ชาญชัย ชัยประสิทธิ์ – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Sat, 27 Jan 2024 09:12:18 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 เปิดโรดแมปสำหรับผู้นำองค์กรในการริเริ่มสร้างสรรค์โมเดลธุรกิจใหม่ปี 2567 https://thestandard.co/roadmap-business-model-innovation-2567/ Sat, 27 Jan 2024 09:12:18 +0000 https://thestandard.co/?p=892967

‘การเรียนรู้จากอดีตและเข้าใจสถานะปัจจุบัน’ จะช่วยให้เรา […]

The post เปิดโรดแมปสำหรับผู้นำองค์กรในการริเริ่มสร้างสรรค์โมเดลธุรกิจใหม่ปี 2567 appeared first on THE STANDARD.

]]>

‘การเรียนรู้จากอดีตและเข้าใจสถานะปัจจุบัน’ จะช่วยให้เราวางแผนอนาคตได้อย่างมั่นคงมากขึ้น โดยเปิดศักราชใหม่ปี 2567 ผมอยากขอนำบทความ A 2024 road map for the C-suite, in eight charts ของ PwC ที่ได้รวบรวมประเด็นสำคัญๆ ทางธุรกิจจากหลากหลายผลสำรวจในปีที่ผ่านมา ตั้งแต่มุมมองของซีอีโอและนักลงทุนต่อแนวโน้มของกำลังแรงงาน การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี ไปจนถึงแนวทางในการจัดการความเสี่ยง มาแลกเปลี่ยนกับคุณผู้อ่าน โดยบทความชิ้นนี้ได้นำเสนอ 8 แผนงาน (Road Map) สำคัญที่ผู้นำองค์กรสามารถนำไปพิจารณาเพื่อปรับกลยุทธ์และเตรียมพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนต่างๆ ในโลกยุคดิจิทัลนี้ได้ ดังต่อไปนี้

 

1. พิจารณาแนวโน้มของธุรกิจในอีกสิบปีข้างหน้า

 

เกือบ 40% ของผู้บริหารที่ร่วมตอบแบบสำรวจใน รายงานผลสำรวจผู้นำองค์กรทั่วโลก ครั้งที่ 26 ของ PwC (PwC’s 26th Annual Global CEO Survey) กล่าวว่า องค์กรของพวกเขามีเวลาเพียงแค่สิบปีหรือน้อยกว่านั้นในการอยู่รอดบนเส้นทางการดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการต้องปฏิรูปรูปแบบธุรกิจเมื่อเผชิญกับการหยุดชะงัก ซีอีโอควรต้องประเมินแนวโน้มของธุรกิจของตนในอีกสิบปีข้างหน้าว่าจะเป็นไปในทิศทางใด ซึ่งหากผู้นำองค์กรมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน ก็จะช่วยให้สามารถจัดอันดับความสำคัญและจัดกรอบเวลาในการเดินทางสู่การเปลี่ยนแปลงต่างๆ ได้ 

 

2. จัดสรรเวลาให้กับการคิดค้นสิ่งใหม่ๆ

 

ภาพ: PwC’s 26th Annual Global CEO Survey

 

ผู้ตอบแบบสำรวจยังกล่าวอีกว่า พวกเขาใช้เวลาไปกับความต้องการในแต่ละวันมากกว่าการคิดค้นสิ่งใหม่ๆ (Reinvention) ซึ่งตรงกันข้ามกับสิ่งที่พวกเขาอยากให้สิ่งต่างๆ เป็น ทำให้ปี 2567 เป็นปีที่ผู้นำองค์กรจะสามารถเริ่มต้นปรับเปลี่ยนวิธีการทำงาน จัดสรรเวลาในการวางแผน และคิดหาแนวทางในการเปลี่ยนแปลงธุรกิจให้ดีขึ้น โดยควรสนับสนุนให้ผู้บริหารคนอื่นๆ ภายในองค์กรได้มีโอกาสในการจัดการปัญหาที่ซับซ้อน และมีอำนาจในการตัดสินใจได้ด้วยตนเองมากขึ้น

 

3. เชื่อมต่อประเด็นด้านความยั่งยืนเข้ากับกลยุทธ์

 

ผู้ตอบแบบสำรวจ นักลงทุนทั่วโลกประจำปี 2566 ของ PwC (PwC’s 2023 Global Investor Survey) ส่วนใหญ่ต้องการเห็นความก้าวหน้าของบริษัทต่างๆ ในการดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) แต่พวกเขาก็ต้องการความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้นว่า การใช้จ่ายด้าน ESG จะเชื่อมโยงกับกลยุทธ์และคุณค่าขององค์กรอย่างไร ดังนั้นซีอีโอควรจัดลำดับความสำคัญของเรื่องนี้ในปีนี้ เพื่อแสดงให้นักลงทุนเห็นว่า ธุรกิจได้ผนวกประเด็นด้านความยั่งยืนเข้ากับการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ การจัดการความเสี่ยง และงบการเงินอย่างไร และควรแสดงให้เห็นว่า องค์กรมีการกำกับดูแลด้านการจัดการที่แข็งแกร่งเพื่อระบุถึงโอกาสและความเสี่ยง อีกทั้งมีความโปร่งใสในการวางแผนและการรายงานด้านความยั่งยืนที่สอดคล้องกับรูปแบบของธุรกิจ

 

ทั้งนี้ ในปี 2566 นักลงทุน 69% มีแผนจะเพิ่มการลงทุนในบริษัทที่สามารถเชื่อมโยงประเด็นด้านความยั่งยืนเข้ากับความสามารถและโอกาสของธุรกิจ ขณะที่ 67% มีแผนที่จะลงทุนในบริษัทที่สามารถปรับการทำงานขององค์กรให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมหรือสิ่งแวดล้อม

 

4. ปรับวัฒนธรรมองค์กรให้เปิดรับการคิดริเริ่มสิ่งใหม่ๆ 

 

หากซีอีโอต้องการให้ปี 2567 เป็นปีแห่งนวัตกรรม ก็ควรเริ่มต้นจากการปรับวัฒนธรรมองค์กรเป็นอันดับแรก ซึ่งจาก การสำรวจความคิดเห็นของซีอีโอทั่วโลก และ การสำรวจความคิดเห็นของกำลังแรงงานทั่วโลก (Global Workforce Hopes and Fears Survey) พบว่า ยังคงมีช่องว่างระหว่างมุมมองของผู้บริหารและพนักงานเกี่ยวกับวัฒนธรรมองค์กรที่สนับสนุนให้เกิดการคิดริเริ่มสิ่งใหม่ๆ เช่น ซีอีโอ 56% กล่าวว่า องค์กรของตนสนับสนุนให้มีการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างและการโต้แย้งในสถานที่ทำงาน ในขณะที่มีพนักงานเพียง 33% เท่านั้นที่กล่าวว่า องค์กรของพวกเขาสนับสนุนในเรื่องดังกล่าว 

 

ดังนั้นผู้นำธุรกิจจึงควรหันมาปลูกฝังให้องค์กรเปิดรับมุมมองที่หลากหลาย และเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ผ่านการลองผิดลองถูก อีกทั้งสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่ลื่นไหลและพร้อมปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลง

 

ภาพ: PwC’s Global Workforce Hopes and Fears Survey 2023; PwC’s 26th Annual Global CEO Survey

 

5. สร้างระบบนิเวศหรือรวมเข้ากับระบบนิเวศหนึ่งเดียว

 

ผลการสำรวจผู้นำธุรกิจมากกว่า 2,000 รายของ PwC แสดงให้เห็นว่า บริษัทที่มีประสิทธิภาพสูงสุดนั้นมีแนวโน้มที่จะมีกลยุทธ์ระบบนิเวศ (Ecosystem Strategy) ที่ชัดเจน สร้างรายได้อย่างน้อย 60% จากระบบนิเวศ และใช้ประโยชน์จากคุณค่าจากปัญหาทางสังคมที่ระบบนิเวศสามารถช่วยแก้ไขได้ 

 

ฉะนั้นผู้บริหารควรใช้ปี 2567 เพื่อพัฒนาวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ระบบนิเวศที่ชัดเจน เริ่มต้นด้วยการถามตัวเองว่า ธุรกิจได้สร้างคุณค่าที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะอะไรบ้างและจะช่วยสนับสนุนระบบนิเวศนี้ได้อย่างไร คำตอบที่ได้จะช่วยกำหนดรูปแบบระบบนิเวศของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นศูนย์กลางของระบบนิเวศ เป็นพันธมิตร หรือเป็นผู้เข้าร่วมก็ตาม

 

6. ลงทุนในเทคโนโลยี AI พร้อมเสริมการป้องกันทางไซเบอร์

 

ภาพ: PwC’s 2024 Digital Trust Insights Survey

 

รายงานผลสำรวจข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือทางดิจิทัลของ PwC (PwC’s 2024 Global Digital Trust Insights Survey) พบว่า ผู้นำธุรกิจจำนวนมากยังคงละเลยความปลอดภัยทางไซเบอร์เมื่อมีการนำเทคโนโลยีเกิดใหม่มาใช้ เช่น AI แบบรู้สร้าง (Generative AI) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีแนวโน้มที่จะเพิ่มความถี่ของการโจมตีทางไซเบอร์ที่ซับซ้อนและรุนแรง 

 

ดังนั้นในปีนี้ซีอีโอควรต้องสร้างสมดุลระหว่างการเปิดรับเทคโนโลยีใหม่และมีความระมัดระวังในเรื่องของการป้องกันความปลอดภัยมากขึ้น โดยให้ความสำคัญกับการฝึกอบรม AI และการกำกับดูแลเป็นอันดับแรก จากนั้นอาจยกระดับขึ้นไปอีกขั้นโดยใช้ GenAI ในการเรียนรู้และตรวจจับการโจมตีทางไซเบอร์ 

 

7. สร้างแรงบันดาลใจ เพื่อกระตุ้นให้พนักงานยกระดับทักษะ 

 

รายงานผลสำรวจความคิดเห็นของกำลังแรงงานทั่วโลกของ PwC ยังพบด้วยว่า พนักงานส่วนมากยังไม่เข้าใจว่าทักษะที่จำเป็นสำหรับงานของพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ทำให้ผู้บริหารควรต้องให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกในปีนี้ เพื่อโน้มน้าวให้พนักงานหันมายกระดับทักษะ (Upskilling) โดยควรสร้างแรงบันดาลใจผ่านการแบ่งปันวิสัยทัศน์สำหรับอนาคตของบริษัท และแสดงให้พวกเขาเห็นว่าพวกเขาสามารถมีส่วนร่วมได้อย่างไร อย่าลืมว่าพนักงานมีแนวโน้มที่จะยอมรับการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นหากพวกเขารู้สึกตื่นเต้น มีแรงบันดาลใจ และรู้สึกได้ถึงจุดมุ่งหมายที่มีร่วมกัน

 

8. ก้าวสู่การเป็นผู้บุกเบิกความเสี่ยง

 

รายงานผลสำรวจความเสี่ยงทั่วโลกประจำปี 2566 ของ PwC (PwC’s 2023 Global Risk Survey) พบว่า บริษัทที่ใช้วิธีการจัดการความเสี่ยงแบบเน้นคุณค่า จะได้รับผลลัพธ์ที่เหนือกว่าเมื่อเทียบกับบริษัทที่บริหารความเสี่ยงอย่างระมัดระวัง โดยบริษัทที่เป็น ‘ผู้บุกเบิกความเสี่ยง’ (Risk Pioneers) เหล่านี้ยังใช้ประโยชน์จากทั้งเทคโนโลยีอย่างสม่ำเสมอมากขึ้น รวมถึงการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์และเครื่องมือข้อมูลที่ซับซ้อน รวมถึงนวัตกรรมที่นำโดยมนุษย์ เพื่อปรับปรุงแนวทางการรับความเสี่ยง ซึ่งประโยชน์ที่ได้รับมีตั้งแต่การได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าที่เพิ่มขึ้น และการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วจากภาวะวิกฤตและเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน ซึ่งทั้งสองประการจะเป็นจุดแข็งที่สำคัญในการเผชิญกับความท้าทายและโอกาสที่จะมาถึงในปี 2567 นี้ 

 

อ้างอิง:

The post เปิดโรดแมปสำหรับผู้นำองค์กรในการริเริ่มสร้างสรรค์โมเดลธุรกิจใหม่ปี 2567 appeared first on THE STANDARD.

