 

 

  1. สีเขียว (Green) ได้แก่ ธุรกิจที่ดำเนินกิจกรรมลดปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตัวอย่างเช่น ธุรกิจพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์ รถยนต์ไฟฟ้า (EV) 
  2. สีเหลือง (Amber) ได้แก่ ธุรกิจที่อยู่ระหว่างปรับตัวเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยในปัจจุบันมีแผนการปรับตัวเพื่อลดก๊าซเรือนกระจกให้น้อยลง ตัวอย่างเช่น การผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ  
  3. สีแดง (Red) ได้แก่ ธุรกิจที่ไม่เข้าข่ายตามเงื่อนไขกิจกรรมสีเขียวและสีเหลือง หรือธุรกิจที่ไม่สามารถถูกประเมินได้ว่าเป็นมิตรต่อการลดก๊าซเรือนกระจกสุทธิได้ ตัวอย่างเช่น ถ่านหิน น้ำมัน  

 

ทั้งนี้ ความคืบหน้าล่าสุด ธปท. ได้จัดทำร่างกรอบ Thailand Taxonomy แล้วเสร็จและอยู่ในระหว่างขั้นตอนพิจารณาความเห็นจากภาคส่วนต่างๆ โดยการนำ Thailand Taxonomy ไปใช้ในภาพรวมยังเป็นไปตามความสมัครใจ ซึ่ง ณ ปัจจุบันภาคส่วนต่างๆ ได้เริ่มนำแนวนโยบาย Thailand Taxonomy ไปปรับใช้ในการดำเนินงานในหลายมิติ ดังนี้

 

ในมิติภาคธุรกิจ Thailand Taxonomy สามารถนำมาใช้ประเมินความเสี่ยง สถานะ และความพร้อมของตนเองในการลดก๊าซเรือนกระจก จากการที่ธุรกิจทั่วโลกเผชิญมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมในระดับที่เข้มข้นมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดส่งออกสหภาพยุโรปที่นำมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมมาเชื่อมโยงกับการค้ามากขึ้น โดยเตรียมทดลองใช้มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism: CBAM) ในเดือนตุลาคม 2023 ซึ่งเป็นการกำหนดราคาสินค้านำเข้าบางประเภท เพื่อกีดกันการนำเข้าสินค้าที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง ได้แก่ อะลูมิเนียม เหล็กและเหล็กกล้า ปูนซีเมนต์ ปุ๋ย ไฟฟ้า ไฮโดรเจน และอุตสาหกรรมปลายน้ำที่เกี่ยวเนื่อง เช่น พลาสติกและผลิตภัณฑ์พลาสติก เช่นเดียวกับตลาดสหรัฐอเมริกาที่กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาใช้มาตรการ CBAM จากสินค้านำเข้าในอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเข้มข้น 

 

ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่ผู้ประกอบการต้องเร่งปรับการผลิตสินค้าและบริการให้สอดคล้องกับกระแสการทำธุรกิจรักษ์โลกหรือเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อไม่ให้สูญเสียโอกาสทางการตลาด นอกจากนี้ จะช่วยเพิ่มโอกาสการเข้าถึงบริการทางการเงิน โดยภาคธุรกิจที่ถูกจัดให้อยู่ในกิจกรรมสีเขียวหรือสีเหลืองสามารถนำไปอ้างอิง เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้ได้รับต้นทุนทางการเงินที่เหมาะสมมากขึ้น 

 

นอกจากนี้ ผู้ประกอบการที่ปรับธุรกิจเป็นสีเขียวมีแนวโน้มดึงดูดเงินทุนทั้งในประเทศและเงินลงทุนจากต่างประเทศที่จะสนับสนุนการปรับตัวในอนาคต ในขณะที่ธุรกิจในกลุ่มสีแดงอาจเผชิญข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนมากขึ้น ทั้งนี้ พระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้กับภาคธุรกิจต่างๆ ในเบื้องต้นคาดว่าจะประกาศใช้ภายในปี 2023 พร้อมทั้งมีการจัดสรรโควตาปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ทุกภาคธุรกิจ

       

ในมิติภาคการเงิน ธนาคารถือเป็นต้นน้ำที่ส่งผ่านทำให้ภาคธุรกิจได้ปรับตัว ข้อมูลจาก Moody’s ประเมินตัวเลข 15-30% ของยอดสินเชื่อทั้งหมดของระบบธนาคารพาณิชย์ในอาเซียนเป็นสินเชื่อที่ให้แก่ภาคอุตสาหกรรมที่ปล่อยคาร์บอนสูง ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการได้รับผลกระทบจากมาตรการสิ่งแวดล้อม (Transition Risk) นอกจากนี้ ข้อมูลจาก ธปท. พบว่า 30% ของอุตสาหกรรมในประเทศไทยเป็นอุตสาหกรรมเก่า ในจำนวนนี้มี 13% ของอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการ CBAM ซึ่งความเสียหายที่เกิดขึ้นในภาคเศรษฐกิจจริง (Real Sector) สุดท้ายก็ส่งผลกระทบต่อภาคการธนาคารอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สะท้อนให้เห็นว่าธุรกิจธนาคารมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงจากสภาพภูมิอากาศ ผ่านการดำเนินนโยบายที่ผนวกแนวคิดด้านสิ่งแวดล้อมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานอย่างมีมาตรฐานภายใต้กรอบ Thailand Taxonomy โดยกำหนดแนวทางการดำเนินงานที่สำคัญในหลายด้าน เช่น การจัดกลุ่มธุรกิจ พิจารณาสินเชื่อ จัดสรรเงินทุน การบริหารความเสี่ยงพอร์ตสินเชื่อ รวมถึงมีผลิตภัณฑ์และบริการรองรับการปรับตัวด้านสิ่งแวดล้อมของภาคธุรกิจ

