จิรันธนิน กมลเลิศ – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Mon, 12 Feb 2024 12:34:07 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ญนน์ โภคทรัพย์ แม่ทัพใหญ่ ‘เซ็นทรัล รีเทล’ ห่วงเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้า หวังรัฐบาลกระตุ้นจับจ่าย https://thestandard.co/yol-phokasub-concerned-about-the-thai-economy/ Mon, 12 Feb 2024 12:33:45 +0000 https://thestandard.co/?p=898901

ญนน์ โภคทรัพย์ แม่ทัพใหญ่ ‘เซ็นทรัล รีเทล’ เป็นห่วงเศรษ […]

The post ญนน์ โภคทรัพย์ แม่ทัพใหญ่ ‘เซ็นทรัล รีเทล’ ห่วงเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้า หวังรัฐบาลกระตุ้นจับจ่าย appeared first on THE STANDARD.

]]>

ญนน์ โภคทรัพย์ แม่ทัพใหญ่ ‘เซ็นทรัล รีเทล’ เป็นห่วงเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้า หวังให้รัฐบาลกระตุ้นจับจ่าย แต่ยังมองบวกอานิสงส์ท่องเที่ยวฟื้นตลาดค้าปลีกโตตาม GDP 2-3% เดินหน้าต่อตามโรดแมป 5 ปี ‘CRC OMNI-Intelligence’ วางงบ 22,000-24,000 ล้านบาท ผุดโปรเจกต์ใหญ่ทั้งในไทยและเวียดนาม พร้อมรอจังหวะและหาโอกาส M&A ในเวียดนาม ตั้งเป้าปี 2567 เติบโตอยู่ที่ 9-11% 

 

ปฏิเสธไม่ได้ว่าเศรษฐกิจไทยทุกครั้งที่เจอวิกฤตฟื้นตัวได้ช้า สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือประชากรในประเทศ ทั้งกลุ่มที่มีกำลังซื้อและไม่มีกำลังซื้อ ซึ่งรัฐบาลต้องแก้โจทย์ให้ได้ทั้งสองด้าน ขณะที่ภาพรวมค้าปลีกไทยที่มีมูลค่า 4.4 ล้านล้านบาท ปี 2567 คาดว่าจะเติบโตตาม GDP หากรัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายจะส่งสัญญาณบวกให้ค้าปลีกมีการเติบโตประมาณ 2-3% ถือว่าโตน้อยเพราะหากเทียบกับ 10 ปีก่อน ตลาดค้าปลีกจะโตมากกว่า GDP กว่า 3 เท่า

 

“สำหรับ ‘เซ็นทรัล รีเทล’ มองบวก เนื่องจากภาคการท่องเที่ยวที่กลับมาคึกคักและสร้างอานิสงส์ให้กับภาคบริการ ต้องไม่ลืมว่าค้าปลีกเป็นแหล่งจ้างงานที่ใหญ่ที่สุด โดยทั้งหมดก็มีผลต่อกำลังซื้อผู้บริโภค และอีกหนึ่งปัจจัยที่กังวลคือปัญหาดอกเบี้ย ถ้ารัฐบาลอยากแก้ปัญหาหลักต้องให้สถาบันการเงินมีการแข่งขัน เพราะถ้าไม่มีการแข่งขันก็มีการกินรวบ และนอกจากปัญหาโครงสร้างแล้ว จะเห็นว่าตอนนี้สินค้าจากจีนราคาถูกทะลักเข้ามาในไทย ต้องยอมรับว่ามีส่วนที่เป็นปัญหาหลักให้เศรษฐกิจไทยไม่เติบโต” ญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC กล่าว

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

อีกด้านหนึ่ง ความท้าทายของธุรกิจคงหนีไม่พ้นกระแสดิสรัปชัน ทั้งจากเทคโนโลยี, พฤติกรรมผู้บริโภค, การเข้ามาของ Generative AI และ Climate Change ที่ผ่านมา ‘เซ็นทรัล รีเทล’ พยายามรักษา Ecosystem ให้มีความยืดหยุ่นและสามารถปรับเปลี่ยนเพื่อรองรับสถานการณ์อย่างรวดเร็ว

 

แม้ CRC นั้นเป็นผู้นำในทุกกลุ่มธุรกิจและมีการเติบโตต่อเนื่อง แต่ก็ต้องปรับตัวให้สอดรับกับสภาพตลาด จากนี้ในปี 2567 ได้วางกลยุทธ์คอนเซปต์ของ Leading Excellence and Advancing Sustainability ที่กลายเป็นโรดแมปของการดำเนินธุรกิจ ที่ผ่านมาเราวาง Brand Purpose ไว้ชัดเจนในการเป็น Central to Life ศูนย์กลางชีวิตของทุกคนในประเทศที่เราดำเนินธุรกิจ ทั้งไทย เวียดนาม และอิตาลี

 

พร้อมเดินหน้าวางวิสัยทัศน์ในระยะ 5 ปี ‘CRC OMNI-Intelligence’ พยายามทำให้ธุรกิจเดิมทั้งกลุ่มแฟชั่น กลุ่มฟู้ด กลุ่มฮาร์ดไลน์ และกลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ที่มีอยู่แข็งแกร่งมากขึ้น พร้อมมองหาโอกาสในขยายการเติบโต ทั้งการทำ M&A ในไทยและเวียดนาม หากมีดีลเกิดขึ้นจะต้องพิจารณาจังหวะการลงทุนให้เหมาะสม พร้อมบริหารต้นทุนและรักษาสภาพคล่องทางการเงิน เพื่อป้องกันความเสี่ยงรอบด้าน 

 

ที่สำคัญยังให้ความสำคัญกับการยกระดับศักยภาพของพนักงานด้วยการนำ AI เข้ามาปรับใช้ในกระบวนการธุรกิจ เริ่มตั้งแต่การสร้าง Next-Gen Omnichannel ผสานกับแพลตฟอร์มออนไลน์และออฟไลน์เอาไว้ด้วยกัน ควบคู่กับการขยาย Ecosystem ทั้งธุรกิจ B2B และ B2C ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น 

 

แม่ทัพใหญ่ CRC ฉายภาพต่อถึงทิศทางปี 2567 วางงบประมาณทั้งปีไว้ที่ 22,000-24,000 ล้านบาท เพื่อใช้ขยายโปรเจกต์ใหญ่ๆ ทั้งในไทยและเวียดนาม เราจะมีการขยาย 40 สโตร์ เริ่มตั้งแต่ Department Store จะเปิดเพิ่ม 2 สาขา ตามด้วยไทวัสดุ 9 สาขา พร้อมรีโนเวตอีก 4 สาขา Tops 10 สาขา และ GO Wholesale อีก 7 สาขา 

 

รวมถึงประเทศเวียดนาม ปัจจุบันมีทั้งสาขาไฮเปอร์มาร์เก็ตและซูเปอร์มาร์เก็ตภายใต้แบรนด์ GO! ปัจจุบันมี 5 สาขา เน้นโฟกัสกลุ่มลูกค้าครอบครัว ในปีนี้จะเปิดสาขาอีก 3 สาขา รวมถึง Mini go! ร้านค้าปลีกที่เน้นเจาะผู้บริโภคระดับแมส อีก 9 สาขา ซึ่งเป็นฟอร์แมตที่ได้รับการตอบรับอย่างดี ที่สำคัญจะสามารถรองรับธุรกิจอาหารที่เติบโตกว่า 10% ได้ต่อเนื่อง

 

โดยกลยุทธ์ทั้งหมดจะช่วยผลักดันให้ผลประกอบการปี 2567 เติบโตอยู่ที่ 9-11% ส่วน EBITDA เติบโต 15-17% ส่วนผลประกอบการในปี 2566 ที่ผ่านมาเติบโตมากกว่าช่วงก่อนโควิด จากความสำเร็จของการนำเข้าแบรนด์สินค้าใหม่ๆ เข้ามาภายในศูนย์กว่า 500 แบรนด์ พร้อมปรับโฉม Tops และศูนย์การค้าให้ทันสมัยมากขึ้น

The post ญนน์ โภคทรัพย์ แม่ทัพใหญ่ ‘เซ็นทรัล รีเทล’ ห่วงเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้า หวังรัฐบาลกระตุ้นจับจ่าย appeared first on THE STANDARD.