]]>
เปิดมุมมองนักลงทุนต่อประเด็นด้านความเชื่อมั่น เทคโนโลยี และความยั่งยืน https://thestandard.co/technology-and-sustainability-investor-perspective/ Mon, 18 Dec 2023 10:07:49 +0000 https://thestandard.co/?p=878142

ต้องยอมรับว่าตลาดการลงทุนทั่วโลกในปีนี้เต็มไปด้วยความผั […]

The post เปิดมุมมองนักลงทุนต่อประเด็นด้านความเชื่อมั่น เทคโนโลยี และความยั่งยืน appeared first on THE STANDARD.

]]>

ต้องยอมรับว่าตลาดการลงทุนทั่วโลกในปีนี้เต็มไปด้วยความผันผวน ซึ่งในเดือนกันยายนที่ผ่านมา PwC ได้จัดทำรายงาน Global Investor Survey 2023 เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักลงทุนทั่วโลกจำนวน 345 ราย เกี่ยวกับปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อบริษัทที่พวกเขาลงทุน และวิธีที่ใช้ในการประเมินโอกาสและความเสี่ยงในการจัดสรรเงินทุน รวมถึงความเชื่อมั่นต่อข้อมูลต่างๆ ที่ใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุน โดยผมจะขอสรุปผลจากการสำรวจที่น่าสนใจต่างๆ และนำมาแลกเปลี่ยนกับคุณผู้อ่าน ดังต่อไปนี้

 

  • นักลงทุนมีความกังวลต่อปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่มีความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนและเงินเฟ้อลดลงที่ 46% เปรียบเทียบกับการสำรวจความคิดเห็นของนักลงทุนเมื่อปี 2565 ที่ 67% 

 

 

  • นักลงทุนให้ความสนใจกับเทคโนโลยีเกิดใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดย 61% ของนักลงทุนกล่าวว่า การนำ AI มาใช้ถือเป็นปัจจัยที่สำคัญมากถึงมากที่สุดที่จะส่งผลต่อการสร้างคุณค่าของบริษัทในช่วง 3 ปีข้างหน้า แม้ว่านักลงทุนบางส่วนจะยังคงมีความกังวลต่อความเสี่ยงของการใช้เทคโนโลยีดังกล่าว 

 

  • ความยั่งยืนเป็นเรื่องสำคัญของธุรกิจ รายงานระบุว่า 3 ใน 4 ของนักลงทุนเชื่อว่าการจัดการความเสี่ยงและมองหาโอกาสด้านความยั่งยืนของบริษัทถือเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจลงทุน อย่างไรก็ดี พวกเขาก็ยังคงต้องการข้อมูลด้านความยั่งยืนมากขึ้น เช่น ค่าใช้จ่ายของบริษัทในการปฏิบัติเพื่อบรรลุคำมั่นสัญญาด้านความยั่งยืน กรอบการดำเนินงานด้านความยั่งยืนที่ชัดเจน และการเชื่อมโยงข้อมูลด้านความยั่งยืนให้มีความสัมพันธ์กับงบการเงิน 

 

  • การเปิดเผยข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมยังขาดความน่าเชื่อถือ วันนี้นักลงทุนส่วนใหญ่อาศัยข้อมูลจากแหล่งต่างๆ รวมถึงบริษัทและบุคคลที่สามเพื่อนำมาใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุน แต่อย่างไรก็ดี พวกเขายังคงไม่มีความไว้วางใจในข้อมูลดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืน ซึ่งรายงานพบว่า นักลงทุนมีการเปรียบเทียบข้อมูลจากหลายๆ แหล่ง เพราะไม่เชื่อมั่นในข้อมูลจากแหล่งใดแหล่งหนึ่งโดยสิ้นเชิง

 

  • การฟอกเขียว (Greenwashing) ยังคงมีอยู่ นักลงทุน 94% เชื่อว่าการรายงานผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืนขององค์กรมีการกล่าวอ้างที่ไม่ได้รับการสนับสนุนในระดับหนึ่งเป็นอย่างน้อย ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว อาจอธิบายการสนับสนุนที่นักลงทุนแสดงต่อข้อกำหนดการเปิดเผยข้อมูลใหม่ เช่น ข้อกำหนด Corporate Sustainability Reporting Directive (CSRD) ของสหภาพยุโรป และคณะกรรมการมาตรฐานความยั่งยืนระหว่างประเทศ (ISSB) ซึ่งอาจนำไปสู่การรายงานด้านความยั่งยืนที่สอดคล้องและเปรียบเทียบได้มากขึ้น ทั้งนี้ การรับรองจากบุคคลที่สามจะช่วยเพิ่มความมั่นใจในการรายงานความยั่งยืนได้

 

ผลการสำรวจนี้ยังได้ชี้ให้เห็นถึงสามประเด็นที่บริษัทควรดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาที่สำคัญที่สุดสำหรับนักลงทุน ดังนี้

 

  1. ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีอนาคตและการคิดค้นการดำเนินธุรกิจรูปแบบใหม่ๆ การพัฒนาเทคโนโลยี AI และเทคโนโลยีเกิดใหม่อื่นๆ ได้สร้างความน่าตื่นเต้นให้กับบริษัทต่างๆ เช่นเดียวกับนักลงทุน โดย 59% ของผู้ตอบแบบสำรวจกล่าวว่าการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีเป็นปัจจัยที่จะมีอิทธิพลต่อการสร้างและรับคุณค่าในอีก 3 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ นักลงทุนยังจัดให้นวัตกรรมและเทคโนโลยีเกิดใหม่ เช่น AI, เมตาเวิร์ส และบล็อกเชน อยู่ในลำดับความสำคัญ 5 อันดับแรกเมื่อประเมินบริษัทต่างๆ ขณะที่นักลงทุน 61% กล่าวว่าการนำ AI มาใช้อย่างรวดเร็วนั้นมีความสำคัญมากหรือสำคัญอย่างยิ่ง แต่ก็ตระหนักด้วยว่าการใช้ AI อาจนำมาซึ่งความเสี่ยงของความปลอดภัยของข้อมูลและภัยคุกคามความเป็นส่วนตัว ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง และความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการกำกับดูแลและการควบคุมที่ไม่เพียงพอ

 

  1. ปลูกฝังความยั่งยืนเพื่อขับเคลื่อนคุณค่า นักลงทุนต้องการเห็นว่าบริษัทต่างๆ มีการนำประเด็นด้านความยั่งยืนมาใช้ในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ การจัดการความเสี่ยง และงบการเงินได้อย่างไร รวมถึงโอกาสในการสร้างมูลค่าในระยะยาว นอกจากนี้ นักลงทุนส่วนใหญ่ยังเห็นพ้องต้องกันว่าบริษัทต่างๆ ควรผนวกแนวปฏิบัติด้าน ESG เข้าเป็นส่วนหนึ่งของแผนกลยุทธ์โดยตรง และควรลงทุนในด้านนี้แม้ว่าจะทำให้ความสามารถในการทำกำไรในระยะสั้นลดลง นอกจากนี้ นักลงทุนส่วนใหญ่ (75%) ยังต้องการข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบของบริษัทที่มีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยอาจเปิดเผยเป็นมูลค่าทางการเงิน ซึ่งหากบริษัทสามารถทำได้ นักลงทุนก็พร้อมที่จะลงทุนมากขึ้น

 

  1. สร้างความน่าเชื่อถือให้กับรายงานความยั่งยืน นักลงทุนยังมีความไม่เชื่อมั่นในแหล่งข้อมูลด้านความยั่งยืนของบริษัท อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า นักลงทุนเกือบทั้งหมดเชื่อว่าการรายงานผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืนขององค์กรมีการกล่าวอ้างที่ไม่ได้รับการสนับสนุน ทั้งนี้ สิ่งที่เป็นความท้าทายของบริษัท คือการเก็บข้อมูลตามตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ และการมีระบบในการจัดทำรายงานที่ได้คุณภาพเช่นเดียวกับการจัดทำรายงานทางการเงิน นอกจากนี้ การได้รับการตรวจสอบข้อมูลจากหน่วยงานภายนอกที่มีความเป็นกลางก็จะยิ่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนมากขึ้น 

 

เราจะเห็นว่าประเด็นด้านความเชื่อมั่น เทคโนโลยี และความยั่งยืน ทั้ง 3 ประเด็นนี้ล้วนมีความเชื่อมโยงกัน โดยความยั่งยืนและเทคโนโลยีเป็นประเด็นสำคัญที่นักลงทุนมองหาจากบริษัทต่างๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลที่มีคุณภาพสูงขึ้น ซึ่งหากผู้นำและผู้บริหารสามารถจัดทำรายงานที่ใช้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อระบุความเสี่ยงและโอกาสของธุรกิจได้อย่างแท้จริง ก็จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นและยกระดับศักยภาพขององค์กรในสายตาของนักลงทุนได้ในที่สุด

 

อ้างอิง:

The post เปิดมุมมองนักลงทุนต่อประเด็นด้านความเชื่อมั่น เทคโนโลยี และความยั่งยืน appeared first on THE STANDARD.

]]>
เปิด 3 แนวโน้มอุตสาหกรรมโทรคมนาคมท่ามกลางกระแสความต้องการยุค 5G https://thestandard.co/3-trends-in-the-telecomm-industry/ Tue, 31 Oct 2023 01:31:54 +0000 https://thestandard.co/?p=860704

อุตสาหกรรมโทรคมนาคมถือเป็นหนึ่งในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ให้บ […]

The post เปิด 3 แนวโน้มอุตสาหกรรมโทรคมนาคมท่ามกลางกระแสความต้องการยุค 5G appeared first on THE STANDARD.