  

สถาบันการเงินสามารถใช้ Thailand Taxonomy ประเมินความเสี่ยงและบริหารความเสี่ยงในพอร์ตสินเชื่อ โดยอาจเริ่มจากการพิจารณาจัดกลุ่มสินเชื่อ โดยแบ่งตามกลุ่มสีเขียว เหลือง หรือแดง เพื่อดูสถานะของพอร์ตปัจจุบัน และสามารถจัดสรรเงินทุนเข้าไปช่วยสนับสนุนการปรับตัวของภาคธุรกิจในช่วงเปลี่ยนผ่านไปสู่กลุ่มที่ระดับสูงขึ้นหรือเข้าสู่กลุ่มสีเขียว (Transition Path) บริหารความเสี่ยงในพอร์ตสินเชื่อที่คำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งผลกระทบทางตรงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม (Physical Risk) และผลกระทบของกฎระเบียบเพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม (Transition Risk) นอกจากนี้ สถาบันการเงินยังสามารถออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่ตอบโจทย์การปรับตัวของธุรกิจในแต่ละกลุ่ม ทั้งในแง่ต้นทุน ความเพียงพอของเงินทุน รวมถึงเงื่อนไขอื่นๆ ที่สนับสนุนการเปลี่ยนผ่าน รวมถึงสนับสนุนโอกาสการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ เช่น การลงทุนตามโมเดลเศรษฐกิจใหม่หรือ BCG Model (Bio-Circular-Green Economy) และการสนับสนุนให้กลุ่มเปราะบางและกลุ่มที่ได้รับผลกระทบสามารถปรับตัวดำเนินธุรกิจต่อไปได้ รวมถึงการสร้างองค์ความรู้และการมีมาตรการเพื่อสนับสนุนทางการเงินให้แก่ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ที่มีความเปราะบางมากกว่ากลุ่มอื่นๆ

 

การนำความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินนโยบายของภาคส่วนต่างๆ ถือได้ว่าเป็นแรงส่งสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่เป็นความรับผิดชอบที่อาจทำให้ภาคการเงินและภาคธุรกิจมีต้นทุนการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นในช่วงการปรับตัวและเปลี่ยนผ่าน อย่างไรก็ดี เชื่อว่ามาตรการด้านสิ่งแวดล้อมที่ทั่วโลกจะนำมาใช้มากขึ้นในอนาคตจะเป็นแผนงานที่มีกรอบระยะเวลา ที่ทำให้มิติของจังหวะการปรับตัวของภาคธุรกิจและภาคการเงินเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป มองวิกฤตเป็นโอกาส และไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ


ข่าวที่เกี่ยวข้อง


 

The post Taxonomy นัยต่อการปรับตัวของภาคการเงินและภาคธุรกิจ appeared first on THE STANDARD.

]]>
สแกนเศรษฐกิจไทยมีโมเมนตัม ‘เดินหน้าต่อ’ หลังเลือกตั้ง https://thestandard.co/scanning-thai-economy-has-momentum/ Mon, 17 Apr 2023 08:36:57 +0000 https://thestandard.co/?p=777748 เศรษฐกิจไทย

นับถอยหลังก้าวสู่การเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 27 และคาดว่ […]

The post สแกนเศรษฐกิจไทยมีโมเมนตัม ‘เดินหน้าต่อ’ หลังเลือกตั้ง appeared first on THE STANDARD.

]]>
เศรษฐกิจไทย

นับถอยหลังก้าวสู่การเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 27 และคาดว่ารัฐบาลใหม่จะจัดตั้งได้ราวเดือนสิงหาคม 2566 ซึ่งในช่วงเปลี่ยนผ่านอาจมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจอยู่บ้าง โดยเฉพาะการเบิกจ่ายภาครัฐในส่วนงบลงทุนที่เป็นโครงการใหญ่ แต่ในภาพรวมมองเศรษฐกิจไทยเดินหน้าไปต่อได้ไม่สะดุดท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว โดยมีแรงหนุนจากการบริโภคภายในประเทศและการท่องเที่ยว อีกทั้งคาดว่าการส่งออกจะเริ่มฟื้นตัวกลับมาขยายตัวได้ในช่วงครึ่งปีหลัง

 