]]>
Temu แอปช้อปปิ้งจีน ซื้อพื้นที่โฆษณาใน Super Bowl พร้อมแจกคูปองอีกกว่า 10 ล้านดอลลาร์ หวังตีตลาดอเมริกา https://thestandard.co/temu-bought-super-bowl-advertisement/ Sun, 11 Feb 2024 11:29:23 +0000 https://thestandard.co/?p=898542 Temu

Temu แพลตฟอร์มช้อปปิ้งจากจีน ทุ่มงบซื้อพื้นที่โฆษณาระหว […]

The post Temu แอปช้อปปิ้งจีน ซื้อพื้นที่โฆษณาใน Super Bowl พร้อมแจกคูปองอีกกว่า 10 ล้านดอลลาร์ หวังตีตลาดอเมริกา appeared first on THE STANDARD.

]]>
Temu

Temu แพลตฟอร์มช้อปปิ้งจากจีน ทุ่มงบซื้อพื้นที่โฆษณาระหว่างถ่ายทอดสด Super Bowl การแข่งขันชิงแชมป์อเมริกันฟุตบอลอาชีพ NFL พร้อมแจกคูปองมูลค่ากว่า 10 ล้านดอลลาร์ หวังเพิ่มโอกาสการขายในตลาดสหรัฐอเมริกา

 

สำนักข่าว CNBC รายงานว่า Super Bowl นั้นเป็นรายการถ่ายทอดสดการแข่งขันอเมริกันฟุตบอลอาชีพ NFL โดยคาดว่าในแต่ละปีจะมีผู้ชมการถ่ายทอดสดนี้มากกว่า 100 ล้านคนทั่วโลก จึงทำให้เป็นที่ต้องการของแบรนด์ดังที่พร้อมทุ่มเงินจำนวนมหาศาลเพื่อซื้อเวลาโฆษณามาเป็นของตัวเอง รองรับโอกาสในการสื่อสารถึงกลุ่มเป้าหมาย

 

ไม่เว้นแม้แต่ Temu แอปพลิเคชันช้อปปิ้งจากจีน ที่ใช้งบโฆษณาไปกับการถ่ายทอดสดดังกล่าวเป็นครั้งที่ 2 พร้อมแจกคูปองและของรางวัลเพิ่มอีกมูลค่ากว่า 10 ล้านดอลลาร์ โดยโฆษกของ Temu ระบุว่า ถือเป็นเรื่องยากที่บริษัทจากจีนจะตัดสินใจลงทุนซื้อพื้นที่โฆษณาใน Super Bowl ที่มีราคาค่อนข้างสูง แต่ทั้งหมดก็เป็นนโยบายของบริษัทที่ต้องการเข้าไปเจาะตลาดในสหรัฐอเมริกา

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

สอดคล้องกับกลยุทธ์ของ Temu ที่ให้ความสำคัญกับการทำตลาดพร้อมมองหาโอกาสการเติบโตที่นอกเหนือจากตลาดจีน หันมาให้ความสำคัญกับตลาดสหรัฐอเมริกาที่มีจำนวนผู้บริโภคมหาศาลและยังมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวสูงกว่า พร้อมใช้กลยุทธ์ส่งสินค้าราคาถูก รวมถึงให้ส่วนลดเมื่อเชิญเพื่อนมาซื้อของหรือเล่นเกมบนแอป

 

จนเมื่อปี 2023 ที่ผ่านมา Temu กลายเป็นแอปที่มีการดาวน์โหลดมากกว่า 70 ล้านครั้ง สูงเป็นอันดับ 1 ในสหรัฐอเมริกา และในเดือนมกราคม 2024 ผู้ใช้งานรายเดือนของ Temu มีทั้งหมด 51 ล้านคน เพิ่มขึ้นเกือบ 300% เมื่อเทียบเป็นรายปี

 

แต่การทำตลาดก็ไม่ง่ายด้วยภาวะเศรษฐกิจและรายได้ของชาวอเมริกันที่ลดลง ทำให้ยอดการสั่งซื้อสินค้าใน Temu ลดลง 20% และมีแนวโน้มที่อาจจะไม่สามารถสร้างการเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ จึงต้องพยายามทำการตลาดด้วยการทำโฆษณากระตุ้นการจับจ่าย

 

อย่างไรก็ตาม ค่าโฆษณาระหว่างการถ่ายทอดสด Super Bowl อยู่ระหว่าง 6-7 ล้านดอลลาร์ (ราว 202.6-236.3 ล้านบาท) ต่อโฆษณา 1 ตัว ซึ่งมีความยาวเพียง 30 วินาที นั่นหมายความว่าโฆษณาของแบรนด์ต่างๆ ที่ถูกปล่อยออกไประหว่างการถ่ายทอดสด Super Bowl จะมีมูลค่าสูงถึง 7.9 ล้านบาทต่อ 1 วินาที

 

อ้างอิง:

The post Temu แอปช้อปปิ้งจีน ซื้อพื้นที่โฆษณาใน Super Bowl พร้อมแจกคูปองอีกกว่า 10 ล้านดอลลาร์ หวังตีตลาดอเมริกา appeared first on THE STANDARD.

]]>
พิษสงคราม! Unilever ถูกผู้บริโภคในอินโดนีเซียแบน กดรายได้ร่วง 15% Starbucks และ KFC ก็ไม่รอด https://thestandard.co/unilever-indonesian-banned/ Sun, 11 Feb 2024 08:13:54 +0000 https://thestandard.co/?p=898524 Unilever

สินค้าอุปโภคบริโภคของยักษ์ใหญ่ Unilever ถูกผู้บริโภคแบน […]

The post พิษสงคราม! Unilever ถูกผู้บริโภคในอินโดนีเซียแบน กดรายได้ร่วง 15% Starbucks และ KFC ก็ไม่รอด appeared first on THE STANDARD.

]]>
Unilever

สินค้าอุปโภคบริโภคของยักษ์ใหญ่ Unilever ถูกผู้บริโภคแบน จากผลพวงสงครามในตะวันออกกลาง กระทบรายได้ในตลาดอินโดนีเซียลดลงกว่า 15% ไม่เว้นแม้แต่ Starbucks และ KFC

 

สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า Unilever ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคยักษ์ใหญ่ รายงานผลประกอบการในไตรมาส 4 ปี 2023 ยอดขายกลุ่มผลิตภัณฑ์ Vaseline, สบู่ Dove และผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย Rexona ในประเทศอินโดนีเซียลดลงถึง 15% จากผลกระทบที่บริษัทคว่ำบาตรจากประเด็นสงครามในตะวันออกกลาง

 

ส่งผลให้ผู้บริโภคในประเทศที่ส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมมากกว่า 200 ล้านคน ได้คว่ำบาตรไม่ซื้อสินค้าของบริษัทข้ามชาติ เพราะมองว่าเป็นธุรกิจที่สนับสนุนหรือมีความเชื่อมโยงกับสงครามในอิสราเอล

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

“ทั้งนี้ บริษัทที่ได้รับผลกระทบในอินโดนีเซียไม่ได้มีแค่บริษัทสินค้าอุปโภคบริโภค แต่ยอดขายของบริษัทข้ามชาติหลายแห่งก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน” ไฮน์ ชูมัคเกอร์ ซีอีโอ Unilever กล่าว

 

รวมไปถึง Yum! Brands เชนฟาสต์ฟู้ดยักษ์ใหญ่ เจ้าของ KFC และ Pizza Hut ที่ได้รับผลกระทบอย่างมาก เห็นได้จากยอดขายที่ลดลง จากผลความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลาง และไม่ใช่แค่ในตลาดอินโดนีเซียเท่านั้น แต่รวมไปถึงหลายๆ ประเทศ ไม่เว้นแม้แต่ Starbucks และ McDonald’s ก็ประสบปัญหายอดขายที่ลดลงเหมือนกัน

 

นอกจากยอดขายแล้ว อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคยังประสบปัญหาต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นมากว่า 2 ปี เนื่องจากทุกอย่างตั้งแต่น้ำมันดอกทานตะวันและการขนส่ง ไปจนถึงบรรจุภัณฑ์และธัญพืชมีราคาแพงขึ้น เรียกได้ว่าได้รับผลกระทบจากสงครามไปเต็มๆ

 

อ้างอิง:

The post พิษสงคราม! Unilever ถูกผู้บริโภคในอินโดนีเซียแบน กดรายได้ร่วง 15% Starbucks และ KFC ก็ไม่รอด appeared first on THE STANDARD.