]]>

อุตสาหกรรมโทรคมนาคมถือเป็นหนึ่งในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานที่มีความสำคัญต่อผู้บริโภคและภาคธุรกิจ โดยรายงานล่าสุด Perspectives from the Global Telecom Outlook 2023-2027: The future on the line ของ PwC ได้ทำการศึกษาแนวโน้มของอุตสาหกรรมนี้ใน 53 ประเทศ รวมทั้งประเทศไทย โดยผมขอนำผลจากการศึกษาที่ได้มาสรุปเป็นสามหัวข้อหลักที่น่าสนใจดังต่อไปนี้

 

1. ลูกค้ายังคงเป็นศูนย์กลางท่ามกลางความต้องการใช้ดาต้าที่เพิ่มสูงขึ้น

 

รายงานของ PwC คาดการณ์ว่าการบริโภคข้อมูลทั่วโลก (Global Data Consumption) ผ่านเครือข่ายโทรคมนาคมจะเพิ่มขึ้นเกือบสามเท่าในช่วงระหว่างปี 2565-2570 โดยความต้องการในการรับชมคอนเทนต์ประเภทวิดีโอ (Video) จะนำหน้าปริมาณการใช้ดาต้าในรูปแบบอื่น หรือคิดเป็น 79% ของจำนวนดาต้าทั้งหมดที่จะถูกใช้งาน 9.7 ล้านเพตะไบต์ (Petabytes) ในปี 2570 ซึ่งมากกว่าปริมาณการใช้ดาต้าของคอนเทนต์รูปแบบอื่นรวมกันถึงสามเท่า สำหรับดาต้าการสื่อสารแบบดั้งเดิม ซึ่งเพิ่มขึ้น 104% ระหว่างปี 2561-2565 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากข้อจำกัดในยุคโควิดและผู้คนที่ทำงานจากที่บ้าน จะเพิ่มขึ้นเพียง 26.8% ในช่วงห้าปีข้างหน้า

 

รายงานของ PwC คาดการณ์ว่าการบริโภคข้อมูลทั่วโลก (Global Data Consumption) ผ่านเครือข่ายโทรคมนาคม

 

นอกจากนี้การบริโภคข้อมูลประเภทเกม (Game) ก็จะมีบทบาทมากขึ้นเช่นกัน โดยรายงานคาดว่าอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (Compound Annual Growth Rate: CAGR) ของปริมาณการใช้ดาต้าที่เกี่ยวข้องกับการเล่นเกม จะเพิ่มขึ้นที่ 21% ระหว่างปี 2565-2570 ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องต่อการเล่นเกมออนไลน์และบนคลาวด์ ในขณะเดียวกัน ความเป็นจริงเสมือน (Virtal Reality: VR) ซึ่งขับเคลื่อนโดยการเติบโตของเมตาเวิร์ส (Metaverse) จะยังคงพัฒนาต่อไป

 

สำหรับการใช้ข้อมูลเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ (Cellular Data) จะเป็นประเภทการใช้ข้อมูลที่เติบโตเร็วที่สุด โดยมี CAGR ที่ 27% ระหว่างปี 2565-2570 ซึ่งพฤติกรรมการใช้ข้อมูลจะมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญในแต่ละภูมิภาค เช่น ข้อมูลเซลลูลาร์คาดว่าจะคิดเป็นสัดส่วนเพียง 6% ของการรับส่งข้อมูลทั้งหมดในอเมริกาเหนือ แต่มากกว่า 30% ในเอเชีย ส่วนหนึ่งมาจากการใช้งานอุปกรณ์มือถือในอินเดีย รวมถึงการเปิดตัว 5G ภายในประเทศนี้ กำลังเปิดทางสำหรับการพัฒนาบริการและนวัตกรรมที่เพิ่มขึ้น เป็นต้น

 

2. ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง

 

แม้ว่าการนำเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (Internet of Things: IoT) มาใช้จะเพิ่มมากขึ้นในหลายอุตสาหกรรม แต่รายได้จนถึงปัจจุบันยังเติบโตไม่มากนักด้วยข้อจำกัดทั้งในด้านอุปสงค์และอุปทาน กลุ่มของชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้สำหรับการประมวลผลและเครือข่ายที่ยังไม่รองรับการเชื่อมต่อที่ใช้พลังงานต่ำและการเชื่อมต่อตลอดเวลาที่จำเป็นต่อการทำงานของระบบ IoT ทำให้ปัจจุบันลูกค้าธุรกิจยังไม่สามารถปรับใช้และจัดการกับโซลูชันด้าน IoT ได้เต็มประสิทธิภาพ และจำเป็นต้องมีระบบนิเวศของพันธมิตร เช่น ผู้ให้บริการโทรคมนาคม ซอฟต์แวร์และคลาวด์ ตลอดจนผู้รวมระบบและธุรกิจ มาช่วยกันพัฒนาโซลูชันที่มีประสิทธิภาพและปรับขนาดได้มากขึ้น ซึ่งในห้าปีข้างหน้าคาดว่าจะมีบริษัทสนใจการใช้งาน IoT เพิ่มขึ้นมาก และทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นตามไปด้วย

 

รายงานฉบับนี้คาดว่าจำนวนอุปกรณ์ IoT ที่ติดตั้งทั้งหมดจะเพิ่มขึ้นจาก 1.64 หมื่นล้านเครื่องในปี 2565 เป็น 2.51 หมื่นล้านเครื่องในปี 2570 หรือประมาณ 3 อุปกรณ์สำหรับประชากรทุกคนบนโลก

 

หากเรามาพิจารณาอุปกรณ์ IoT ซึ่งมีตั้งแต่เซ็นเซอร์ธรรมดาที่อ่านการสั่นสะเทือนของสะพานไปจนถึงกล้องความละเอียดสูงที่สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของการจราจรหรือคนเดินเท้า และอื่นๆ ซึ่งแต่ละประเภทกำหนดความต้องการที่แตกต่างกันบนเครือข่ายในแง่ของการใช้พลังงาน ความเร็ว และเวลาแฝง ดังนั้นผู้ให้บริการเครือข่ายจึงต้องสามารถให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพและปรับขนาดให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และควรต้องร่วมมือกับพาร์ตเนอร์หรือผู้เชี่ยวชาญในระบบนิเวศของตน และบริษัทเทคโนโลยี

 

3. วิวัฒนาการของเครือข่ายกำหนดอนาคตของอุตสาหกรรมโทรคมนาคม

 

รายงานระบุว่า อนาคตของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมจะมีความหลากหลายมากขึ้นทั้งในแง่ของตัวเลือกเครือข่ายสำหรับโทรคมนาคมและลูกค้าที่พวกเขาให้บริการ โดยในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ผู้ให้บริการโทรคมนาคมเกือบ 200 รายได้เปิดตัวเครือข่าย 5G และอีกหลายแห่งมีแผนจะเปิดตัวในอีก 12 เดือนต่อจากนี้ ซึ่งคาดว่า 5G จะกลายเป็นประเภทการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนชั้นนำในปี 2568 ที่มากกว่า 50% ของทั้งหมด และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่าสองในสามในปี 2570

 

ในอดีตการใช้จ่ายด้านทุนสำหรับเทคโนโลยีเครือข่ายมือถือรุ่นต่อๆ ไป เช่น 4G และ 5G เกิดขึ้นในรอบสิบปี ซึ่งในช่วงปี 2564 และ 2565 ค่าใช้จ่ายในการลงทุนซื้อสินทรัพย์มาเพื่อใช้ในการดำเนินงานของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากอุตสาหกรรมลงทุนในการสร้าง 5G ทำให้ค่าใช้จ่ายด้านโทรคมนาคมรวมเพิ่มขึ้น 4.2% ในปี 2565 เป็น 319.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ดี เมื่อมองไปข้างหน้า รายงานคาดว่า อัตราการเติบโตของการลงทุนทั้งบรอดแบนด์แบบประจำที่ (Fixed Broadband) และบรอดแบนด์มือถือ (Mobile Broadband) จะลดลงทุกปีจนถึงปี 2570 เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นอย่างมากทำให้เกิดความระมัดระวังในการลงทุน

 

 

เราจะเห็นว่าอุตสาหกรรมโทรคมนาคมกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว แต่นอกเหนือจากความท้าทายต่อโมเดลธุรกิจที่มีอยู่แล้ว ภูมิทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงยังมอบโอกาสที่สำคัญให้กับผู้ให้บริการดั้งเดิมและผู้เล่นหน้าใหม่ ขณะที่การลงทุนทั้งในเรื่องของเวลา เงิน การคิดเชิงกลยุทธ์ และทรัพยากร จะยังคงเป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ นอกจากนี้ บริษัทในอุตสาหกรรมควรต้องจับมือกับพันธมิตรภายในและภายนอกอุตสาหกรรม อีกทั้งกระชับความสัมพันธ์กับซัพพลายเออร์ ลูกค้า และคู่แข่งเพื่อคว้าโอกาสในการเป็นผู้เล่นสำคัญในระบบนิเวศ และเพื่อเพิ่มศักยภาพในการเติบโต


อ้างอิง:

The post เปิด 3 แนวโน้มอุตสาหกรรมโทรคมนาคมท่ามกลางกระแสความต้องการยุค 5G appeared first on THE STANDARD.

]]>
ยกระดับข้อมูลด้านความยั่งยืนผ่านการสร้างมูลค่าให้องค์กรด้วยเทคโนโลยี https://thestandard.co/upgrading-sustainability-information/ Sat, 30 Sep 2023 04:04:06 +0000 https://thestandard.co/?p=848471 Man looking at computer screen

ท่ามกลางการออกข้อกำหนดใหม่ๆ ด้านการจัดการและการจัดทำราย […]

The post ยกระดับข้อมูลด้านความยั่งยืนผ่านการสร้างมูลค่าให้องค์กรด้วยเทคโนโลยี appeared first on THE STANDARD.

]]>
Man looking at computer screen

ท่ามกลางการออกข้อกำหนดใหม่ๆ ด้านการจัดการและการจัดทำรายงานความยั่งยืน (Sustainability Reporting) กฎการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก กลไกการกำหนดราคาคาร์บอน ภาษีสีเขียว และมาตรการจูงใจต่างๆ อีกทั้งกระแสเรียกร้องจากสังคมโลกให้องค์กรต่างๆ ต้องมีการดำเนินการที่เข้มข้นเพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม จึงส่งผลให้ผู้บริหารจำนวนมากเห็นถึงความสำคัญในการปรับปรุงระบบเทคโนโลยีและซอฟต์แวร์เพื่อช่วยจัดการข้อมูลด้านความยั่งยืนอย่างมีประสิทธิภาพ เช่นเดียวกับข้อมูลทางการเงินอื่นๆ

 

ทั้งนี้ การประยุกต์ใช้ระบบเทคโนโลยีและซอฟต์แวร์จะช่วยให้การจัดทำรายงานความยั่งยืนมีคุณภาพตามมาตรฐานของนักลงทุน อีกทั้งช่วยให้ผู้บริหารทราบผลการปฏิบัติงานก่อนนำมาปรับปรุงประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และสร้างความสามารถในการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วให้กับองค์กร ยิ่งไปกว่านั้น ยังสามารถนำข้อมูลมาเปิดเผยหรือช่วยในการแสวงหาโอกาสในการเติบโต ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างมูลค่า (Value Creation) ที่มากขึ้น

 