เม็ดเงินเลือกตั้งราว 6 พันล้านบาทกระจายเข้าสู่ระบบ หนุนเศรษฐกิจในไตรมาส 2 กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม คาดว่าจะเป็นปัจจัยบวกหนุนให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้น ด้วยงบประมาณสำหรับการจัดเลือกตั้งในปีนี้มีวงเงินอยู่ที่ 5.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 40% จากการเลือกตั้งครั้งก่อนปี 2562 โดยข้อมูลย้อนหลังในปี 2540-2562 ที่มีการเลือกตั้งทั่วไป (ไม่นับปีที่เกิดวิกฤตต้มยำกุ้งและปีที่เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่) พบว่าภาพรวมการบริโภคขยายตัวดี โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชนโตเฉลี่ย 5-6% ในไตรมาสที่มีการเลือกตั้งและในปีที่มีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ 

 

ช่วงครึ่งปีหลังเศรษฐกิจไทยมีโมเมนตัมเติบโตดีต่อเนื่อง ปัจจัยหลักๆ มาจากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวมากขึ้น จากการที่ประเทศไทยยังคงเป็นประเทศเป้าหมายอันดับต้นของนักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีนหลังทางการจีนปลดล็อกให้เดินทางระหว่างประเทศได้ในรอบ 3 ปี ทำให้กระแสการท่องเที่ยวของชาวจีนจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง เนื่องจากช่วงก่อนสถานการณ์โควิด ชาวจีนเดินทางท่องเที่ยวทั่วโลกมากที่สุดกว่า 150 ล้านคน และในปี 2566 มีแนวโน้มที่นักท่องเที่ยวชาวจีนจะปักหมุดที่ไทยแตะ 5-6 ล้านคน ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติโดยรวมปีนี้จะอยู่ที่ 29.5 ล้านคน เพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าเมื่อเทียบกับปี 2565 หรือคิดเป็น 74% ก่อนช่วงสถานการณ์โควิด นอกจากนี้ การบริโภคภาคเอกชนถือเป็นอีกปัจจัยหลักที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโต โดยเฉพาะการบริโภคในหมวดที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวปรับดีขึ้นค่อนข้างเร็ว สอดคล้องกับการฟื้นตัวของกิจกรรมการท่องเที่ยวและระดับการจ้างงานในตลาดแรงงานไทยที่กลับมาเท่ากับช่วงก่อนวิกฤตโควิดแล้ว และการบริโภคสินค้าคงทนที่เร่งตัวจากกระแสความนิยมรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle: EV) ตลอดจนการเข้ามาทำตลาดรถ EV ของผู้ผลิต ควบคู่กับมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าของภาครัฐ โดยประเมินว่าการบริโภคภาคเอกชนในปี 2566 จะขยายตัวได้ต่อเนื่องที่ 3.9% 

 

อย่างไรก็ตาม แม้ไทยจะได้อานิสงส์การเปิดประเทศของจีนซึ่งถือเป็นหนึ่งในผู้ผลิตสินค้าหลัก รวมทั้งเป็นนักท่องเที่ยวและผู้บริโภคกลุ่มหลักของโลก แต่ตัวเลขการส่งออกสินค้าของไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 จะอยู่ในทิศทางที่ไม่สดใสนัก ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าฝั่งสหรัฐอเมริกาและยุโรปที่เป็นตลาดสินค้าเทคโนโลยีและกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ที่แนวโน้มราคาลดลง เช่น ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ เม็ดพลาสติก แต่คาดว่าสถานการณ์ส่งออกจะปรับดีขึ้นฟื้นตัวเป็นบวกในช่วงครึ่งปีหลัง ทำให้ภาพรวมยอดส่งออกสินค้าในปี 2566 หดตัวเล็กน้อยที่ 0.5% เทียบกับที่ขยายตัว 5.5% ในปี 2565 เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่ยังมีแนวโน้มชะลอตัว และความมั่งคั่งของผู้บริโภค (Wealth Effect) มีแนวโน้มลดลงจากความผันผวนในตลาดการเงินที่มีอยู่สูงจากกรณีปัญหาของธนาคารในสหรัฐฯ และยุโรป ซึ่งปัจจัยดังกล่าวคาดว่าจะส่งผลให้อุปสงค์การนำเข้าสินค้าปรับลดลงตาม

 

สำหรับเครื่องยนต์ด้านการลงทุนยังไม่โดดเด่นมากในปีนี้ เริ่มจากการลงทุนภาครัฐที่รอรัฐบาลใหม่มาสานต่อ โดยเฉพาะเมกะโปรเจกต์ที่มูลค่ารวมกว่า 7 แสนล้านบาท อาทิ รถไฟความเร็วสูง ไทย-จีน เฟส 2 ช่วงนครราชสีมา-หนองคาย รถไฟฟ้าสายสีม่วง รถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล ระบบขนส่งมวลชนภูมิภาค 4 จังหวัด สำหรับการลงทุนภาคเอกชน ตั้งแต่ต้นปี 2566 เครื่องชี้การลงทุนภาคเอกชนมีสัญญาณดีต่อเนื่องตามความเชื่อมั่นภาคธุรกิจที่ปรับดีขึ้น ตลอดจนการลงทุนมีแนวโน้มเกิดขึ้นเฉลี่ยปีละราว 4-5 แสนล้านบาท เมื่อพิจารณาจากข้อมูลการอนุมัติเพื่อส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (Board of Investment: BOI) ในช่วงปี 2563-2565 และหากย้อนดูข้อมูลสำหรับในปีที่มีการเลือกตั้งทั่วไป พบว่าภาคเอกชนชะลอการลงทุนเพื่อรอความชัดเจนของการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ หลังจากได้รัฐบาลใหม่แล้วบรรยากาศการลงทุนเอกชนก็จะค่อนข้างปรับสู่โหมดปกติ สำหรับในปีนี้ คาดว่าจะเห็นการลงทุนภาคเอกชนทยอยเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง และชัดเจนมากขึ้นในปี 2567 สอดคล้องกับการส่งออกที่ปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนในโครงการยานยนต์ไฟฟ้า ทั้งการผลิตรถยนต์ แบตเตอรี่ ชิ้นส่วน และสถานีชาร์จ ที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI รวมแล้วกว่า 1 แสนล้านบาท เช่นเดียวกับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment: FDI) ทยอยมีสัญญาณเชิงบวกมากขึ้น จากแนวโน้มนักลงทุนในต่างประเทศจะทยอยย้ายฐานผลิตจากจีนสู่ประเทศไทย โดยเฉพาะส่วนที่ผลิตในจีนเพื่อส่งออก เนื่องจากหากผลิตที่อาเซียนและส่งออกไปสหรัฐฯ ก็จะไม่ถูกกีดกันทางการค้า ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นโครงการอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และเซมิคอนดักเตอร์ ที่ตั้งในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC)