]]>
ไม่หวั่นเศรษฐกิจจีนชะลอ ‘McDonald’s’ ลุยเพิ่มสาขากว่า 1,000 แห่งในปีนี้ พร้อมขายชุดเบอร์เกอร์ราคาถูกดึงลูกค้า https://thestandard.co/mcdonalds-to-open-1000-stores-2024/ Sun, 11 Feb 2024 05:24:39 +0000 https://thestandard.co/?p=898489

หลังขึ้นราคาเมนูในตลาดอเมริกาไปกว่า 10% จนจำนวนลูกค้าเข […]

The post ไม่หวั่นเศรษฐกิจจีนชะลอ ‘McDonald’s’ ลุยเพิ่มสาขากว่า 1,000 แห่งในปีนี้ พร้อมขายชุดเบอร์เกอร์ราคาถูกดึงลูกค้า appeared first on THE STANDARD.

]]>

หลังขึ้นราคาเมนูในตลาดอเมริกาไปกว่า 10% จนจำนวนลูกค้าเข้าร้านลดลง ล่าสุด McDonald’s เชนร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดรายใหญ่ ปรับไลน์เมนูชุดเบอร์เกอร์ให้มีราคาเข้าถึงง่าย เพิ่มทางเลือกให้ลูกค้ารายได้น้อย พร้อมเดินหน้าขยายสาขาใหม่ในจีนกว่า 1,000 แห่งภายในปี 2024 

 

นับว่าสวนทางกับหลายๆ แบรนด์ที่ชะลอการเปิดสาขาในจีน เนื่องจากสถานการณ์ปัญหาเศรษฐกิจในจีนยังไม่ทีท่าว่าจะดีขึ้น แต่ McDonald’s ได้มองเห็นโอกาสในตลาดฟาสต์ฟู้ดที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง เรียกได้ว่าการเปิดร้านในจีนครั้งนี้ถือว่ามากกว่าการเปิดร้านในประเทศอื่นๆ ที่ผ่านมา

 

ขณะเดียวกัน การแข่งขันก็สูงขึ้น เพราะผู้เล่นอย่าง Yum China Holdings คู่แข่งของ McDonald’s ซึ่งเป็นบริษัทที่เป็นเจ้าของแบรนด์ Pizza Hut และ KFC ในจีนก็พยายามขยายสาขาในจีนอีกกว่า 20,000 แห่งเช่นกัน 

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

“ต้องยอมรับว่าวิกฤตเศรษฐกิจในจีนเป็นตัวแปรให้ผู้คนในประเทศมองหาอาหารที่ราคาไม่สูงมากนัก บวกกับจำนวนประชากรกว่า 1.4 พันล้านคนจึงเป็นโอกาสของเราที่จะเข้าไปขยายกลุ่มผู้บริโภคและสร้างยอดขาย” Chris Kempczinski ซีอีโอ McDonald’s กล่าว

 

โดยการทำตลาดในแต่ละประเทศมีความแตกต่างกัน ยกตัวอย่างในอเมริกา หลังจากปีที่แล้วเราปรับขึ้นราคาเมนูเพิ่มขึ้นประมาณ 10% เพื่อรองรับต้นทุนทั้งแรงงาน วัตถุดิบ และค่าเช่าต่างๆ ที่เพิ่มขึ้น แล้วมาบวกกับแรงกดดันทางเศรษฐกิจ จนมีเสียงสะท้อนจากลูกค้าว่าราคาสูงเกินไป ส่งผลให้จำนวนลูกค้าในบางสาขาลดลงและมีผลต่อยอดขายในที่สุด 

 

สำหรับกลยุทธ์การทำตลาดในทุกๆ ตลาด นอกจากการพัฒนาเมนูใหม่ๆ แล้ว สิ่งที่แบรนด์ให้ความสำคัญมาตลอดคือจัดรายการชุดอิ่มคุ้มที่มีทั้งเบอร์เกอร์และเครื่องดื่ม ราคาเข้าถึงง่าย เพื่อดึงดูดให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อ เข้ารองรับพฤติกรรมลูกค้าที่มีรายได้น้อย ส่วนใหญ่จะเลือกซื้อราคาเมนูที่ต่ำสุดมากกว่าโปรโมชัน

 

อ้างอิง:

The post ไม่หวั่นเศรษฐกิจจีนชะลอ ‘McDonald’s’ ลุยเพิ่มสาขากว่า 1,000 แห่งในปีนี้ พร้อมขายชุดเบอร์เกอร์ราคาถูกดึงลูกค้า appeared first on THE STANDARD.

]]>
แซม อัลต์แมน ซีอีโอ OpenAI เตรียมแผนระดมทุนมากถึง 7 ล้านล้านดอลลาร์ ผุดโครงการชิป AI ชิงส่วนแบ่งตลาด https://thestandard.co/altman-plans-to-raise-7-trillion/ Sat, 10 Feb 2024 09:24:09 +0000 https://thestandard.co/?p=898364 แซม อัลต์แมน ซีอีโอของ OpenAI

แซม อัลต์แมน ซีอีโอของ OpenAI เตรียมแผนระดมทุนมากถึง 7 […]

The post แซม อัลต์แมน ซีอีโอ OpenAI เตรียมแผนระดมทุนมากถึง 7 ล้านล้านดอลลาร์ ผุดโครงการชิป AI ชิงส่วนแบ่งตลาด appeared first on THE STANDARD.

]]>
แซม อัลต์แมน ซีอีโอของ OpenAI

แซม อัลต์แมน ซีอีโอของ OpenAI เตรียมแผนระดมทุนมากถึง 7 ล้านล้านดอลลาร์ เริ่มโครงการชิปเทคโนโลยีจาก AI หวังชิงส่วนแบ่งอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ พร้อมรองรับยอดขายชิปทั่วโลกที่คาดว่าจะสูงถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2030

 

สำนักข่าว CNBC รายงานว่า ที่ผ่านมา แซม อัลต์แมน ซีอีโอของ OpenAI ได้กล่าวถึงปัญหาการขาดแคลนชิปเซมิคอนดักเตอร์มาอย่างต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้าเจรจากับนักลงทุนหลายราย และหนึ่งในนั้นคือ รัฐบาลสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพื่อจัดหาเงินทุนมาใช้พัฒนาโครงการใหม่ที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตชิปทั่วโลก 

 

“สิ่งที่น่าสนใจของโครงการดังกล่าวคือการนำเทคโนโลยี AI มาเพิ่มการผลิตชิปให้เพียงพอต่อดีมานด์ทั่วโลก ที่สำคัญจะเพิ่มความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจได้ ซึ่งโครงการดังกล่าวต้องใช้เงินมากถึง 7 ล้านล้านดอลลาร์เลยทีเดียว”

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

อย่างไรก็ตาม ตลาดชิป AI นั้นมีผู้ผลิตอย่าง NVIDIA กระโดดเข้ามาก่อนแล้ว และกำลังได้รับอานิสงส์จากความต้องการชิป AI ที่เพิ่มขึ้น ที่ผ่านมาชิปของบริษัทถูกใช้โดยบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีหลายแห่ง รวมถึง Google, Microsoft และ Meta ส่งผลให้มูลค่าตลาดของ NVIDIA มีมากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าในปี 2023 แถมยังครองส่วนแบ่งตลาดชิป AI อยู่ที่ประมาณ 80% 

 

กลายเป็นโจทย์ใหญ่ให้ ซีอีโอของ OpenAI ต้องพยายามผลักดันโครงการอย่างมาก ซึ่งก็อาจไม่ใช่เรื่องยาก เพราะตัวเขาเองเคยเข้าไปลงทุนส่วนตัวกับบริษัทสตาร์ทอัพชิป AI ภายใต้ชื่อ Rain Neuromorphics ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับสำนักงานใหญ่ของ OpenAI ในซานฟรานซิสโก ในปี 2018 

 

ทั้งนี้ OpenAI ก่อตั้งขึ้นในปี 2015 ในฐานะองค์กรวิจัยที่ไม่แสวงหากำไร ที่ผ่านมาได้ระดมทุนมากกว่า 14 พันล้านดอลลาร์จากนักลงทุนหลายราย รวมถึง Microsoft, Sequoia Capital, Andreessen Horowitz และ Founders Fund  

 