บทความของ PwC ในหัวข้อ ‘Software for the sustainable enterprise: Going beyond reporting to create business value’ ได้อธิบายถึงวัตถุประสงค์สามประการของข้อมูลด้านความยั่งยืน และสำรวจว่าบริษัทชั้นนำต่างๆ ปรับสถาปัตยกรรมเทคโนโลยีและแนวทางการจัดการข้อมูลให้สอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจแต่ละข้อได้อย่างไร ดังนี้

 

1. เตรียมพร้อมความโปร่งใสในการจัดทำรายงานความยั่งยืน

 

แนวปฏิบัติในการรายงานความยั่งยืนไม่ได้เพียงแค่พัฒนาไป แต่กำลังถูกพลิกโฉมด้วยข้อกำหนดใหม่ๆ ที่ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งรูปแบบและขอบเขตในการเปิดเผยข้อมูล และกำลังเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก เช่น ข้อบังคับด้านการรายงานความยั่งยืนขององค์กรในสหภาพยุโรป (Corporate Sustainability Reporting Directive: CSRD) และมาตรฐานการรายงานทางการเงินเกี่ยวกับการเปิดเผยด้านความยั่งยืน (IFRS Sustainability Disclosure Standards) ซึ่งข้อบังคับที่ว่านี้ กำหนดให้องค์กรต้องมีการเปิดเผยข้อมูลตัวชี้วัดบางอย่างที่บางองค์กรอาจยังไม่ได้รวบรวมข้อมูลด้วยซ้ำ เช่น ข้อมูลการผลิตไมโครพลาสติกของบริษัท หรือบริษัทอาจต้องขอรับการรับรองข้อมูลด้านความยั่งยืนจากผู้ตรวจสอบ เป็นต้น

 

ทั้งนี้ การมีระบบซอฟต์แวร์สำหรับเก็บข้อมูลและประมวลผลที่น่าเชื่อถือ ผู้ตรวจสอบสามารถตรวจสอบได้ทันที จะช่วยลดการดำเนินการในด้านดังกล่าวได้ในระยะยาว บทความของ PwC ฉบับนี้ ยังได้เสนอข้อแนะนำสำหรับองค์กรที่ต้องการเตรียมพร้อมสำหรับข้อบังคับการรายงานประเภทใหม่ที่ผมกล่าวไปข้างต้น ดังต่อไปนี้ 

 

  • จำกัดขอบเขตให้แคบลง ก่อนที่จะเพิ่มความสามารถด้านเทคโนโลยี องค์กรควรกำหนดหัวข้อด้านความยั่งยืนที่ต้องการจัดการ และรายงานภายใต้ข้อกำหนดใหม่ที่เกี่ยวข้อง โดยประเมินว่าหัวข้อดังกล่าวมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อผลการดำเนินงานทางการเงินของบริษัท หรือกิจกรรมของบริษัทมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมหรือสังคมหรือไม่ และเมื่อกำหนดหัวข้อได้แล้ว ก็จะทราบว่าองค์กรจะต้องการระบบเก็บข้อมูล หรือเทคโนโลยีใดมาช่วยเก็บข้อมูล
  • เริ่มจากระบบเทคโนโลยีที่มีอยู่แล้ว หลายองค์กรมีระบบการเงินและระบบอื่นๆ อยู่แล้ว ที่สามารถนำมาช่วยสร้างและจัดการข้อมูลบางส่วนสำหรับการจัดทำรายงานความยั่งยืน โดยอาจเลือกใช้วิธีใดวิธีหนึ่งจากสองวิธีดังนี้ คือ หนึ่ง เสริมระบบการเงินที่มีอยู่แล้วด้วยโมดูลและฟังก์ชันเฉพาะด้านความยั่งยืน หรือ สอง จัดทำแหล่งข้อมูลกลางสำหรับข้อมูลด้านความยั่งยืน และติดตั้งระบบการรายงานความยั่งยืนเฉพาะเพื่อช่วยรักษาข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน และทำให้ทราบถึงเส้นทางการตรวจสอบของการเปลี่ยนแปลง และการจัดรูปแบบข้อมูลสำหรับการเปิดเผยสู่ภายนอก ตลอดจนการรายงานภายใน
  • แต่งตั้งผู้รับผิดชอบ เมื่อทราบว่าต้องการรายงานข้อมูลด้านใดบ้าง องค์กรจะต้องมีทีมงานที่เก็บรวบรวมข้อมูลที่มีคุณภาพตามมาตรฐานของผู้ตรวจสอบ 
  • กำหนดมาตรฐานการทำงาน ทุกทีมที่เกี่ยวข้องจะต้องมีความเข้าใจในการเก็บข้อมูล มีการกำหนดแนวทางการควบคุม และมีทีมตรวจสอบภายในดูแลเพื่อให้แน่ใจว่าองค์กรมีการปฏิบัติตามมาตรฐานเช่นเดียวกับการเก็บข้อมูลทางการเงิน 

 

2. เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้วยข้อมูลด้านความยั่งยืน 


ทั้งนี้ ข้อมูลด้านความยั่งยืน ไม่ได้มีประโยชน์เพียงแค่ใช้เปิดเผยต่อหน่วยงานภายนอก แต่ผู้บริหารและพนักงานสามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้เพื่อปรับปรุงผลการดำเนินงาน เช่นเดียวกับการใช้ตัวชี้วัดกิจกรรมทางธุรกิจอื่นๆ เช่น ธุรกิจบางแห่งนำข้อมูลการปล่อยก๊าซคาร์บอนที่รวบรวมจากซัพพลายเออร์ร่วมกับข้อมูลจากบุคคลที่สาม เพื่อระบุส่วนที่ต้องดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนของตน เป็นต้น

 

อย่างไรก็ดี การจะนำข้อมูลด้านความยั่งยืนมาใช้นั้นย่อมหมายความว่า ข้อมูลจะต้องได้รับการปรับปรุงและสอดคล้องกับระยะเวลาและทุกๆ การตัดสินใจ เช่น การจัดสรรทุน หรือการกำหนดงบประมาณโครงการต่างๆ ที่รวมถึงการปล่อยก๊าซคาร์บอนอาจพิจารณาเป็นรายไตรมาส ซึ่งตรงจุดนี้ ข้อมูลการปล่อยก๊าซคาร์บอนก็ควรต้องมีการอัปเดตทุกๆ ไตรมาสด้วย 

 

นอกจากนี้ ข้อมูลด้านความยั่งยืนจะต้องมีรูปแบบการนำเสนอที่ทีมงานสามารถเข้าถึงและเข้าใจได้อย่างง่ายดาย ขณะที่ผู้บริหารก็จะต้องสร้างแนวทาง เป้าหมาย และปัจจัยอื่นๆ ที่กำหนดเหตุผลการตัดสินใจให้สอดคล้องกับภารกิจสำคัญขององค์กร ซึ่งไม่ใช่แค่เพียงปัจจัยทางการเงิน เช่น ต้นทุน หรือรายจ่ายเท่านั้น แต่ต้องนำปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม ปัจจัยทางสังคม เช่น การมีส่วนร่วมของพนักงาน และปัจจัยด้านชื่อเสียงมาพิจารณาร่วมด้วย

 

3. ใช้ประโยชน์จากศักยภาพในการสร้างมูลค่า

 

ผู้บริหารสามารถใช้ข้อมูลด้านความยั่งยืนเพื่อออกผลิตภัณฑ์และบริการที่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้ามากขึ้น หรืออาจใช้ข้อมูลจากแหล่งอื่น เช่น สภาพภูมิอากาศ เพื่อประกอบการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ เพื่อสร้างมูลค่าให้กับองค์กร เช่น การลงทุน การขยายตลาด การปรับรูปแบบสินค้าและธุรกิจ และการควบรวมกิจการ เป็นต้น

 

จากการสำรวจที่ผ่านมาของ PwC พบว่า ผู้บริโภคแปดในสิบกล่าวว่า พวกเขาจะยอมจ่ายมากขึ้นเพื่อซื้อสินค้ารักษ์โลก แต่สำหรับบริษัทโดยทั่วไปแล้ว การปรับปรุงประสิทธิภาพและชื่อเสียงด้านความยั่งยืนอาจทำให้มีค่าใช้จ่ายสูงในระดับที่ทำให้ต้องเรียกเก็บค่าบริการระดับพรีเมียม ดังนั้น แต่ละธุรกิจจะต้องทำความเข้าใจผู้บริโภคของตนผ่านการวิจัยหรือเครื่องมืออื่นๆ เพื่อหาว่าความยั่งยืนด้านใดที่ลูกค้าให้ความสำคัญ และจะต้องทำอย่างไรเพื่อให้พวกเขาตระหนักถึงข้อเสนอที่ได้รับการปรับปรุง 

 

นอกเหนือไปจากข้อมูลแล้ว เครื่องมือทางเทคโนโลยียังช่วยให้ผู้บริหารจัดสรรทรัพยากรในโครงการที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนที่มุ่งเน้นการลงทุนด้านความยั่งยืน หรือผู้บริหารบางรายอาจนำข้อมูลไปช่วยการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของตลาด หรือความเสี่ยงอื่นๆ ที่สูงขึ้น 

 

จากข้อมูลทั้งหมดที่กล่าวมา เราจะพบว่ายิ่งองค์กรมองหาโอกาสในการสร้างมูลค่าด้วยการจัดการประสิทธิภาพด้านความยั่งยืน และหารือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมากเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งจำเป็นต้องมีข้อมูลที่เชื่อถือได้เพื่อประกอบการตัดสินใจและการสื่อสารต่อสาธารณชนมากขึ้นเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ การติดตั้งระบบซอฟต์แวร์และเทคโนโลยีที่ช่วยให้การจัดทำรายงานความยั่งยืนมีประสิทธิภาพ จะช่วยเร่งความก้าวหน้าให้องค์กรมุ่งสู่การสร้างมูลค่าที่เน้นความยั่งยืนเป็นหัวใจสำคัญได้

 

อ้างอิง: 

The post ยกระดับข้อมูลด้านความยั่งยืนผ่านการสร้างมูลค่าให้องค์กรด้วยเทคโนโลยี appeared first on THE STANDARD.