 

จากแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั้งการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวดีต่อเนื่องและการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวได้เร็ว รวมทั้งบรรยากาศการลงทุนที่ปรับดีขึ้น แม้การส่งออกจะไม่สดใสนัก แต่โดยรวมแล้วคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2566 ยังเติบโตได้ต่อเนื่องที่ 3.4% อย่างไรก็ดี มองในระยะยาวความท้าทายของเศรษฐกิจไทยจะยังคงมีอยู่ ตราบใดที่เรายังพึ่งการส่งออกและการท่องเที่ยวเป็นหลัก ขณะที่กำลังซื้อในประเทศยังไม่เข้มแข็งพอ การลงทุนภาครัฐยังไม่ต่อเนื่อง ทั้งนี้ การสร้างบรรยากาศการลงทุนที่ดี การส่งเสริมอุตสาหกรรมหรือสินค้าใหม่ที่จะเป็นฐานรายได้ให้กับประเทศในอนาคต เป็นโจทย์ที่รัฐบาลใหม่ต้องขับเคลื่อนเพื่อให้เศรษฐกิจไทยอยู่รอดจากความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น และอยู่บนเส้นทางเติบโตได้ต่อเนื่อง

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง


 

The post สแกนเศรษฐกิจไทยมีโมเมนตัม ‘เดินหน้าต่อ’ หลังเลือกตั้ง appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทิศทางการส่งออกปี 2023 และความเสี่ยงที่ต้องติดตาม https://thestandard.co/export-direction-2023/ Thu, 09 Mar 2023 02:22:24 +0000 https://thestandard.co/?p=760336 การส่งออกปี 2023

เริ่มต้นปี 2023 กับตัวเลขเศรษฐกิจที่ส่งสัญญาณบวก ทั้งกา […]

The post ทิศทางการส่งออกปี 2023 และความเสี่ยงที่ต้องติดตาม appeared first on THE STANDARD.

]]>
การส่งออกปี 2023

เริ่มต้นปี 2023 กับตัวเลขเศรษฐกิจที่ส่งสัญญาณบวก ทั้งการบริโภคและการท่องเที่ยวขยายตัวดี รวมทั้งอัตราเงินเฟ้อที่ลดลง แต่ที่ยังเป็นกังวลคงไม่พ้นตัวเลขการส่งออกที่ติดลบมาเป็นเดือนที่ 4 และมีความเป็นไปได้ที่การส่งออกของไทยจะหดตัวตลอดไตรมาสแรกของปี 2023 สำหรับในระยะต่อไป เราคงต้องติดตามทิศทางการส่งออก จะสามารถรักษาการเติบโตได้หรือไม่ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกชะลอตัวและยังคงมีปัจจัยเสี่ยง แม้มีปัจจัยบวกเพิ่มขึ้นจากการที่จีนเข้าสู่โหมดฟื้นตัวต่อเนื่องจากการเปิดประเทศเร็วขึ้น และกำลังซื้อในตลาดโลกปรับดีขึ้นจากภาวะเงินเฟ้อชะลอตัวลง 

 

มองการส่งออกของไทยปี 2023 อาจเผชิญการหดตัวเป็นปีแรกหลังวิกฤตโควิดคลี่คลาย


ข่าวที่เกี่ยวข้อง


ภาพรวมปี 2022 มูลค่าส่งออกในรูปดอลลาร์สหรัฐขยายตัวที่ 5.5% ชะลอลงจากปี 2021 ที่เติบโต 17.4% โดยเริ่มเห็นสัญญาณชะลอตัวชัดเจนตั้งแต่กลางปี 2022 ต่อเนื่องมาในเดือนมกราคม 2023 มูลค่าส่งออกอยู่ที่ 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 4.5% เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อในหลายประเทศคู่ค้าที่ยังอยู่ในระดับสูง ส่งผลต่อกำลังซื้อ บวกกับการผลิตโลกชะลอตัว ทำให้มีการนำเข้าลดลง 

 