โดยผลิตภัณฑ์หลักของ OpenAI คือการเปิดตัว ChatGPT ในเดือนพฤศจิกายน 2022 ซึ่งเป็นโมเดล AI การสนทนาที่สามารถสร้างการตอบกลับด้วยภาษาธรรมชาติสำหรับคำถามและงานต่างๆ ซึ่งได้รับผลการตอบรับเป็นอย่างดี ปัจจุบันมีผู้ใช้งานมากกว่า 100 ล้านคนต่อสัปดาห์

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา คณะกรรมการของ OpenAI ได้พยายามขับไล่ แซม อัลต์แมน ออกจากบริษัท แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะพนักงาน OpenAI มากกว่า 500 คนร่วมลงชื่อในจดหมายให้บอร์ดแสดงความรับผิดชอบต่อกรณีการขับไล่ซีอีโอของบริษัทลาออก ไม่เช่นนั้นพนักงานทั้งหมดจะเป็นฝ่ายลาออกเอง ในช่วงนั้น แซม อัลต์แมน ได้รับการว่าจ้างจาก Microsoft ไม่นาน ภายในหนึ่งสัปดาห์ก็กลับมารับตำแหน่งต่อที่ OpenAI 

 

อ้างอิง:

The post แซม อัลต์แมน ซีอีโอ OpenAI เตรียมแผนระดมทุนมากถึง 7 ล้านล้านดอลลาร์ ผุดโครงการชิป AI ชิงส่วนแบ่งตลาด appeared first on THE STANDARD.

]]>
ไทยยืนหนึ่งปลายทางท่องเที่ยววันตรุษจีน แต่ไม่คึกคัก! เหตุชาวจีนเดินทางลดลงเพราะกังวลวิกฤตเศรษฐกิจ https://thestandard.co/thailand-chinese-new-year-vacation-destination/ Sat, 10 Feb 2024 05:58:10 +0000 https://thestandard.co/?p=898289 วันตรุษจีน

ไทยยังยืนหนึ่งจุดหมายปลายทางท่องเที่ยววันตรุษจีน แต่ยัง […]

The post ไทยยืนหนึ่งปลายทางท่องเที่ยววันตรุษจีน แต่ไม่คึกคัก! เหตุชาวจีนเดินทางลดลงเพราะกังวลวิกฤตเศรษฐกิจ appeared first on THE STANDARD.

]]>
วันตรุษจีน

ไทยยังยืนหนึ่งจุดหมายปลายทางท่องเที่ยววันตรุษจีน แต่ยังไม่คึกคักมากพอ หลังนักท่องเที่ยวจีนเดินทางออกประเทศน้อยลง เหตุยังกังวลสัญญาณวิกฤตเศรษฐกิจที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น

 

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า การเดินทางออกนอกประเทศของคนจีนในช่วงวันหยุดยาวของเทศกาลตรุษจีนนั้นถือว่าน้อย โดยรัฐบาลคาดการณ์เอาไว้ว่าส่วนใหญ่ชาวจีนจะเน้นท่องเที่ยวภายในประเทศเป็นหลัก และส่วนใหญ่จะเดินทางด้วยสายการบินและรถไฟ

 

Alicia García-Herrero หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์เอเชีย-แปซิฟิกของ Natixis กล่าวว่า แม้จะมีการเดินทางเพิ่มขึ้นในช่วงวันหยุดยาว แต่พฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคจะไม่มากเหมือนกับหลายปีก่อน เนื่องจากปัจจัยของเศรษฐกิจที่อ่อนแอ ประกอบกับการชะลอตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ ส่งผลให้ผู้คนไม่มีความเชื่อมั่น

 

ด้าน Trip.com Group เว็บไซต์จองตั๋วเครื่องบินและโรงแรมรายใหญ่ รายงานว่า นักท่องเที่ยวจีนบางกลุ่มยังต้องการเดินทางท่องเที่ยวในต่างประเทศ โดยประเทศที่เป็นจุดหมายยอดนิยมในวันหยุดยาว ได้แก่ ประเทศไทย ญี่ปุ่น ฮ่องกง และมาเลเซีย

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

หากย้อนไปในปี 2023 ช่วงเทศกาลตรุษจีน ประเทศไทยก็เป็นประเทศที่มียอดการค้นหาเที่ยวบินจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกมาเป็นอันดับ 1 โดยปลายทางยอดนิยมคือกรุงเทพฯ รองลงมาคือภูเก็ต

 

ถึงกระนั้น จำนวนผู้โดยสารในเที่ยวบินระหว่างประเทศของสายการบินจีนก็มีเพียง 60% เท่านั้นถ้าเทียบกับช่วงก่อนโควิด

 

และหากอ้างอิงตามรายงานของสำนักงานการบินพลเรือนจีน พบว่า แม้โควิดจะคลี่คลายลงแล้ว สายการบินในไทยที่เคยหยุดไปเมื่อช่วงโควิดระบาดก็ยังไม่กลับมาบินได้ 100%

 

จากเดิมแล้วช่วงวันหยุดตั้งแต่วันที่ 10-17 กุมภาพันธ์ 2024 ถือเป็นช่วงเวลาที่ชาวจีนส่วนใหญ่จะออกเดินทางและมีการจับจ่ายซื้อของกันอย่างคึกคัก เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองในวันสำคัญ ซึ่งในช่วงโควิดระบาดด้วยนโยบายที่เข้มงวดของรัฐบาล ทำให้ไม่สามารถออกเดินทางได้

 

นับว่าในปี 2024 จะเป็นวันตรุษจีนที่ไม่มีข้อจำกัดในการเดินทาง แต่ด้วยความกังวลของเศรษฐกิจและกำลังซื้อภายในประเทศที่อ่อนแอลง ทำให้หลายคนเลือกไม่เดินทางออกนอกประเทศ

 

ขณะเดียวกัน บริษัทต่างๆ รวมถึง Alibaba Group ได้เริ่มแจกจ่ายคูปองส่วนลดมูลค่า 1,000 ล้านหยวน (140 ล้านดอลลาร์) ให้ซื้อสินค้าในช่องทางอีคอมเมิร์ซ Taobao เพื่อกระตุ้นการบริโภคในช่วงวันหยุด ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งตัวชี้วัดในการประเมินอนาคตของเศรษฐกิจจีนได้

 

อ้างอิง:

The post ไทยยืนหนึ่งปลายทางท่องเที่ยววันตรุษจีน แต่ไม่คึกคัก! เหตุชาวจีนเดินทางลดลงเพราะกังวลวิกฤตเศรษฐกิจ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Hermès จ่อขึ้นราคาอีก 8-9% ทั่วโลก หลังยอดขายปีที่แล้วโตแกร่ง พร้อมจ่ายโบนัส 1.5 แสนบาท https://thestandard.co/hermes-up-price-8-9-percents-worldwide/ Sat, 10 Feb 2024 03:53:53 +0000 https://thestandard.co/?p=898242

แบรนด์เนมหรูชื่อดัง Hermès จ่อขึ้นราคาสินค้าทั่วโลกอีก […]

The post Hermès จ่อขึ้นราคาอีก 8-9% ทั่วโลก หลังยอดขายปีที่แล้วโตแกร่ง พร้อมจ่ายโบนัส 1.5 แสนบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>

แบรนด์เนมหรูชื่อดัง Hermès จ่อขึ้นราคาสินค้าทั่วโลกอีก 8-9% ในปี 2024 หลังประสบความสำเร็จจากยอดขายไตรมาส 4 ของปีที่แล้วเพิ่มขึ้น 13% จนแซงหน้าคู่แข่ง พร้อมส่งแรงหนุนให้ราคาหุ้นขยับขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์

 

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า แบรนด์หรู Hermès รายงานยอดขายในไตรมาส 4 ปี 2023 เพิ่มขึ้น 13% หรืออยู่ที่ 3.62 พันล้านดอลลาร์ ส่วนกำไรเพิ่มขึ้น 28% ถือว่าเติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดในอเมริกาเหนือและเอเชีย สะท้อนให้เห็นว่าแม้เศรษฐกิจโลกจะชะลอตัว แต่ความต้องการสินค้าหรู โดยเฉพาะกลุ่มกระเป๋ายังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

 

ขณะที่ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ในวันศุกร์ที่ผ่านมา (9 กุมภาพันธ์) อยู่ที่ 2,165.50 ยูโรต่อหุ้น ทำให้ Hermès มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดอยู่ที่ 228.40 พันล้านยูโร