]]>
ส่องโอกาสในการสร้างมูลค่าจาก ESG ของไพรเวท อิควิตี้ https://thestandard.co/private-equity-and-the-responsible-investment-survey/ Wed, 06 Sep 2023 07:49:16 +0000 https://thestandard.co/?p=838192 Private Equity

ประเด็นด้านความยั่งยืน (Sustainability) กำลังส่งผลกระทบ […]

The post ส่องโอกาสในการสร้างมูลค่าจาก ESG ของไพรเวท อิควิตี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Private Equity

ประเด็นด้านความยั่งยืน (Sustainability) กำลังส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจไปทั่วโลก ครอบคลุมแทบทุกกลุ่มอุตสาหกรรมไม่เว้นแม้แต่ ‘บริษัทนอกตลาด’ หรือ ‘ไพรเวท อิควิตี้’ (Private Equity) ที่วันนี้กำลังหันมาให้ความสำคัญกับ ‘การสร้างมูลค่า’ (Value Creation) ควบคู่ไปกับการสร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุน 

 

โดยข้อมูลจากรายงานผลสำรวจฉบับล่าสุดของ PwC ภายใต้ชื่อ Global Private Equity Responsible Investment Survey 2023 ได้รวบรวมความคิดเห็นของผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญอาวุโสด้านการลงทุนและความยั่งยืนในกลุ่มธุรกิจไพรเวท อิควิตี้ จำนวนกว่า 150 แห่งทั่วโลก พบว่า 70% ของบริษัทไพรเวท อิควิตี้ (PE Firms) จัดให้การสร้างมูลค่าถือเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญสามอันดับแรกของกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) 

 

นอกจากนี้ ปัจจัยด้าน ESG ยังได้กลายมาเป็นปัจจัยมาตรฐานที่ไพรเวท อิควิตี้ ส่วนใหญ่นำมาพิจารณาเมื่อแสวงหาโอกาสจากดีลที่น่าสนใจ ตรวจสอบสถานะ (Due Diligence) จัดทำแผนหลังการซื้อกิจการ หรือแม้กระทั่งตัดสินใจเกี่ยวกับเงื่อนไขข้อตกลงต่างๆ   

 

เมื่อถามถึงประโยชน์สำคัญที่ได้รับจากการพิจารณาประเด็นด้าน ESG นั้น 64% ของผู้ตอบแบบสำรวจกล่าวว่า ช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์องค์กร ขณะที่ 55% กล่าวว่า ช่วยสร้างความแตกต่างในการแข่งขัน อย่างไรก็ดี น้อยกว่า 1 ใน 5 ระบุว่า ESG ช่วยผลักดันการเติบโตของรายได้และประสิทธิภาพของต้นทุน สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายในการกำหนดมูลค่าทางการเงินจาก ESG ที่ยังคงมีอยู่ 

 

นอกจากนี้ ผลจากการสำรวจอื่นๆ ที่พบจากรายงาน ยังสะท้อนถึงการที่ ESG สามารถเป็นตัวช่วยขับเคลื่อนมูลค่าในการแสวงหาโอกาสจากดีลต่างๆ ได้อย่างแท้จริง ดังต่อไปนี้

 

  1. ไพรเวท อิควิตี้ ส่วนใหญ่ต้องการสร้างคุณค่าด้วย ESG ควบคู่ไปกับการสร้างผลตอบแทนให้กับลูกค้า โดยมากกว่า 80% พิจารณาผลงานด้าน ESG ที่สอดคล้องไปกับการสร้างผลตอบแทน ในขณะที่ปัจจัยด้านกฎระเบียบข้อบังคับ (Regulation) และผลกระทบต่อมูลค่าการขายกิจการ (Impact on Exit Value) ถือเป็นเหตุผลสำคัญอันดับต้นๆ ที่ทำให้ไพรเวท อิควิตี้ เพิ่มความสำคัญกับการดำเนินการด้าน ESG มากขึ้น 

 

นอกจากนี้ เมื่อถามถึงจำนวนดีลที่พวกเขานำ ESG มาช่วยขับเคลื่อนการสร้างคุณค่าในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา พบว่า 1 ใน 3 กล่าวว่า มีมากกว่า 50% ของดีลทั้งหมด

 

  1. ไพรเวท อิควิตี้ จำนวนมากผนวก ESG เข้ากับการดำเนินธุรกิจหลักขององค์กร เห็นได้จากการนำแนวปฏิบัติด้าน ESG มาใช้จนกลายเป็นมาตรฐานของอุตสาหกรรม โดยมากกว่าครึ่งของผู้ตอบแบบสำรวจกล่าวว่า นำปัจจัยด้าน ESG มาพิจารณาตั้งแต่เริ่มมองหาโอกาสในการทำดีล และเมื่อทำการตรวจสอบสถานะ นอกจากนี้ ไพรเวท อิควิตี้ ยังนำหัวข้อด้าน ESG มาจัดทำแผนหลังการซื้อกิจการ ขณะที่ผู้ตอบแบบสำรวจมากถึง 90% กล่าวว่า บริษัทของตนบูรณาการความเสี่ยงและโอกาสที่เกี่ยวข้องกับ ESG ไว้ในแผนการเปลี่ยนแปลงทั้งแบบเป็นระบบหรือแบบเฉพาะกิจ เปรียบเทียบกับการสำรวจในปี 2563 ที่ 73% 

 

สิ่งที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้นคือ เมื่อเราถามผู้ตอบแบบสำรวจว่า ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา บริษัทของพวกเขาเปลี่ยนแนวทางการทำดีลเนื่องจากการพิจารณาด้าน ESG บ่อยแค่ไหน ผู้ตอบแบบสำรวจ 53% กล่าวว่า บริษัทของพวกเขาเลือกที่จะไม่ทำดีลอย่างน้อย 1 ครั้ง ขณะที่ประมาณสี่ 4 ใน 10 กล่าวว่า พวกเขาแก้ไขข้อตกลงการซื้อหุ้นอย่างน้อย 1 กรณี

 

  1. ไพรเวท อิควิตี้ เพียงไม่กี่แห่งให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ทางการเงินของ ESG แต่การประเมินมูลค่ายังคงเป็นความท้าทาย โดยผู้ตอบแบบสำรวจส่วนใหญ่มองว่า ตนได้รับประโยชน์ในเชิงคุณค่านามธรรม (เช่น ภาพลักษณ์องค์กร และความแตกต่างในการแข่งขัน) จากการพิจารณาปัจจัยด้าน ESG มากกว่ามูลค่าของผลลัพธ์ทางการเงิน โดยมีน้อยกว่า 20% ที่มองว่าการเติบโตของรายได้ การจัดสรรเงินทุน หรือประสิทธิภาพด้านต้นทุน เป็นประโยชน์หลักจาก ESG ที่บริษัทได้รับ อย่างไรก็ตาม การขาดข้อมูลยังสามารถจำกัดความสามารถของบริษัท PE ในการระบุแหล่งที่มาของการสร้างมูลค่าจากงานของพวกเขาเกี่ยวกับปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับ ESG เหล่านี้โดยเฉพาะ และในความเป็นจริง มีผู้ตอบแบบสำรวจเพียง 1 ใน 3 เท่านั้นที่กล่าวว่า บริษัทหรือกองทุนของพวกเขารวมการพิจารณา ESG เข้ากับการวิเคราะห์การประเมินค่า (Valuation Analysis) ในทางตรงกันข้าม ผู้ตอบแบบสำรวจเกือบทั้งหมดกล่าวว่า องค์กรของตนบูรณาการการพิจารณา ESG เข้ากับการตรวจสอบวิเคราะห์สถานะ

 

 

  1. ไพรเวท อิควิตี้ แสวงหาคุณค่าของ ESG ตลอดวงจรชีวิตของดีล โดยมองว่า วาระความยั่งยืนไม่ใช่แหล่งที่มาของความเสี่ยง แต่เป็นบ่อเกิดแห่งการสร้างคุณค่าและโอกาส แต่สิ่งที่จะทำให้บริษัทชั้นนำแตกต่างออกไป คือความสามารถในการระบุและแสวงหาโอกาสที่เกี่ยวข้องกับ ESG ในทุกขั้นตอนของข้อตกลง ตั้งแต่การกำหนดเป้าหมายไปจนถึงออกจากธุรกิจหรือขายกิจการ

 

เมื่อการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบบเศรษฐกิจยั่งยืนยังคงดำเนินต่อไป โอกาสในการสร้างคุณค่าให้กับกิจการจากการพิจารณาปัจจัยด้าน ESG ก็มีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยการที่ไพรเวท อิควิตี้ หันมาให้ความสำคัญกับประเด็นนี้ จะช่วยให้ธุรกิจของพวกเขาสามารถสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนและแข็งแกร่งได้ตามที่นักลงทุนต้องการ

 

อ้างอิง: 

 

The post ส่องโอกาสในการสร้างมูลค่าจาก ESG ของไพรเวท อิควิตี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
สำรวจความพร้อมของธุรกิจในการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าก่อนตัดสินใจซื้อ https://thestandard.co/global-consumer-insights-pulse-survey/ Sat, 05 Aug 2023 06:26:21 +0000 https://thestandard.co/?p=825853

ในโลกที่การใช้จ่ายของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่เคยเ […]

The post สำรวจความพร้อมของธุรกิจในการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าก่อนตัดสินใจซื้อ appeared first on THE STANDARD.

]]>

ในโลกที่การใช้จ่ายของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ขณะที่การหาลูกค้าใหม่ หรือการทำให้ลูกค้าเปลี่ยนใจหันมาเลือกซื้อสินค้าและบริการบางประเภท กลายเป็นเรื่องยากสำหรับธุรกิจ ในเดือนมิถุนายน PwC จึงจัดทำรายงานผลสำรวจมุมมองของผู้บริโภคทั่วโลก (Global Consumer Insights Pulse Survey) ที่สอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคจำนวนกว่า 8,000 คนใน 25 ประเทศ และอาณาเขตทั่วโลก ถึงการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าและบริการ เพื่อให้ธุรกิจนำไปปรับใช้กับกลยุทธ์การเข้าถึงลูกค้า และตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น

 

ทั้งนี้ รายงานฉบับนี้เจาะลึกถึงการกำจัดอุปสรรคก่อนการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าและบริการ และนำเสนอแนวทางในการเข้าถึงลูกค้าในขณะที่พวกเขากำลังตัดสินใจซื้อ เช่น การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีอย่าง ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) และหุ่นยนต์โต้ตอบการสนทนา (Chatbot) การบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้าผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียและแอปพลิเคชันบนมือถือ การเข้าถึงลูกค้าที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน (Sustainability) และสร้างการเติบโตของธุรกิจผ่านการจับเทรนด์การใช้จ่ายของผู้บริโภคในอนาคต โดยผมจะขอนำเนื้อหาที่สำคัญบางส่วนมาสรุปให้คุณผู้อ่านได้รับทราบกัน ดังต่อไปนี้

 

  1. ผู้บริโภคหาข้อมูลก่อนตัดสินใจซื้อ

ผู้บริโภคในยุคปัจจุบันใช้เทคโนโลยีประกอบการการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้า ไม่ว่าจะที่หน้าร้านหรือบนเว็บไซต์ โดยรายงานระบุว่า 54% ของผู้ตอบแบบสำรวจทั่วโลกใช้เครื่องมือค้นหา (Search Engine) เช่น Google ในการหาข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการที่ตนต้องการ เปรียบเทียบราคา อ่านรีวิว และเลือกร้านค้าก่อนการตัดสินใจซื้อ เปรียบเทียบกับ 24% ของผู้บริโภคชาวไทยที่ใช้ Search Engine ตามด้วยสื่อสังคมออนไลน์ เช่น Facebook และ TikTok ที่ 20% (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้บริโภคในกลุ่ม Gen Z) รวมถึงค้นหาข้อมูลจากเว็บไซต์ของร้านค้าโดยตรงที่ 16% 

 