อย่างไรก็ดี แม้ภาพรวมการส่งออกจะลดลง แต่สินค้าสำคัญหลายรายการยังคงส่งออกได้เพิ่มขึ้น เช่น ข้าว ไก่สดแช่แข็ง รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ตลาดส่งออกที่กลับมาขยายตัว ได้แก่ สหภาพยุโรป ลาตินอเมริกา อินเดีย แอฟริกา และอาเซียน นอกจากนี้ ในเดือนมกราคมที่ผ่านมามีการนำเข้าสินค้าในกลุ่มทุนและวัตถุดิบเพิ่มมากขึ้น โดยมูลค่านำเข้าสินค้าในกลุ่มนี้คิดเป็นสัดส่วนถึง 60% ซึ่งเป็นสัญญาณบวกต่อการส่งออกของไทยในระยะถัดไป มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นได้

 

สำหรับในครึ่งปีหลังคาดว่าการส่งออกจะปรับดีขึ้น แม้ยังต้องเผชิญกับแรงกดดันจากหลากหลายปัจจัยลบ โดยเฉพาะการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่บั่นทอนกำลังซื้อของประเทศคู่ค้าสำคัญของไทย แม้ว่าภาวะเงินเฟ้อจะเริ่มชะลอตัวลง แต่ก็ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะตลาดสหรัฐอเมริกาและยุโรปซึ่งคิดเป็นสัดส่วนรวมกันสูงกว่า 26% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมด 

 

อีกทั้งห่วงโซ่การผลิตในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมขั้นต้นและกลางของไทยที่ส่งออกไปตลาดจีนก็ได้รับผลกระทบทางอ้อมจากคำสั่งซื้อที่ลดลง ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกในหมวดสินค้าอุตสาหกรรม สินค้าฟุ่มเฟือย ตลอดจนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ชะลอลงตามวัฏจักรขาลงของตลาดโลก นอกจากนี้บรรยากาศการค้าโลกที่ยังตึงเครียดจากการกีดกันทางการค้า รวมถึงปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่มีความยืดเยื้อและมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น 

 

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางแรงกดดันยังคงมีปัจจัยบวก โดยเฉพาะการที่เศรษฐกิจจีนกลับมาฟื้นตัว เป็นแรงหนุนพยุงการส่งออกไม่ให้ทรุดตัวลงมาก การเปิดประเทศของจีนที่เกิดขึ้นเร็วตั้งแต่ต้นปี 2023 โดยล่าสุดกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดเศรษฐกิจจีนจะเติบโต 5.2% ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลขเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ 5% ของรัฐบาลจีน ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งในด้านการผลิตและการบริโภคกลับมาปรับตัวดีขึ้น และช่วยขับเคลื่อนภาพรวมการส่งออกของโลก 

 

สำหรับการส่งออกของไทยไปยังจีน (สัดส่วน 12% ของการส่งออกรวม) ประเมินว่าจะกลับมาขยายตัวได้ราว 4% ในปี 2023 จากที่หดตัว 7.7% ในปี 2022 โดยสินค้าที่คาดว่าจะขยายตัวได้ดี ได้แก่ สินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูป กลุ่มผลไม้สด กลุ่มอาหารสุขภาพ นอกจากนี้ ตลาดอาเซียน (สัดส่วน 25% ของส่งออกรวม) ยังคงเป็นตลาดที่เติบโตดีต่อเนื่อง สอดคล้องกับเศรษฐกิจที่ขยายตัวดี โดยเฉพาะอาเซียน-5 ที่ IMF คาดว่าจะเติบโตที่ 4.3% 

 

นอกจากนี้ ปัญหาเรื่องค่าระวางเรือที่ปรับสูงขึ้นมากในช่วงสถานการณ์โควิดที่คาดว่าจะคลี่คลายมากขึ้นในปีนี้ เป็นอีกปัจจัยบวกสนับสนุนการส่งออก โดยค่าระวางเรือมีแนวโน้มลดลงใกล้เคียงระดับปกติ โดยในช่วงปี 2017-2019 ก่อนสถานการณ์โควิด มูลค่าระวางสินค้าเฉลี่ยต่อปีที่ 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และได้ปรับตัวเพิ่มสูงสุดในรอบหลายปีที่ 2.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2021 และในช่วง 9 เดือนแรกปี 2022 ค่าระวางสินค้ายังคงปรับสูงเฉลี่ยที่ 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 9% จากช่วงเดียวกันในปี 2021 

 

สำหรับปี 2023 ราคาพลังงานในตลาดโลกนำโดยกลุ่มน้ำมันดิบดูไบที่มีแนวโน้มลดลงจาก 97 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรล ในปี 2022 มาที่ระดับ 80 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรล แม้จะไม่ได้อยู่ในระดับต่ำเท่ากับก่อนสถานการณ์โควิดก็ตาม แต่จะส่งผลกระทบทำให้ราคาค่าขนส่งปรับตัวลดลง จากการส่งผ่านด้านต้นทุนราคาพลังงานมาสู่ค่าระวางเรือ 

 