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

“ในปีที่ผ่านมา Hermès เรามีผลงานที่ประสบความสำเร็จในทุกประเทศ จากนี้เตรียมวางแผนขึ้นราคาสินค้าทั่วโลกราวๆ 8-9% ในปี 2024 แม้ในปีที่แล้วเราจะขึ้นราคาไปแล้วประมาณ 7% ทั่วโลก แต่เมื่อพิจารณาต้นทุนการผลิตทั้งแรงงานและวัสดุที่เพิ่มขึ้น 3% จากความผันผวนของสกุลเงินยังมีความท้าทายอย่างมาก” Axel Dumas ประธานกรรมการบริหารของ Hermès กล่าว

 

อีกหนึ่งสิ่งที่น่าสนใจคือ Hermès เตรียมจ่ายโบนัส 4,000 ยูโร หรือราวๆ 1.5 แสนบาท ให้กับพนักงานมากกว่า 22,000 คนทั่วโลกในปีนี้ พร้อมวางแผนเพิ่มกำลังการผลิตสินค้ากลุ่มเครื่องหนัง ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่ทำรายได้หลัก เพราะที่ผ่านมาต้องยอมรับว่ากำลังการผลิตกลุ่มกระเป๋านั้นไม่เพียงพอต่อความต้องการตลาด

 

ซีอีโอ Hermès กล่าวต่อไปว่า บริษัทเชื่อมั่นว่าภาพรวมการเติบโตจากนี้ยังมีความแข็งแกร่งในทุกประเทศ แม้จะมีความกดดันทางเศรษฐกิจทั้งตลาดอเมริกาและจีนอยู่บ้าง แต่เรายังไม่เห็นการหยุดชะงักของการจับจ่ายสินค้าระดับไฮเอนด์ ซึ่งเป็นผลมาจากความเชื่อมั่นที่เริ่มฟื้น บวกกับอัตราเงินเฟ้อที่ลดลง

 

ด้านนักวิเคราะห์ Bernstein กล่าวว่า Hermès เติบโตอย่างแข็งแกร่งในทุกประเทศ โดยสินค้าที่ได้รับการตอบรับดีและทำยอดขายได้สูงขึ้นคือกระเป๋าถือรุ่น Birkin ราคาเริ่มต้น 10,000 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นราคาที่นักช้อปเข้าถึงง่าย ขณะที่คู่แข่งอย่าง Louis Vuitton ก็พยายามเร่งขยายตลาด แต่ก็ยังมีปัญหาในด้านการขายกระเป๋าที่มีราคาสูงกว่า 4,000 ยูโร หรือ 4,311 ดอลลาร์

 

อ้างอิง:

The post Hermès จ่อขึ้นราคาอีก 8-9% ทั่วโลก หลังยอดขายปีที่แล้วโตแกร่ง พร้อมจ่ายโบนัส 1.5 แสนบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>
เกิดอะไรขึ้นกับ Gram Pancakes และ PABLO Cheesetart จากผู้สร้างปรากฏการณ์คิวยาวเหยียดเหมือนแจกฟรี สู่วันที่ปิดกิจการ! https://thestandard.co/wealth-in-depth-gram-pancakes-pablo-cheesetart/ Fri, 09 Feb 2024 12:58:08 +0000 https://thestandard.co/?p=898191

หรือจะไม่ใช่ปีทองของธุรกิจขนมหวานอีกต่อไปแล้ว? ชวนวิเคร […]

The post เกิดอะไรขึ้นกับ Gram Pancakes และ PABLO Cheesetart จากผู้สร้างปรากฏการณ์คิวยาวเหยียดเหมือนแจกฟรี สู่วันที่ปิดกิจการ! appeared first on THE STANDARD.

]]>

หรือจะไม่ใช่ปีทองของธุรกิจขนมหวานอีกต่อไปแล้ว? ชวนวิเคราะห์ ทำไมร้านเบเกอรีชื่อดัง Gram Pancakes และ PABLO Cheesetart ที่เคยบูมมากๆ จนสร้างปรากฏการณ์คนต่อคิวยาวเหยียดเหมือนแจกฟรี ถึงไปไม่รอด ก่อนปิดกิจการในไทยในปีนี้ 

 

แหล่งข่าวผู้เชี่ยวชาญในวงการธุรกิจร้านเครื่องดื่มและเบเกอรีวิเคราะห์กับ THE STANDARD WEALTH ว่า ในช่วงที่ร้านขนมทั้งสองแบรนด์เข้ามาเปิดในไทยแรกๆ จุดแข็งคือเป็นแบรนด์นำเข้าจากญี่ปุ่น มีรสชาติอร่อย สามารถรองรับความต้องการของคนไทยที่ชอบกินขนมแบบ Specialty ได้

 

“Gram Pancakes จะเด่นเรื่องเมนูแพนเค้ก ส่วน PABLO Cheesetart เด่นเรื่องชีสทาร์ต ทำให้ได้รับความสนใจ และผู้บริโภคตอบรับเป็นอย่างดี โดยเฉพาะ Gram Pancakes ในช่วงเปิดแรกๆ ประสบความสำเร็จมาก” แหล่งข่าวระบุ

 

‘โควิด’ ปีปราบเซียนว่าแบรนด์ไหนจะร่วงหรือจะรอด

 

แต่เมื่อมาเจอผลกระทบจากโควิดในปี 2564 ที่เป็นปีปราบเซียนว่าแบรนด์ไหนจะอยู่หรือไป พอไม่มีลูกค้าก็จะต้องมีร้านที่ขาดทุน และต้องเลือกระหว่างการเก็บรักษาแบรนด์เอาไว้ หรือพยายามรักษาต้นทุนโดยเฉพาะค่าเช่า ซึ่งเจ้าของร้านทั้งสองแบรนด์ก็ทำถูกแล้วที่ตัดสินใจปิดสาขาบางแห่งลง 

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

หลังโควิดคลี่คลายลง หลายๆ ร้านเริ่มกลับมาเปิดให้บริการ และถ้าผ่านปี 2565 มาได้ ในปี 2566 ก็จะเริ่มกลับมาสู่ภาวะปกติ หรืออย่างน้อยก็ไม่ขาดทุน แต่ก็ต้องปรับตัวรับมือกับพฤติกรรมลูกค้าที่หันมาสั่งซื้อขนมหรือเบเกอรีผ่านช่องทางเดลิเวอรี

 

“ต้องบอกว่าความต้องการของประสบการณ์การกินอาหารกับซื้อขนมจะไม่เหมือนกัน ถ้ากินอาหารลูกค้าจะอยากมานั่งกินในร้าน แต่ถ้าเป็นขนมหรือเบเกอรีกินที่ไหนก็อร่อย และจากเดิมแล้วทั้งสองแบรนด์ส่วนใหญ่ก็ให้ซื้อกลับบ้านอยู่แล้ว ทำให้หลายคนเน้นสั่งผ่านเดลิเวอรี แน่นอนว่าลูกค้ามีตัวเลือกเพิ่มขึ้น เพราะโควิดเป็นตัวเร่งให้มีแบรนด์ขนมใหม่ๆ เพิ่มขึ้น”

 

ขณะเดียวกัน ถ้าไปเน้นขายในเดลิเวอรี ทุกแบรนด์จะประสบปัญหาเหมือนกันหมดคือ ยอดขายที่อาจสู้สมัยช่วงที่เราเปิดร้านไม่ได้ เพราะมีข้อจำกัดด้วยระยะพื้นที่ ถ้าอยู่ในที่ที่มีทราฟฟิกสูงก็อาจจะขายได้ 10-20% ซึ่งตรงนั้นก็จะมีการแข่งขันสูง ทั้งนี้ หลังจากมีความเคลื่อนไหวออกมาว่าทั้งสองแบรนด์จะปิดกิจการในไทย หลายๆ คนก็เสียดาย

 

วาไรตี้น้อย-ไม่ค่อยทำการตลาด คนก็ไม่อยากซื้อซ้ำ

 

ผศ.ดร.เอกก์ ภทรธนกุล ประธานหลักสูตรปริญญาโทด้านแบรนด์และการตลาด ผู้ช่วยอธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิเคราะห์กับ THE STANDARD WEALTH ว่า ปรากฏการณ์ที่แบรนด์ไปไม่รอดมีตัวอย่างออกมาให้เห็นอย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมาตั้งแต่ยุคคลาสสิกสุดๆ อย่างแบรนด์โรตีบอย ผู้จุดกระแสขนมปังต่อคิวยาวเจ้าแรกในไทย ท้ายที่สุดก็ปิดกิจการไป 