สำหรับอุปกรณ์ที่ผู้บริโภคใช้ในการหาข้อมูลนั้น รายงานพบว่า มากกว่าครึ่งใช้โทรศัพท์มือถือ และแอปบนมือถือ โดย 4 ใน 10 ของผู้บริโภคใช้มือถือเพื่อค้นหาและเปรียบเทียบข้อมูลของแต่ละร้านค้าในขณะที่เดินเลือกซื้อสินค้า และมากกว่า 1 ใน 3 ใช้มือถือค้นหาข้อมูลสินค้าและเปรียบเทียบราคาขณะที่ยืนอยู่ตรงหน้าสินค้าในร้านค้าหรือบนเว็บไซต์ นอกจากนี้ โฆษณาก็มีความสำคัญต่อกระบวนการตัดสินใจซื้อสินค้าไม่แพ้กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโฆษณาบนสื่อสังคมออนไลน์ โดย 37% ของผู้ตอบแบบสำรวจ ชื่นชอบโฆษณาที่ลิงก์ไปที่ข้อเสนอและโปรโมชันของสินค้าที่สนใจได้เลย แต่สื่อโฆษณาบนโทรทัศน์ก็ยังคงได้รับความสำคัญ โดยส่วนใหญ่เป็นผู้บริโภคกลุ่ม Baby Boomer (49%) และอีกหนึ่งช่องทางที่กำลังมาแรง คือ Metaverse ที่แม้ว่าจะยังมีการใช้งานจริงที่ประมาณ 10% แต่ผู้บริโภคทั่วโลกกำลังให้ความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงการใช้งาน Generative AI และ Chatbot ก็ถือเป็นเทคโนโลยีที่ไม่ควรมองข้าม

 

ด้วยเหตุนี้ ธุรกิจจึงควรเพิ่มประสิทธิภาพในการทำการตลาดผ่านเครื่องมือค้นหา (Search Engine Optimisation: SEO) ลงทุนด้านข้อมูลเพื่อพัฒนาแอปพลิเคชันเอไอ และมีการจัดตั้งผู้บริหารข้อมูลระดับสูง (Chief Data Officer: CDO) รวมถึงนำ Generative AI มาปรับใช้กับการขายสินค้า เช่น การทดลองสินค้าออนไลน์ การจัดตั้งระบบ AI และ Chatbot ที่ให้คำแนะนำเกี่ยวกับสินค้า การวิเคราะห์ข้อมูลจากผู้ใช้งาน และการนำข้อมูลมาพัฒนากลยุทธ์ด้านราคา เป็นต้น

 

  1. ผู้บริโภคต้องการซื้อสินค้าโดยตรงจากแบรนด์ 

ผู้บริโภคต้องการซื้อสินค้าจากแบรนด์โดยตรงมากขึ้น โดย 63% ของผู้บริโภคทั่วโลกกล่าวว่า พวกเขาซื้อสินค้าโดยตรงจากเว็บไซต์ของแบรนด์ ขณะที่อีก 29% กล่าวว่า แม้ว่าตนจะยังไม่เคยซื้อสินค้าโดยตรงจากแบรนด์ แต่กำลังจะพิจารณาใช้ช่องทางนี้ เช่นเดียวกับผู้บริโภคชาวไทยที่มากกว่าครึ่ง (54%) ซื้อสินค้าจากเว็บไซต์ของแบรนด์โดยตรง ด้วยเหตุนี้ ธุรกิจจึงควรให้ความสำคัญกับกระแสการขายสินค้าให้กับผู้บริโภคโดยตรง (Direct-to-Customer: D2C) ซึ่งหากมีกลยุทธ์ทางการตลาดและเทคโนโลยีที่ดีร่วมด้วยแล้ว ก็จะช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงผู้บริโภคคนสุดท้าย (End User) ที่สินค้าจะไปถึงโดยไม่ต้องผ่านตัวกลาง (Middleman) และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าได้โดยตรง 

 

เมื่อถามถึงเหตุผลหลักที่ผู้บริโภคต้องการเลือกซื้อสินค้าจากเว็บไซต์ของแบรนด์โดยตรง พบว่า ความถูกต้องแท้จริงของสินค้า (50%) ความหลากหลายของสินค้า (47%) และราคาที่น่าสนใจและการมีสินค้าพร้อมส่ง (43%) ถือเป็นกุญแจที่สำคัญ สำหรับประเภทของสินค้ายอดนิยมที่ผู้บริโภคทั่วโลกซื้อโดยตรงจากเว็บไซต์ของแบรนด์มากที่สุด ได้แก่ เสื้อผ้าและเครื่องประดับ (44%) อิเล็กทรอนิกส์ (40%) และความงามและการดูแลส่วนบุคคล (35%)

 

 

ธุรกิจควรสร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งของลูกค้าผ่านช่องทางที่หลากหลายและเชื่อมโยงกัน ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน สื่อสังคมออนไลน์ และหน้าร้านค้า รวมถึงควรต้องพิจารณาข้อเสนอที่มอบให้กับลูกค้าให้สอดรับกับพฤติกรรมและความต้องการที่เปลี่ยนไป

 

  1. ผู้บริโภคยอมจ่ายเพื่อความยั่งยืน

ผู้บริโภคในยุคปัจจุบันยอมจ่ายมากขึ้นสำหรับสินค้าที่มีกระบวนการผลิตที่คำนึงถึงความยั่งยืน โดยรายงานพบว่า มากกว่า 4 ใน 10 ของผู้ตอบแบบสำรวจทั่วโลกยินดีที่จะจ่ายมากขึ้นสูงสุด 10% จากราคาปกติ และ 1 ใน 10 ยอมจ่ายสูงสุดถึง 30% และเกือบ 7% ยอมที่จะจ่ายสูงกว่านั้น โดยกลุ่มผู้บริโภคที่ยอมจ่ายมากขึ้น คือ ผู้บริโภคกลุ่ม Millennial และ Gen Z 

 

สำหรับผู้บริโภคชาวไทย ผลสำรวจพบว่า ส่วนใหญ่ยอมจ่ายมากขึ้นถึง 20% หรือมากกว่านั้นสำหรับสินค้าที่สั่งทำพิเศษตามความต้องการของลูกค้า และสินค้าที่สามารถตรวจสอบแหล่งผลิตได้ (21% เท่ากัน) ตามมาด้วยสินค้าที่ผลิตโดยบริษัทที่มีชื่อเสียงด้านจริยธรรมที่ดี และสินค้าที่ย่อยสลายได้ (20% เท่ากัน) 

 

 

ธุรกิจควรต้องมีการวิเคราะห์และจัดการความคุ้มค่าจากการลงทุนตลอดทั้งวัฏจักรของสินค้าที่คำนึงถึงความยั่งยืน เพื่อวางแผนกลยุทธ์ด้านราคาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และต้องมีการสื่อสารถึงคุณประโยชน์ด้านความยั่งยืนของสินค้าผ่านการรายงานที่มีความน่าเชื่อถือ เพื่อแสดงถึงคุณค่าและประโยชน์ในระยะยาวที่ได้ส่งมอบให้กับลูกค้า

 

  1. จับตากระแสการบริโภคในโลกยุคฟิจิทัล (Phygital)

แม้ว่าการแข่งขันในตลาดอีคอมเมิร์ซจะทวีความรุนแรง และมีการใช้จ่ายสินค้าบางประเภทลดลง แต่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังคงมีแนวโน้มที่จะเพิ่มการช้อปปิ้งออนไลน์ในช่วง 6 เดือนข้างหน้า ขณะที่ผู้บริโภคอีกครึ่งหนึ่งก็ยังคงจะซื้อสินค้าที่หน้าร้านเช่นเดิมต่อไป ตอกย้ำให้เห็นถึงกระแสการบริโภคในโลกยุคฟิจิทัลที่ผสมผสานช่องทางกายภาพและช่องทางดิจิทัลเข้าไว้ด้วยกัน

 

ผลสำรวจระบุว่า สินค้าที่ผู้บริโภคจะเพิ่มการใช้จ่ายมากขึ้น ได้แก่ สินค้าประเภทของชำ (46%) ตามมาด้วยสินค้าประเภทเสื้อผ้า และสินค้าสุขภาพและความงาม (36%) ในส่วนของการวางแผนท่องเที่ยวนั้น ผู้บริโภคทั่วโลกวางแผนการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวมากขึ้นตามกระแสของการเที่ยวล้างแค้น (Revenge Travel) ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยวภายในประเทศและต่างประเทศ เพื่อชดเชยช่วงเวลาและประสบการณ์ที่เสียไปในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด โดย 58% ของผู้บริโภคชาวไทยวางแผนท่องเที่ยวภายในประเทศ และ 43% วางแผนท่องเที่ยวต่างประเทศ

 

ธุรกิจควรเตรียมความพร้อมของข้อมูลสินค้าที่ครอบคลุมและแม่นยำเพื่อช่วยในการตัดสินใจของผู้บริโภค รวมทั้งนำเทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน (Virtual Reality) หรือเทคโนโลยีความจริงเสริม (Augmented Reality) มานำเสนอประสบการณ์การใช้สินค้า และมีการวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้า เช่น ความชอบ ประวัติการสั่งซื้อ และประวัติการค้นหา เพื่อให้สามารถแนะนำสินค้าและบริการได้ตามความต้องการของแต่ละบุคคล รวมถึงพัฒนาประสบการณ์การช้อปปิ้ง และกระตุ้นการใช้จ่ายในอนาคตได้มากขึ้น

 

จากที่ผมกล่าวมาทั้งหมด เราจะพบว่าการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าก่อนตัดสินใจซื้อมีความสำคัญเป็นอย่างมาก ฉะนั้น การมีกลยุทธ์ที่ใช่ย่อมจะช่วยให้ผู้ประกอบการโน้มน้าวและดึงดูดการตัดสินใจของลูกค้า อีกทั้งช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ใหม่ๆ ให้กับธุรกิจได้อย่างไม่ต้องสงสัย 

 

อ้างอิง: 

  • June 2023 Global Consumer Insights Pulse Survey, PwC

 

The post สำรวจความพร้อมของธุรกิจในการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าก่อนตัดสินใจซื้อ appeared first on THE STANDARD.

]]>
สำรวจ 6 ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความพร้อมของกำลังแรงงานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก https://thestandard.co/asia-pacific-workforce-readiness-6-factors/ Fri, 30 Jun 2023 03:23:13 +0000 https://thestandard.co/?p=809731 แรงงาน

แม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะเริ่มฟื้นตัวจากวิกฤตโรคระบาด แต่ธุรก […]

The post สำรวจ 6 ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความพร้อมของกำลังแรงงานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก appeared first on THE STANDARD.

]]>
แรงงาน

แม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะเริ่มฟื้นตัวจากวิกฤตโรคระบาด แต่ธุรกิจยังต้องเผชิญกับความท้าทายในด้านต่างๆ ที่มีความสลับซับซ้อนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความท้าทายด้านการเงิน สังคม และสิ่งแวดล้อม ทำให้ธุรกิจทั่วทุกภูมิภาค รวมถึงภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกต้องเร่งปรับตัว เพื่อเปลี่ยนความไม่แน่นอนให้เป็นโอกาส และเปลี่ยนปัญหาให้เป็นศักยภาพในการเติบโต

 

แต่การจะเปลี่ยนผ่านธุรกิจใดๆ เพื่อให้สามารถเอาตัวรอดและเติบโตได้ท่ามกลางความไม่แน่นอน องค์กรจำเป็นที่จะต้องได้รับความร่วมมืออย่างเต็มที่จากพนักงานที่ก็ต้องมีความกระตือรือร้นและมีความพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงไปพร้อมๆ กันด้วย ซึ่งคำถามสำคัญในวันนี้คือ “แล้วพนักงานมีความพร้อมที่จะปรับตัวไปพร้อมกับองค์กรแล้วหรือยัง?” 