จากปัจจัยหลากหลายที่กล่าวมา ทำให้ทั้งปี 2023 มองภาพรวมการส่งออกจะอยู่ในทิศทางหดตัวเล็กน้อยในกรอบ 0 ถึง -1% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 0.5% ซึ่งนับเป็นการหดตัวเป็นปีแรกนับตั้งแต่ยอดมูลค่าการส่งออกกลับสู่ภาวะปกติก่อนสถานการณ์โควิด และทำสถิติใหม่เร่งตัวสูงเป็นประวัติการณ์ติดต่อกันจนกลายเป็นฐานการส่งออกที่สูงมาก โดยเฉพาะในปี 2021

 

ทั้งนี้ ยังคงต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงจากตลาดการเงินที่ยังมีความผันผวนอยู่ในระดับสูง โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2023 คาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องจากแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ทำให้ค่าเงินบาทผันผวนเป็นไปในทิศทางอ่อนค่าลงจากการเคลื่อนไหวแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ 

 

อย่างไรก็ดี ในช่วงครึ่งปีหลัง แนวโน้มภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภายในประเทศที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง ทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล กอปรกับอัตราเงินเฟ้อที่ลดลงต่อเนื่อง และคาดว่าจะเข้ามาอยู่ในกรอบเป้าหมายที่ 1-3% ภายในปีนี้ ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายไทย ณ สิ้นปี 2023 อยู่ที่ระดับ 2.00-2.25% จะเป็นแรงหนุนให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ดังนั้น ณ สิ้นปี 2023 คาดเงินบาทเคลื่อนไหวในช่วง 32.5-33.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับ 34.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี 2022

 

กล่าวโดยสรุป ปี 2023 เป็นปีที่ภาคการส่งออกของไทยมีทิศทางไม่สดใส หลังจากทำสถิติโตสูงสุดหลังวิกฤตโควิด ภายใต้ความท้าทายจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และยังมีความเสี่ยงด้านความผันผวนของค่าเงินบาท ผู้ประกอบการส่งออกจึงควรรับมือด้วยการเน้นตลาดที่ยังคงมีศักยภาพเติบโต เจาะตลาดใหม่ๆ รวมทั้งใช้เครื่องมือทางการเงินเพื่อลดความเสี่ยงด้านการผันผวนของค่าเงินบาท เช่น ทำการค้าด้วยเงินสกุลท้องถิ่น การทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือการใช้บัญชีเงินฝากสกุลเงินต่างประเทศ เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากความผันผวนของค่าเงินบาทให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด 

The post ทิศทางการส่งออกปี 2023 และความเสี่ยงที่ต้องติดตาม appeared first on THE STANDARD.

]]>
Alternative Data: ตัวช่วยปลดล็อก SMEs รายย่อยเข้าสู่ระบบสินเชื่อได้มากขึ้น https://thestandard.co/alternative-data-unlock-smes/ Wed, 08 Feb 2023 10:02:39 +0000 https://thestandard.co/?p=747587

กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่กลับมาคึกคักหลังนักท่องเที่ยวต่างช […]

The post Alternative Data: ตัวช่วยปลดล็อก SMEs รายย่อยเข้าสู่ระบบสินเชื่อได้มากขึ้น appeared first on THE STANDARD.

]]>

กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่กลับมาคึกคักหลังนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดไว้ บ่งบอกถึงสัญญาณบวกต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ต่อเนื่องในปี 2566 อย่างไรก็ดี สำหรับธุรกิจภาคอุตสาหกรรมยังคงมีแนวโน้มฟื้นตัวแต่ยังไม่ครอบคลุมในทุกขนาดอุตสาหกรรม โดยเฉพาะ SMEs รายย่อยที่ยังคงฟื้นตัวไม่เต็มที่ ขณะที่การเข้าถึงแหล่งเงินทุนยังอยู่ในระดับต่ำ การช่วยให้ SMEs รายย่อยเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้นเป็นเรื่องที่ไม่อาจมองข้ามได้ ล่าสุดกระทรวงการคลังเปิดเผยว่ากำลังหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการนำข้อมูลการชำระหนี้สาธารณูปโภค ซึ่งถือเป็นหนึ่งใน Alternative Data มาใช้ประกอบการพิจารณาสินเชื่อ ในบทความนี้จะอธิบายที่มาของ Alternative Data ที่สามารถครอบคลุมถึงข้อมูลอะไรได้บ้าง และที่สำคัญช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการ SMEs รายย่อยเข้าถึงสินเชื่อของสถาบันการเงินได้อย่างไร 

 

ปัจจุบันความสามารถในการเข้าถึงสินเชื่อของ SMEs ไทยยังอยู่ในระดับต่ำ สะท้อนจากข้อมูลยอดคงค้างเงินให้สินเชื่อแก่ธุรกิจ SMEs ของระบบธนาคารพาณิชย์ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2565 อยู่ที่ 3.4 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 22% ของสินเชื่อรวม ลดลงจากปี 2560-2562 อยู่ที่ 37% ซึ่งสอดคล้องกับองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ระบุว่าการปล่อยสินเชื่อให้กับ SMEs ในประเทศไทยมีเพียง 10% เท่านั้นที่สามารถผ่านการประเมินและกู้ยืมได้ ซึ่งมีการใช้หลักทรัพย์ค้ำประกันโดยเฉลี่ยสูงกว่าวงเงินที่ขอสินเชื่อถึง 5 เท่า อีกทั้งมีเพียง 10% ของธุรกิจ SMEs ที่ผ่านการประเมินจากสถาบันการเงิน 