 

ตลอดจนป๊อปคอร์น Garrett ที่คนต่อแถวยาวเต็มสยามพารากอน วันนี้กระแสเบาบางลง แต่อีกด้านหนึ่งเราก็เห็นแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จเช่นกัน อย่างแบรนด์ Krispy Kreme ปัจจุบันคนก็ยังซื้ออยู่แม้จะไม่ได้ต่อแถวซื้อยาวเหมือนในอดีต แต่แบรนด์ยังอยู่ได้ และเปิดสาขาเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

 

ทั้งนี้ Gram Pancakes กับร้าน PABLO Cheesetart เมนูหรือสินค้าค่อนข้างจำกัด ถ้าเทียบกับ Krispy Kreme แล้วจะเห็นว่ามีเมนูออกมาถี่มาก รวมถึงมีคอนเทนต์ออกมาทุกเทศกาล เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ และที่สำคัญคนไทยชอบวาไรตี้ ยิ่งเป็นสินค้าไลฟ์สไตล์ ถ้าไม่มีวาไรตี้ใหม่ๆ ออกมาเลยคนก็จะรู้สึกไม่อยากกินซ้ำบ่อย และไปหาสินค้าใหม่ๆ ทดแทน

 

สวนทางกับทั้งสองแบรนด์ที่จะโฟกัสการขายสินค้าเพียงอย่างเดียว ไม่ค่อยสื่อสารการตลาดกับลูกค้ามากนัก ซึ่งอีกมุมต้องเข้าใจว่าแบรนด์ที่เป็นแฟรนไชส์นำเข้าจากต่างประเทศอาจจะมีกรอบบางอย่างที่ทำไม่ได้ 

 

ดังนั้นร้านค้าที่จะอยู่ได้ยาวๆ จะต้องมีกิจกรรมการตลาดรักษาฐานลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ยกตัวอย่างร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดชื่อดัง จะมีความเคลื่อนไหวทั้งเมนูและแคมเปญออกมาสื่อสารกับฐานลูกค้าในทุกๆ เดือน จึงทำให้กลุ่มลูกค้าคุ้นเคยกับแบรนด์และตัดสินใจซื้อได้ง่าย

 

เปิดเส้นทาง Gram Pancakes และ PABLO Cheesetart ก่อนโบกมือจากตลาดไทย 

 

หากย้อนไปเมื่อปี 2554 ‘เบียร์ ปิยะเลิศ’ ทายาทตระกูลใบหยก ได้ก่อตั้ง บริษัท พีดีเอส โฮลดิ้ง จำกัด หรือ PDS ขึ้นมา เพื่อดำเนินธุรกิจร้านอาหารและเบเกอรี พร้อมเดินหน้าซื้อแฟรนไชส์ร้านขนม PABLO Cheesetart ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงจากประเทศญี่ปุ่นมาเปิดสาขาในไทย และจากนั้นไม่นานนัก ได้ซื้อมาสเตอร์แฟรนไชส์ร้านขนม Gram Pancakes จากประเทศญี่ปุ่นมาเปิดสาขาในไทย 

 

เรียกได้ว่าเหมือนยกเอาร้านที่ญี่ปุ่นเข้ามาเลย เพราะทุกอย่างจะเหมือนกันหมดตั้งแต่คอนเซปต์ เมนู วัตถุดิบทุกอย่างนำเข้ามาจากญี่ปุ่น หรือแม้กระทั่งการตกแต่งร้าน จนทำให้ทั้งสองแบรนด์ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยเฉพาะ PABLO Cheesetart ที่มีกระแสของเมนูชีสทาร์ตจนสร้างปรากฏการณ์คนต่อคิวยาวเหยียด ซึ่งในช่วงนั้นบริษัทตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะเปิดร้านทั้งหมด 10 สาขาเลยทีเดียว 

 

แต่ในช่วงปี 2565 บริษัท วีรันดา รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ VRANDA ได้เข้าซื้อหุ้น 100% บริษัท PDS ต่อจากตระกูลใบหยก โดยเป็นดีลมูลค่า 110 ล้านบาท จนเป็นเจ้าของมาสเตอร์แฟรนไชส์ Gram Pancakes 5 สาขา และ PABLO Cheesetart 3 สาขา 

 

ในปีเดียวกันที่ VRANDA เข้ามาบริหารก็เจอกับโควิดพอดี ศูนย์การค้าปิดให้บริการ กระแสก็เริ่มซาลง ทั้งจากโควิดที่คนอยู่บ้าน คนหันมาสั่งอาหารผ่านช่องทางเดลิเวอรี แถมการแข่งขันสูง ผู้บริโภคมีทางเลือกใหม่มากขึ้น เห็นได้จากการเกิดขึ้นของร้านเครื่องดื่มและเบเกอรีที่เพิ่มขึ้นเหมือนดอกเห็ด โดยเฉพาะร้านขนมหวาน ทั้งชีสเค้ก แพนเค้ก น้ำแข็งเกล็ดหิมะ และแม้แต่ชานมไข่มุก ซึ่งถ้าใครไม่ปรับตัวก็อยู่ในตลาดได้ยาก

 

ถึงกระนั้น ในช่วงโควิดทั้งสองแบรนด์ได้ปรับกลยุทธ์เพิ่มเมนูใหม่ๆ ควบคู่กับการขยายช่องทางเดลิเวอรีให้เข้ากับเทรนด์ความต้องการของผู้บริโภค และพยายามทำการตลาดกระตุ้นยอดขาย จนโควิดคลี่คลายลง บริษัทก็ได้ขยายร้าน Gram Pancakes 13 สาขา และร้าน PABLO Cheesetart 11 สาขา 

 

แต่ร้านก็ยังไปต่อได้ยาก เห็นได้จากในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 บริษัทรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากธุรกิจร้านขนมหวานประมาณ 24 ล้านบาท ทำให้มีการทยอยปิดสาขาบางแห่งลง ทำให้เหลือร้าน Gram Pancakes เพียง 5 สาขา และร้าน PABLO Cheesetart เพียง 4 สาขา

 

ระหว่างนั้นบริษัทได้ปรับแผนการดำเนินงานเพื่อลดการขาดทุนอย่างต่อเนื่อง โดยนับจากไตรมาส 1 ปี 2566 ได้ลดจำนวนสาขา Gram Pancakes และ PABLO Cheesetart ลง ก่อนจะบันทึกด้อยค่าที่ไม่ใช่เงินสดเพียงครั้งเดียวในไตรมาสที่ 4 ปี 2566 ซึ่งจะมีผลทำให้ในแต่ละไตรมาสของปี 2567 หยุดรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนธุรกิจร้านขนมหวานเฉลี่ยไตรมาสละประมาณ 8 ล้านบาท 

 

เรียกว่ายอมเฉือนเนื้อร้ายเพื่อรักษาเนื้อดี ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2566 ถึงปัจจุบัน ทั้งสองแบรนด์เหลือสาขารวมกันเพียง 5 สาขา และเตรียมปิดกิจการในไทยภายในปีนี้

 

ถึงคราวปิดกิจการหลังขาดทุนสะสมกว่า 24 ล้าน

 

สำหรับผลประกอบการย้อนหลังของ บริษัท พีดีเอส โฮลดิ้ง จำกัด พบว่าขาดทุนสะสมต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่

 

ปี 2562 มีรายได้ 228 ล้านบาท ขาดทุน 33 ล้านบาท
ปี 2563 มีรายได้ 112 ล้านบาท ขาดทุน 10 ล้านบาท
ปี 2564 มีรายได้ 90 ล้านบาท ขาดทุน 7.8 ล้านบาท
ปี 2565 มีรายได้ 94 ล้านบาท ขาดทุน  8.8 ล้านบาท

 

จะเห็นได้ว่า หลังวิกฤตโควิดเราได้เห็นแบรนด์น้องใหม่ล้มหายตายจากไป เหลือแต่แบรนด์ที่สายป่านยาวพอเท่านั้นที่ยังคงอยู่ได้ท่ามกลางคลื่นลมแห่งความเปลี่ยนแปลงที่ถาโถมเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน

The post เกิดอะไรขึ้นกับ Gram Pancakes และ PABLO Cheesetart จากผู้สร้างปรากฏการณ์คิวยาวเหยียดเหมือนแจกฟรี สู่วันที่ปิดกิจการ! appeared first on THE STANDARD.