 

รายงานผลสำรวจ Asia Pacific Workforce Hopes and Fears Survey 2023: Is the workforce ready for reinvention? ได้รวบรวมความคิดเห็นของกำลังแรงงานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จำนวนกว่า 19,500 คน ซึ่งมีผู้ตอบแบบสำรวจจากประเทศไทยรวมอยู่ด้วยถึง 1,000 ราย ได้นำเสนอ 6 ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความพร้อมในการเปลี่ยนแปลงของพนักงาน ไว้ได้อย่างน่าสนใจ ดังนี้

 

  1. มุมมองต่อความสามารถในการอยู่รอดของธุรกิจ รายงานพบว่า 51% ของพนักงานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเชื่อว่า บริษัทที่ตนทำงานอยู่จะไม่สามารถอยู่รอดได้ในอีก 10 ปีข้างหน้า หากยังดำเนินธุรกิจในรูปแบบเดิม ใกล้เคียงกับแรงงานไทยที่ 49% โดยยังพบด้วยว่า กลุ่มคนรุ่นใหม่อย่าง มิลเลนเนียล (47%) มีมุมมองเชิงบวกต่อความสามารถในการอยู่รอดของธุรกิจน้อยกว่า กลุ่ม Gen X (62%) 

 

  1. ความรู้สึกของพนักงาน พนักงานในภูมิภาคนี้ส่วนใหญ่มีความพึงพอใจในงานที่ทำอยู่ โดย 57% แสดงความพึงพอใจในงานปัจจุบัน ในขณะที่ 79% ของกำลังแรงงานไทยมีความพึงพอใจในงานของตน ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก แต่ความพึงพอใจของกำลังแรงงานในประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่าง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เขตบริหารพิเศษฮ่องกง และสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าที่ 29% ถึง 45% 

 

อย่างไรก็ดี พนักงานมากกว่า 40% ในภูมิภาคนี้ ต้องการขอขึ้นเงินเดือนและเลื่อนตำแหน่งในอีก 12 เดือนข้างหน้า เช่นเดียวกับกำลังแรงงานไทยที่ 47% นอกจากนี้ 28% ของกำลังแรงงานในภูมิภาคก็กำลังมองหางานใหม่มากขึ้นกว่าปีก่อนที่ 18% สำหรับแรงงานไทยมี 30% ที่ต้องการเปลี่ยนงาน เปรียบเทียบกับปีก่อนที่ 13% ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้น

 

แรงงาน

 

  1. ทักษะแรงงาน 70% ของกำลังแรงงานไทยเชื่อว่า ทักษะที่จำเป็นในการทำงานจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในอีก 5 ปีข้างหน้า สูงกว่าค่าเฉลี่ยในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่ 44% และสูงที่สุดในภูมิภาคนี้ โดยทักษะในการทำงานร่วมกัน (Collaborative Skills) มีความสำคัญเป็นอันดับแรกที่ 84% ตามมาด้วยทักษะในการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytic Skills) และทักษะความเป็นผู้นำ (Leadership Skills) ที่ 83% เท่ากัน อย่างไรก็ดี ทักษะด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน (Green Skills) ยังคงถูกมองว่ามีความสำคัญน้อยที่สุดทั้งในระดับภูมิภาคและในระดับโลก 

 

  1. เทคโนโลยีเกิดใหม่ แรงงานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกส่วนใหญ่มีมุมมองเชิงบวกต่อผลกระทบของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่มีต่องานของตน โดยมองว่าสามารถนำมาใช้ประโยชน์และเพิ่มโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ได้ โดย 47% ของกำลังแรงงานไทยเชื่อว่า AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการทำงาน และ 44% มองว่า AI จะสร้างโอกาสในการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ อย่างไรก็ดี ยังมีแรงงานอีกส่วนหนึ่งที่ขาดความมั่นใจในการเรียนรู้ทักษะเกี่ยวกับ AI สำหรับทักษะด้านดิจิทัลนั้นๆ มากกว่า 50% ของแรงงานในภูมิภาคนี้เชื่อว่า ทักษะดิจิทัลจะมีความสำคัญต่อการทำงานในอนาคต เช่นเดียวกับแรงงานไทยที่ 77%

 

  1. สภาพแวดล้อมในการทำงาน กำลังแรงงานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีความคิดเห็นและความรู้สึกต่อสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ต่างกันออกไปในแต่ละพื้นที่ แต่โดยรวมยังมีข้อแนะนำที่องค์กรสามารถปรับปรุงได้ในหลายๆ ด้าน เช่น การสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่ทันสมัย สนับสนุนการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ให้ความสำคัญกับความหลากหลายและการมีส่วนร่วม และการสร้างความเชื่อมั่นให้กับพนักงาน

 

เป็นที่น่าสนใจว่า 71% ของกำลังแรงงานไทยกล่าวว่า ได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรมจากหัวหน้างาน ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในภูมิภาค และ 42% กล่าวว่า ได้รับการสนับสนุนให้แสดงความคิดเห็นและโต้แย้งได้ อย่างไรก็ดี แม้ว่าการให้ข้อเสนอแนะ (Feedback) จะถือเป็นสิ่งสำคัญต่อการพัฒนาการทำงาน แต่มีเพียงประมาณครึ่งหนึ่งของกำลังแรงงานในภูมิภาคเท่านั้นที่มีความกระตือรือร้นในการได้รับข้อเสนอแนะและคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ต่อการทำงาน

 

  1. แนวปฏิบัติด้านสภาพภูมิอากาศขององค์กร แม้ว่าในปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะเป็นหนึ่งในกระแสสำคัญของโลกที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของทุกภาคส่วน แต่รายงานพบว่า กำลังแรงงานในภูมิภาคยังคงไม่มีความกระตือรือร้นในการผลักดันให้นายจ้างหันมาให้ความสำคัญในประเด็นนี้ โดยมีเพียง 41% ของกำลังแรงงานภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเท่านั้นที่มองว่า นายจ้างมีหน้าที่ความรับผิดชอบต่อการดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อม เปรียบเทียบกับแรงงานไทยที่ 56% ขณะที่ 61% เชื่อว่านายจ้างของตนมีการปฏิบัติการด้านสิ่งแวดล้อมในระดับที่เพียงพอ

 

อ้างอิง: 

The post สำรวจ 6 ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความพร้อมของกำลังแรงงานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก appeared first on THE STANDARD.

]]>
สร้างองค์กรที่มีความสามารถในการฟื้นตัวเพื่อรับมือกับโลกยุคดิสรัปชัน https://thestandard.co/company-adaptation-during-disruption-era/ Tue, 06 Jun 2023 08:59:29 +0000 https://thestandard.co/?p=799904 ยุคดิสรัปชัน

ในยุคที่องค์กรธุรกิจทั่วโลกต้องเผชิญกับความท้าทายหลากหล […]

The post สร้างองค์กรที่มีความสามารถในการฟื้นตัวเพื่อรับมือกับโลกยุคดิสรัปชัน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ยุคดิสรัปชัน

ในยุคที่องค์กรธุรกิจทั่วโลกต้องเผชิญกับความท้าทายหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ภาวะเงินเฟ้อสูง และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ รวมไปถึงภัยคุกคามทางไซเบอร์ ที่อาจส่งผลต่อการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน และอื่นๆ ผู้บริหารจึงต้องเตรียมความพร้อมขององค์กรในเชิงรุกเพื่อให้ธุรกิจเติบโตและอยู่รอดได้ ซึ่งกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้องค์กรก้าวข้ามวิกฤตต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพในโลกที่การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วไม่เว้นแต่ละวัน คือความสามารถในการฟื้นตัวขององค์กร (Resilience) 

 

เมื่อเร็วๆ นี้ PwC ได้จัดทำรายงานผลสำรวจ Global Crisis and Resilience Survey 2023 เพื่อศึกษาถึงการเตรียมตัวขององค์กรต่างๆ ในการรับมือกับผลกระทบจากภาวะวิกฤตและความสามารถในการฟื้นตัว รวมทั้งการจัดการทรัพยากร และการลงทุน โดยรวบรวมความคิดเห็นจากผู้บริหารจำนวน 1,812 รายทั่วโลกพบว่า ผู้นำธุรกิจส่วนใหญ่ตระหนักถึงความสำคัญของแนวคิดในการบริหารองค์กรที่มุ่งเน้นการสร้างความยืดหยุ่น เพราะช่วยให้ธุรกิจของพวกเขาสามารถฟื้นตัวจากวิกฤตต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว โดย 89% ของผู้บริหารกล่าวว่า ความสามารถในการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ถือเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญขององค์กร แต่ก็ยังมีองค์กรอีกจำนวนมากที่ขาดองค์ประกอบพื้นฐานที่จะช่วยให้องค์กรมีความยืดหยุ่น และฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว โดยผมขอสรุปสามประเด็นสำคัญที่พบจากรายงานฉบับนี้ ดังต่อไปนี้ 

 

  1. การบูรณาการโปรแกรมการสร้างความยืดหยุ่นเพื่อฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วถือเป็นสิ่งจำเป็น องค์กรไม่สามารถอยู่รอดได้หากยังทำงานแบบไซโล (Silo) แต่ควรต้องบูรณาการการทำงานที่มีความยืดหยุ่นเพื่อจัดการกับความเสี่ยงต่างๆ ที่มีความซับซ้อนและเชื่อมโยงถึงกันมากขึ้น ทั้งนี้ องค์กรต่างๆ ควรใช้แนวทางที่ผนวกความสามารถในการฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วผ่านการบูรณาการกระบวนการทำงานที่ดูแลจากส่วนกลางไปพร้อมๆ กับเพิ่มความยืดหยุ่นในส่วนที่จำเป็นของธุรกิจ และต้องปลูกฝังแนวคิดเหล่านี้ในกระบวนการทำงานและวัฒนธรรมองค์กร

 

  1. ผู้นำธุรกิจต้องสามารถนำพาองค์กรฝ่าวิกฤติที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและยกระดับทักษะของทีมงาน การที่ธุรกิจจะเติบโตในภาวะวิกฤตได้ ถือเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องมีผู้บริหารและทีมงานที่มีทักษะในการวางกลยุทธ์ และมีผู้บริหารระดับ C-suite ที่ให้การสนับสนุน ผลสำรวจระบุว่า ธุรกิจควรมีการกำหนดตัวผู้บริหารที่มีหน้าที่ความรับผิดชอบในด้านความสามารถในการฟื้นตัวขององค์กรอย่างชัดเจน นอกจากนี้ 31% ของผู้ตอบแบบสำรวจกล่าวด้วยว่า การสร้างทีมงานที่มีทักษะที่เหมาะสม คือความท้าทายสำคัญ ขณะที่ 57% เชื่อว่าการยกระดับทักษะให้กับผู้นำที่จะขึ้นมาบริหารในอนาคต ถือเป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญที่จะทำให้องค์กรมีความสามารถในการฟื้นตัว

 