บทความที่เกี่ยวข้อง


ซึ่งสาเหตุหลักที่สถาบันการเงินไม่สามารถปล่อยกู้ให้กับ SMEs คือ 

 

  1. มีสินทรัพย์ค้ำประกันที่ไม่เพียงพอ 
  2. มีปัญหาเรื่องการจัดทำแผนธุรกิจ 
  3. ขาดประสบการณ์การทำธุรกิจ ซึ่งเหตุผลนี้หากเป็นธุรกิจสตาร์ทอัพ ถึงแม้จะทำโครงการที่น่าสนใจก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ 
  4. คะแนนเครดิตที่สถาบันการเงินประเมินออกมาต่ำ  

 

นอกจากนี้ จากการสำรวจของสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทยหลังสถานการณ์โควิด พบว่าภาพรวมผู้ประกอบการ SMEs ยังไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อประมาณ 70% หรือ 2.6-2.7 ล้านราย โดยเฉพาะ SMEs รายย่อย (ตามนิยามของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ระบุว่าเป็นกิจการที่มีรายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี) ทำให้ต้องเผชิญกับความยากลำบากมากกว่า และมีสถานะไม่ต่างจากบุคคลธรรมดาที่ขาดหลักประกันในการเข้าถึงบริการทางการเงิน 

 

Alternative Data คือข้อมูลที่สามารถนำมาใช้เป็นแนวทางเพื่อประกอบการพิจารณาสินเชื่อ โดยหลักปฏิบัติทั่วไปการวิเคราะห์สินเชื่อจะพิจารณาจากข้อมูลทางการเงินของผู้กู้ที่บ่งชี้ถึงความสามารถในการชำระหนี้เป็นพื้นฐาน สำหรับการปล่อยสินเชื่อให้แก่ SMEs นั้น สถาบันการเงินและ Non-Bank ยังคงให้ความสำคัญกับข้อมูลทางการเงิน (Financial Data) ของผู้ประกอบการด้วย ดังจะเห็นได้จากเกือบทุกสถาบันมีการขอเอกสารแสดงรายได้ 6 เดือนย้อนหลัง, สำเนางบการเงินย้อนหลัง 3 ปี, สำเนาใบเสร็จการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้และมีผลกำไรจากการดำเนินกิจการล่าสุดติดต่อกันไม่น้อยกว่า 2 ปี 

 

อย่างไรก็ดี ในช่วงที่ผ่านมาบางสถาบันการเงินได้กำหนดเงื่อนไขด้านข้อมูลที่ไม่ใช่การเงิน (Non-Financial Data) เพิ่มเข้ามา ได้แก่ หลักฐานการมีตัวตนของผู้กู้, ระยะเวลาการประกอบกิจการ, ผู้ถือหุ้นหลัก, แผนการดำเนินธุรกิจ, ข้อมูลด้านการตลาด และข้อมูลด้านการผลิตสินค้า 

 

นอกจากนี้ Non-Bank มีการนำข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ ‘พฤติกรรมการใช้ชีวิต’ เช่น ทัศนคติและพฤติกรรมผู้กู้ในชีวิตประจำวัน การใช้ข้อมูลโซเชียลมีเดีย ซึ่งอาจจะดูไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องการเงิน แต่แท้ที่จริงอาจสามารถใช้ประเมินความน่าจะเป็นในการชำระหนี้ได้ ดังตัวอย่างบริษัทฟินเทครายหนึ่งใช้ข้อมูลการใช้แอปพลิเคชันเกี่ยวกับโซเชียลมีเดียเป็นแนวทางในการบ่งบอกความน่าจะเป็นในการชำระหนี้ เช่น ถ้ามีแอปพลิเคชันโซเชียลมีเดีย (เช่น เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ ฯลฯ) มากกว่า 23 แอปบนมือถือ ความน่าจะเป็นในการชำระหนี้ก็จะลดลง 20%  

 

ดังนั้น ข้อมูลด้านต่างๆ ที่ใช้บ่งบอกหรือสามารถเชื่อมโยงถึงความสามารถของผู้ประกอบการหรือผู้กู้ในการชำระหนี้ได้ถือว่าเป็น Alternative Data ซึ่งอาจเป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการเงินหรือข้อมูลที่ไม่ใช่การเงิน ปัจจุบันสถาบันการเงินบางแห่งรวบรวมและนำข้อมูลที่แตกต่างหลากหลายมาใส่ในแบบจำลองการวิเคราะห์สินเชื่อร่วมกับข้อมูลทางการเงิน จากข้อมูลการศึกษาของ สสว. พบว่าการดำเนินงานด้านสินเชื่อในต่างประเทศมีการพิจารณานำข้อมูลด้านที่ไม่ใช่การเงิน (Non-Financial Data) มาประกอบการพิจารณาสินเชื่อให้แก่ SMEs โดยเฉพาะรายที่มีขนาดเล็กหรือเริ่มธุรกิจใหม่ ในสัดส่วนประมาณ 60-70%   

 