]]>
Yum! Brands เชนฟาสต์ฟู้ดยักษ์ใหญ่เร่งกอบกู้ยอดขาย หลังแบรนด์หลักยอดขายต่ำกว่าเป้า รับพิษสงครามยืดเยื้อ https://thestandard.co/yum-brands-accelerate-to-recover-sales/ Thu, 08 Feb 2024 11:34:53 +0000 https://thestandard.co/?p=897622

โจทย์ใหญ่ของ Yum! Brands เชนฟาสต์ฟู้ดยักษ์ใหญ่ คือต้องเ […]

The post Yum! Brands เชนฟาสต์ฟู้ดยักษ์ใหญ่เร่งกอบกู้ยอดขาย หลังแบรนด์หลักยอดขายต่ำกว่าเป้า รับพิษสงครามยืดเยื้อ appeared first on THE STANDARD.

]]>

โจทย์ใหญ่ของ Yum! Brands เชนฟาสต์ฟู้ดยักษ์ใหญ่ คือต้องเร่งกอบกู้ยอดขาย หลังแบรนด์ KFC ตามด้วย Taco Bell และ Pizza Hut สร้างยอดขายต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์เอาไว้ จากผลกระทบความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ยืดเยื้อ

 

David Gibbs ซีอีโอของ Yum! Brands กล่าวว่า ในช่วงไตรมาส 1 ยอดขายของบริษัทต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ จากผลกระทบความขัดแย้งในตะวันออกกลาง รวมถึงตลาดในมาเลเซียและอินโดนีเซีย ซึ่งเราคาดการณ์ว่าปัจจัยดังกล่าวจะมีผลต่อรายได้บริษัทลากยาวไปจนถึงปลายปี

 

เมื่อเจาะมาถึงแบรนด์ Pizza Hut ยอดขายรายไตรมาสของสาขาเดิมในสหรัฐอเมริกาลดลง 4% ต่ำกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ ขณะที่ยอดขายจากสาขาในต่างประเทศอยู่ในระดับทรงตัว เห็นได้ชัดว่ายอดขายที่ลดลงในบางตลาดเป็นผลมาจากสงครามอิสราเอลและฮามาส หลังจากที่นักเคลื่อนไหวบางคนเรียกร้องให้แบรนด์คว่ำบาตรแฟรนไชส์ในอิสราเอล

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

ส่วนยอดขายของ KFC เพิ่มขึ้น 2% แต่ก็ยังต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์เอาไว้ว่าไตรมาส 1 จะเติบโตอยู่ที่ 4.7% หรือแม้แต่ Taco Bell ยอดขายจากสาขาเดิมเติบโตอยู่ที่ 3% ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์เอาไว้ว่าจะเติบโตอยู่ที่ 3.8%

 

ทั้งนี้ ทีมผู้บริหารก็เตรียมปรับกลยุทธ์ รวมทั้งเปิดตัวโปรดักต์ใหม่และสร้างโปรแกรมความภักดีระหว่างแบรนด์และลูกค้าเพื่อฟื้นฟูยอดขายให้เติบโตต่อเนื่อง

 

โดยทิศทางการดำเนินงานในปี 2024 Yum! Brands ยืนยันว่าจะมีสาขาร้านอาหารในเครือมากกว่า 60,000 แห่ง โดย KFC จะมีสาขามากกว่า 30,000 แห่ง และ Pizza Hut จะมีสาขามากกว่า 20,000 แห่ง

 

ถึงกระนั้นรายได้หลักของบริษัทคือการเก็บค่าแฟรนไชส์ โดยจะไม่เน้นเปิดร้านอาหารเอง เพื่อประหยัดต้นทุน ลดความเสี่ยง รวมถึงลดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสาขาและพนักงานลง และแน่นอนว่าผู้ซื้อสิทธิ์บริหารแฟรนไชส์จากบริษัทจะต้องแบกรับภาระต้นทุนการดำเนินงานทั้งหมด โดยปัจจุบันตามข้อมูลแบรนด์ KFC และ Pizza Hut เป็นร้านของแฟรนไชส์ถึง 99% และ Taco Bell อยู่ที่ 95% นั่นทำให้ Yum! Brands แทบจะไม่ได้รับความเสี่ยงจากต้นทุนและเงินเฟ้อเลย

 

สำหรับ Yum! Brands ในประเทศไทย ดำเนินงานภายใต้บริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ทำหน้าที่บริหารแบรนด์ทั้ง KFC, Pizza Hut และ Taco Bell

 

อ้างอิง:

The post Yum! Brands เชนฟาสต์ฟู้ดยักษ์ใหญ่เร่งกอบกู้ยอดขาย หลังแบรนด์หลักยอดขายต่ำกว่าเป้า รับพิษสงครามยืดเยื้อ appeared first on THE STANDARD.

]]>
วัยรุ่นสร้างตัว Gen Y และ Z ของไทยจะมีบ้านยากขึ้น เมื่อแบงก์เข้มปล่อยกู้บ้านต่ำกว่า 3 ล้าน! บ้านมือสองอาจเป็นทางออก https://thestandard.co/homeownership-gen-y-gen-z-tougher/ Thu, 08 Feb 2024 01:05:42 +0000 https://thestandard.co/?p=897281

แม้ทิศทางธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เริ่มมีแนวโน้มเติบโตจากคา […]

The post วัยรุ่นสร้างตัว Gen Y และ Z ของไทยจะมีบ้านยากขึ้น เมื่อแบงก์เข้มปล่อยกู้บ้านต่ำกว่า 3 ล้าน! บ้านมือสองอาจเป็นทางออก appeared first on THE STANDARD.

]]>

แม้ทิศทางธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เริ่มมีแนวโน้มเติบโตจากคาดการณ์ของอัตราดอกเบี้ยขาลง การท่องเที่ยวฟื้นตัว และจะเป็นปีที่ผู้เล่นรายใหญ่ๆ เปิดตัวโครงการใหม่เพิ่ม แต่ส่วนใหญ่จะเป็นโครงการระดับลักชัวรี สวนทางกับกลุ่มที่อยู่อาศัยราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทที่ธนาคารยังเข้มงวดในการปล่อยกู้ สะท้อนได้ว่าปี 2024 ยังเป็นอีก 1 ปีที่คนรายได้น้อยแทบไม่มีโอกาสเข้าถึงบ้านและคอนโดได้เลย 

 

พรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย กล่าวกับ THE STANDARD WEALTH ว่า ความต้องการซื้อบ้านหรือแม้แต่คอนโดไม่เคยลดลง เพียงแต่ในช่วงที่เศรษฐกิจ กำลังซื้อ และอัตราดอกเบี้ยไม่ค่อยดีมากนัก คนก็จะไม่อยากตัดสินใจซื้อ และปีนี้บ้านจะคึกคักแค่กลุ่มบนในบางทำเลอย่างกรุงเทพฯ และภูเก็ต ซึ่งมีหลายพื้นที่ที่พอไปได้ ส่วนคอนโดตามแนวรถไฟฟ้ายังเหลือว่างจำนวนมาก แต่ในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้หลายๆ ค่ายก็ไม่ได้ลดราคาลง

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

สถาบันการเงินเข้มปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท

 

ย้อนไปช่วงโควิดปี 2020 ตลาดอสังหาริมทรัพย์นิ่งไป 3-4 เดือน แต่กลับพบว่าบ้านแนวราบขายดีกว่าคอนโด ทำให้ในปี 2564 ผู้เล่นในตลาดทุกค่ายแห่มาสร้างบ้านและมาค้นพบว่าบ้านราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท สถาบันการเงินไม่ค่อยปล่อยสินเชื่อ ถ้าเทียบกับบ้านราคาระดับ 5 ล้านบาทขึ้นไปจะปล่อยง่ายกว่า 

 

กระทั่งมาปี 2022 ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะรายใหญ่หันไปสร้างบ้านเดี่ยวราคา 50 ล้านขึ้นไปออกมาเต็มตลาด เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าระดับบนและปรากฏว่าขายดีมาก ซึ่งสถาบันการเงินก็ต้องการปล่อยสินเชื่อให้กับกลุ่มที่มีกำลังซื้อแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม คนกลุ่มนี้ต้องการจะซื้อด้วยเงินสด ส่งผลให้ยอดขายของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์อยู่ในระดับ All Time High ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา และในปี 2024 ก็ยังเน้นสร้างที่อยู่อาศัยในราคาระดับลักชัวรี โฟกัสทำเลที่มีศักยภาพทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด

 

โอกาสที่วัยรุ่น Gen Y และ Gen Z จะมีบ้าน-คอนโดน้อยลง 

 

สวนทางกับตลาดที่อยู่อาศัยทั้งบ้านและคอนโดราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท เริ่มทำตลาดได้ยากเพราะลูกค้าไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ ตอนนี้จึงมีปัญหาว่าความต้องการของคนที่กำลังซื้อน้อย โดยเฉพาะวัยรุ่นสร้างตัวอย่าง Gen Y และ Gen Z ที่ต้องการมีบ้านหรือคอนโดก็ถือว่ายาก เพราะสถาบันการเงินไม่ได้พิจารณาแค่ว่าเราทำงานอะไร แต่เช็กถึงผลประกอบการบริษัทที่เราทำงานอยู่ มีการยื่นงบขาดทุนหรือไม่ ถ้ามีงบขาดทุนติดต่อกันถึง 2 ปีจะไม่ให้กู้

 

ทั้งนี้ สถาบันการเงินต้องระมัดระวังเพราะหนี้เสียเริ่มเพิ่มขึ้น แต่สิ่งที่สถาบันการเงินต้องพิจารณาเรื่องอัตราเงินกู้และเงินฝากที่ต่างกันมหาศาล ซึ่งส่วนใหญ่ธนาคารพาณิชย์จะลดดอกเบี้ยเงินฝากแต่ไม่ลดดอกเบี้ยเงินกู้ ทำให้ธุรกิจที่กำลังต้องการเงินหมุนเพื่อจะฟื้นตลาดขาล่างขึ้นไปเริ่มยากลำบาก 

 

บ้านมือสองเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของคนรายได้น้อย

 

เช่นเดียวกับ โสภณ พรโชคชัย นักวิชาการด้านอสังหาริมทรัพย์การประเมินค่าทรัพย์สิน ให้มุมมองกับ THE STANDARD WEALTH ว่า แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2024 ยังมีแนวโน้มเติบโต โดยเฉพาะคอนโดและกลุ่มบ้านเดี่ยวราคา 5-10 ล้านบาท เป็นกลุ่มใหญ่ที่มีการสร้างมากที่สุด โดยทำเลที่มีศักยภาพนอกจากกรุงเทพฯ แล้วยังมีชลบุรี ระยอง ขอนแก่น ตามด้วยเชียงใหม่และภูเก็ต ปัจจัยบวกมาจากเศรษฐกิจไทยในปี 2567 น่าจะเติบโตประมาณ 3-4% ถ้าเทียบกับปี 2566 ที่เติบโตเพียง 1-2% 

 

แต่อีกด้านหนึ่งโครงการบ้านหรือคอนโดราคาเริ่มต้น 2-3 ล้านที่เจาะกลุ่มลูกค้าระดับกลางไปจนถึงล่าง ต้องเผชิญปัญหาจากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นและเข้าถึงสินเชื่อได้ยาก แน่นอนว่าเมื่อมีข้อจำกัดของจำนวนคนซื้อ ผู้เล่นรายใหญ่ๆ ก็หันไปโฟกัสการสร้างโครงการระดับลักชัวรี 

 

ขณะที่ตลาดบ้านมือสองก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้กับคนที่กำลังซื้อน้อย เพราะบ้านมือสองจะถูกกว่าบ้านมือหนึ่งประมาณ 20% และส่วนใหญ่อยู่ในโลเคชันที่ดี 

 

คอนโดราคา 3-5 ล้านบาท ขนาดห้อง 35 ตารางเมตร ขายดีที่สุด

 

ด้าน ไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการบริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI กล่าวว่า ปัจจัยหลักที่หลายค่ายรุกหนักในครึ่งปีแรก เพราะทุกคนเชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยจะดีกว่าปีที่แล้ว รวมถึงเม็ดเงินต่างๆ จากภาครัฐเริ่มชัดเจนขึ้น จะทำให้ตลาดที่อยู่อาศัยปี 2567 คึกคักขึ้นแน่นอน 

 

แต่อีกด้านต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาศุภาลัยจะเน้นลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังเป็นหลัก เพราะเราประเมินว่าปัญหาการกู้ซื้อบ้านไม่ผ่านของลูกค้ายังมีอยู่ ที่ผ่านมาบ้านราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทธนาคารปล่อยกู้ยากมาก เราจึงมาเน้นทำเซ็กเมนต์ระดับบนราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป ส่วนคอนโดเราก็ยังพยายามโฟกัสลูกค้าระดับกลางเพราะซื้อง่าย โอนคล่อง เห็นได้จากที่ผ่านมาคอนโดราคา 3-5 ล้านบาท ขนาดห้อง 35 ตารางเมตร จะขายดีสุด

 

ยอดปฏิเสธสินเชื่อในตลาดบ้านราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทเพิ่มขึ้น

 

ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) กล่าวว่า ยอดปฏิเสธสินเชื่อในตลาดบ้านราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทเพิ่มขึ้น เพราะสถาบันการเงินกังวลว่ากลุ่มคนเหล่านี้อาจไม่มีความสามารถในการผ่อนชำระได้ 

 

อีกทั้งตัวเลขของเครดิตบูโรอาจทำให้คนมีความกังวลว่ากลุ่มระดับกลางไปจนถึงล่างจะได้รับผลกระทบเรื่องของหนี้ที่ผิดชำระ

 

ดังนั้นเราเชื่อว่าในระบบสถาบันการเงินไม่ปล่อยให้ตัว NPL พุ่งขึ้นสูง ต้องสกัดตั้งแต่ต้นทางที่มีอยู่ 2 ส่วน คือการปล่อยหนี้ใหม่ต้องเข้มงวดมากขึ้น และต้องควบคุมกลุ่มที่กู้แล้วให้จ่ายชำระตรงเวลาที่กำหนด 

 

ส่วนตัวมองว่าปัญหาการปฏิเสธสินเชื่อจะไปกระทบกับประชาชนมากกว่า เพราะกลุ่มคนที่มีรายได้ไม่สูงมากและอยากมีที่อยู่อาศัยก็ค่อนข้างเข้ายาก ซึ่งต้องมีเครดิตดีมากจริงๆ ถึงจะได้รับการปล่อยสินเชื่อ 

 

นอกจากนี้ แม้ดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้น แต่ดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยก็อาจปรับขึ้นบ้าง แต่จะไม่เท่ากับความถี่ของสินเชื่อนโยบาย ดังนั้น ทำให้กำลังซื้อและความสามารถในการผ่อนชำระลดลง กู้ได้น้อยลง และถ้าจะผ่อนค่างวดก็ผ่อนมากขึ้นถ้าจำนวนเงินกู้เท่าๆ กัน

 

เมื่อถามต่อไปว่า จากการคาดการณ์ที่มากขึ้นเรื่อยๆ ว่าแบงก์ชาติจะลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีหลัง มองว่าหากเกิดการลดดอกเบี้ยจะมีผลดี-เสียอย่างไรบ้าง 

 

ดร.วิชัยกล่าวว่า ในเรื่องที่อยู่อาศัยการลดดอกเบี้ยเป็นผลดีต่อผู้ซื้อ และจะมีทางเลือกซื้อบ้านราคาสูงได้เพิ่มขึ้น และการลดดอกเบี้ยทำให้ภาพรวมของการลงทุนหรือการทำธุรกิจขยับต้นทุนลงไปด้วย และจะเกิดการจ้างงาน ทำให้คนที่ซื้อบ้านรวมถึงคนที่กำลังคิดจะซื้อบ้านมีรายได้เพิ่มขึ้น และภาพรวมเศรษฐกิจก็จะดีขึ้น 

 

ส่วนปัจจัยลบคงต้องเชื่อมโยงกับต่างประเทศ ว่าส่วนต่างดอกเบี้ยห่างกันมากหรือไม่ เพราะถ้าห่างกันมากจะทำให้เกิดข้อจำกัดอะไรบางอย่าง ตลาดทุนก็จะได้รับผลกระทบและภาพรวมเศรษฐกิจก็ไม่ค่อยดี 

The post วัยรุ่นสร้างตัว Gen Y และ Z ของไทยจะมีบ้านยากขึ้น เมื่อแบงก์เข้มปล่อยกู้บ้านต่ำกว่า 3 ล้าน! บ้านมือสองอาจเป็นทางออก appeared first on THE STANDARD.

]]>