หลากหลายข้อมูลที่สามารถใช้เป็น Alternative Data สำหรับ SMEs รายย่อย ซึ่งในที่นี้ หากมององค์ประกอบด้านธุรกิจที่เกี่ยวข้องทางการเงินแบ่งออกเป็น 2 ด้าน คือรายรับและรายจ่าย โดยในด้านรายรับซึ่งเรียกว่า Traditional Data ปกติใช้ข้อมูลหลักๆ จากงบการเงิน, ใบสั่งซื้อสินค้า สามารถใช้ข้อมูลทางเลือกเพิ่มเติม ได้แก่ การจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT), รายได้จากออนไลน์เดลิเวอรี หรือในช่วงที่ผ่านมาผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการรัฐก็อาจใช้รายรับผ่านโครงการรัฐ เช่น คนละครึ่ง, เราเที่ยวด้วยกัน สำหรับด้านรายจ่าย จากเดิมที่ใช้ข้อมูลงบการเงินเป็นหลักเช่นกัน ก็อาจใช้ข้อมูลทางเลือกเพิ่ม ได้แก่ การจ่ายเงินสมทบประกันสังคม, การจ่ายเงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, บิลชำระค่าสาธารณูปโภค เช่น ค่าไฟ ค่าน้ำ ค่าโทรศัพท์ ค่าอินเทอร์เน็ต นอกจากนี้อาจใช้ข้อมูลส่วนบุคคล ได้แก่ การถือครองที่ดิน, การจดทะเบียนรถยนต์, การจ่ายภาษีรถยนต์, ระดับการศึกษา เป็นต้น

 

การใช้ Alternative Data คาดว่าจะทำให้ SMEs รายย่อยเข้าถึงสินเชื่อจากสถาบันการเงินเพิ่มขึ้น จากการที่สถาบันการเงินมีความยืดหยุ่นปรับใช้ Alternative Data หลากหลายด้านใส่ในโมเดลการวิเคราะห์สินเชื่อ ทำให้คะแนนเรตติ้งหรือการจัดอันดับความสามารถของผู้กู้สะท้อนตัวตนของผู้กู้ได้สมบูรณ์มากขึ้น จากเดิมหาก SMEs รายย่อยไม่มีประวัติทางการเงินกับสถาบันการเงิน เนื่องจากไม่เคยใช้สินเชื่อในระบบ คะแนนเครดิตจะออกมาต่ำกว่าเกณฑ์ ซึ่งธนาคารพาณิชย์อาจไม่มั่นใจ เพราะผู้ประกอบการไม่มีประวัติการชำระหนี้หรือประวัติด้านเครดิต ทำให้ความเป็นไปได้ในการได้รับสินเชื่อจากธนาคารยิ่งห่างไกลออกไปอีก  

 

ทำอย่างไรให้เข้าถึง Alternative Data จากข้อมูลทางเลือกด้านต่างๆ เช่น ข้อมูลการใช้จ่ายค่าสาธารณูปโภคในส่วนของค่าไฟฟ้า ซึ่งฐานข้อมูลดังกล่าวอยู่ภายใต้การครอบครองโดยหน่วยงานภาครัฐ เช่น การไฟฟ้านครหลวง, การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เหล่านี้การได้มาซึ่งข้อมูลต้องได้รับการพิจารณาเห็นชอบจากหน่วยงานดังกล่าว รวมทั้งการนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้ต้องคำนึงถึง พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 หรือ PDPA ด้วยเช่นกัน 

 

จะเห็นได้ว่าการเข้าถึงข้อมูลทางเลือกเหล่านี้จึงเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย แต่ก็มีแนวโน้มที่สามารถทำได้ หากมีการประสานความร่วมมือกันทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจ และสถาบันการเงิน โดยพิจารณาขอข้อมูลในนามหน่วยงานกลาง ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลประกอบการพิจารณาสินเชื่อ เพื่อให้ SMEs รายย่อยเข้าถึงสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินมากขึ้น เช่น ข่าวล่าสุดของกระทรวงการคลังที่มีการหารือร่วมกันกับหน่วยงานหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำข้อมูลการใช้ไฟฟ้าและข้อมูลการชำระค่าไฟฟ้ามาประกอบการพิจารณาสินเชื่อของสถาบันการเงิน เพื่อเพิ่มโอกาสให้ประชาชนและผู้ประกอบการ SMEs ในต่างจังหวัด สามารถเข้าถึงแหล่งทุนและสภาพคล่องในระบบได้ 

 

การนำ Alternative Data มาพิจารณาจัดอันดับความสามารถของผู้กู้เพื่อประกอบการพิจารณาสินเชื่อ คาดว่าเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะช่วยทำให้ SMEs รายย่อยสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบสถาบันการเงินได้มากขึ้น และสถาบันการเงินเองก็จะสามารถลดต้นทุนได้ โดยการใช้ประโยชน์ของข้อมูลทางเลือกเพื่อช่วยตัดสินใจในการวิเคราะห์สินเชื่อได้อย่างถูกต้องมากขึ้น ทำให้สามารถให้สินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมได้มากขึ้น 

The post Alternative Data: ตัวช่วยปลดล็อก SMEs รายย่อยเข้าสู่ระบบสินเชื่อได้มากขึ้น appeared first on THE STANDARD.

]]>