  1. กระบวนการทำงานขององค์กรต้องมีความพร้อมที่จะปฏิบัติงานในสถานการณ์ที่ไม่ปกติ (Operational resilience: OpRes) องค์กรควรสร้างกระบวนการทำงานที่ยืดหยุ่น โดยมุ่งเน้นไปที่การปกป้องส่วนที่สำคัญที่สุดของธุรกิจผ่านการวางแผนงาน และการเตรียมตัวเพื่อไม่ให้การดำเนินงานต้องหยุดชะงัก เมื่อองค์กรมีกระบวนการทำงานที่บูรณาการแผนเพื่อการฟื้นตัวมากขึ้นแล้ว ก็ควรนำแนวทางของการสร้างความยืดหยุ่นมาปรับใช้ และจัดอันดับความสำคัญของการลงทุน ความสำคัญต่อธุรกิจ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ซึ่งจะทำให้องค์กรมีการจัดการความเสี่ยงที่น่าเชื่อถือและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

ลงทุนเพื่อรับมือกับความเสี่ยงและสร้างความยืดหยุ่น

 

อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า วันนี้รูปแบบการทำงานแบบดั้งเดิมเพื่อจัดการกับการฟื้นตัวจากความเสี่ยง ไม่สามารถใช้ได้อีกต่อไป เพราะการตรวจสอบและปฏิบัติตามกฎระเบียบเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำให้องค์กรมีความพร้อม โดยองค์กรหลายแห่งพลาดโอกาสที่จะค้นพบต้นตอของปัญหา และแก้ไขช่องโหว่ก่อนที่วิกฤตจะเกิดขึ้น ดังนั้นผู้นำธุรกิจจึงต้องเข้าใจกลยุทธ์ในการสร้างความยืดหยุ่นและการฟื้นตัวขององค์กร รวมถึงลงทุนในเทคโนโลยีที่สามารถดึงข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เพื่อนำมารวบรวมและวิเคราะห์ได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ ผ่านการทดสอบและพัฒนาเทคโนโลยีที่ใช้อย่างต่อเนื่อง 

 

ทั้งนี้ รายงานของ PwC ระบุว่า 60% ของผู้นำธุรกิจเข้าใจถึงความจำเป็นของการนำเทคโนโลยีมาช่วยสนับสนุนกลยุทธ์ความยืดหยุ่น ขณะที่เกือบ 90% วางแผนที่จะลงทุนด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ในช่วง 2 ปีข้างหน้า ตามมาด้วยการลงทุนในการจัดการภาวะวิกฤต (86%) และการจัดการในภาวะฉุกเฉิน (85%) อย่างไรก็ดี ยังมีองค์กรอีกจำนวนมากที่ไม่ได้วางแผนการลงทุนที่จำเป็นเพื่อจัดการกับความเสี่ยงต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเฝ้าระวังภัยคุกคามและการสร้างความยืดหยุ่นให้กับห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งหากผู้บริหารยังคงไม่ให้ความสำคัญกับการลงทุนในประเด็นต่างๆ เหล่านี้อย่างเพียงพอ ก็จะทำให้องค์กรตกอยู่ในความเสี่ยง และขาดศักยภาพในการจัดการภาวะวิกฤตอย่างไม่ต้องสงสัย

 

แนวทางในการสร้างความยืดหยุ่นให้กับองค์กร

 

รายงานของ PwC ฉบับนี้ ยังได้แนะนำห้าแนวปฏิบัติที่จะช่วยสร้างองค์กรให้มีความยืดหยุ่น และสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วจากภาวะวิกฤตหรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน ดังต่อไปนี้

 

  1. ส่งเสริมให้มีผู้บริหารที่รับผิดชอบแผนความยืดหยุ่น โดยมอบหมายให้ผู้บริหารระดับสูงมีหน้าที่รับผิดชอบในส่วนของการวางแผนเพื่อสร้างความสามารถในการฟื้นตัวอย่างชัดเจน

 

  1. ระบุบริการทางธุรกิจที่มีความสำคัญ เพื่อจับคู่การพึ่งพาและผนวกความสามารถในการฟื้นตัวจากบริการเหล่านี้

 

  1. มีโปรแกรมการสร้างความยืดหยุ่นแบบข้ามสายงาน โดยบูรณาการกระบวนการสร้างความยืดหยุ่นและการฟื้นตัวให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ คุณค่า และลำดับความสำคัญในการลงทุนทั่วทั้งองค์กร

 

  1. สร้างมุมมองภาพรวมของความเสี่ยงที่ไม่เหมือนใคร ก้าวข้ามการจัดการความเสี่ยงแบบเดิมๆ และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อหาจุดอ่อนและตัวชี้วัดอื่นๆ เพื่อการฟื้นตัว ซึ่งจะทำให้องค์กรสามารถจำกัด ต้านทาน และฟื้นตัวจากความเสี่ยงได้อย่างมั่นใจ

 

  1. เสริมความแข็งแกร่งให้กลยุทธ์การฟื้นตัวผ่านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี และหมั่นทดสอบอยู่เป็นประจำ กลยุทธ์ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีและมีการจัดการกับข้อมูลได้อย่างถูกต้องเหมาะสม จะช่วยให้องค์กรสามารถคาดการณ์ ป้องกัน เตรียมตัว และเรียนรู้จากความเสี่ยงและวิกฤตได้ ทั้งนี้ องค์กรจะต้องหมั่นประเมินความสามารถในการรับมือความเสี่ยงอยู่เป็นประจำด้วยเช่นกัน

 

อ้างอิง: 

  • Global Crisis and Resilience Survey 2023, PwC

The post สร้างองค์กรที่มีความสามารถในการฟื้นตัวเพื่อรับมือกับโลกยุคดิสรัปชัน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ซีอีโอจะตอบสนองความคาดหวังด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของนักลงทุนได้อย่างไร? https://thestandard.co/how-will-ceos-meet-investor-expectations/ Sat, 29 Apr 2023 07:30:42 +0000 https://thestandard.co/?p=783036 CEO Climate

แม้ว่าในปัจจุบันผู้นำธุรกิจและนักลงทุนสถาบันจะเริ่มตระห […]

The post ซีอีโอจะตอบสนองความคาดหวังด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของนักลงทุนได้อย่างไร? appeared first on THE STANDARD.

]]>
CEO Climate

แม้ว่าในปัจจุบันผู้นำธุรกิจและนักลงทุนสถาบันจะเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ แต่รายงานล่าสุด Climate leadership wanted: How CEOs can better meet investor expectations โดย strategy+business ของ PwC พบว่า ซีอีโอส่วนใหญ่ยังคงแสดงความกังวลต่อผลกระทบทางการเงินที่อาจเกิดขึ้นจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศน้อยกว่านักลงทุน ขณะที่มีซีอีโอเพียงไม่กี่รายที่มีการรายงานถึงแนวปฏิบัติในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศขององค์กร หรือมีการรายงานในระดับที่น้อยกว่าที่นักลงทุนคาดหวังไว้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ซีอีโอยังคงต้องเชื่อมโยงกลยุทธ์ด้านสิ่งแวดล้อมของบริษัทเข้ากับภารกิจสำคัญของนักลงทุน นั่นคือ การทำกำไร (Profitability) และนวัตกรรม (Innovation) รวมถึงมีการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่สามารถสร้างคุณค่า (Value Creation) ให้กับบริษัทได้ 

 

ซีอีโอยังคงมองการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็น ‘เรื่องเร่งด่วน’ น้อยกว่านักลงทุน

รายงานของ PwC ฉบับนี้ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการสร้างมูลค่าของบริษัทในสองทางหลัก ประกอบด้วย 1. ความเสี่ยงจากผลกระทบทางตรงของภัยพิบัติทางธรรมชาติ (Physical Risk) เช่น อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น หรือการเกิดพายุรุนแรงที่อาจเป็นอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจ และ 2. ความเสี่ยงที่เกิดจากผลกระทบของการออกกฎระเบียบของทางการเพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม (Transition Risk) เช่น มีกฎหมายสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ หรืออิทธิพลของผู้บริโภคและนักลงทุนที่ให้ความสนใจกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่อาจส่งผลต่อรูปแบบการดำเนินธุรกิจ

 

สิ่งที่น่าสนใจจากการสอบถามความคิดเห็นของทั้งซีอีโอและนักลงทุนถึงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีต่อความสูญเสียทางการเงินของบริษัทในอีก 12 เดือนและ 5 ปีข้างหน้า รวมถึงมุมมองต่อการเปลี่ยนผ่านแหล่งพลังงานใหม่จะส่งผลต่อความสามารถในการทำกำไรของอุตสาหกรรมในอีก 10 ปีข้างหน้า พบว่า นักลงทุนให้ความสำคัญกับประเด็นต่างๆ เหล่านี้ในระดับที่มากกว่าซีอีโอ โดยนักลงทุนมองความเสี่ยงของความสูญเสียทางการเงินจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในช่วง 12 เดือนข้างหน้าสูงกว่าซีอีโอถึง 1.6 เท่า ในขณะที่มองความเสี่ยงของความสูญเสียทางการเงินในช่วง 5 ปีสูงกว่าซีอีโอเกือบ 2 เท่า และสุดท้ายมองผลกระทบทางการเงินจากการเปลี่ยนแปลงแหล่งพลังงานที่มีต่อผลกำไรของบริษัทในระยะ 10 ปีสูงกว่าซีอีโอถึง 1.4 เท่า

 

 

นักลงทุนต้องการให้ธุรกิจจัดลำดับความสำคัญด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่ซีอีโอยังมีการรายงานความก้าวหน้าในเรื่องนี้น้อยกว่าที่คาดหวัง

ผลจากการสำรวจความคิดเห็นของนักลงทุนพบว่า 44% ของผู้ตอบแบบสอบถามเห็นด้วยว่า ธุรกิจควรจัดให้การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิตและโซ่อุปทาน เป็น 1 ใน 5 ภารกิจสำคัญขององค์กร โดยอันดับที่ 1 นวัตกรรม (83%) ตามมาด้วย อันดับที่ 2 ผลประกอบการที่มีกำไร (69%) อันดับที่ 3 ความปลอดภัยทางไซเบอร์และนโยบายความเป็นส่วนตัว (51%) และอันดับที่ 4 บรรษัทภิบาล (49%) นอกจากนี้ นักลงทุนส่วนใหญ่ยังเชื่อว่า การเตรียมความพร้อมในตอนนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการจัดการความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในอนาคต โดยแนวปฏิบัติที่คาดหวังให้ธุรกิจดำเนินการ ครอบคลุมตั้งแต่ การริเริ่มโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (75%) การพัฒนาผลิตภัณฑ์และกระบวนการที่เป็นมิตรกับสภาพภูมิอากาศ (73%) และการพัฒนากลยุทธ์ด้านสิ่งแวดล้อมในระดับองค์กรผ่านการวิเคราะห์ข้อมูล (69%) เป็นต้น

 

ในทางกลับกัน สัดส่วนของซีอีโอที่รายงานว่า บริษัทของตนมีความคืบหน้าในการดำเนินกิจกรรมเหล่านี้มีจำนวนน้อยกว่าที่นักลงทุนคาดไว้ เช่น มีซีอีโอเพียง 66% (ทั้งที่ปฏิบัติเสร็จสิ้นแล้ว และกำลังอยู่ระหว่างการปฏิบัติ) ที่มีความคืบหน้าในการริเริ่มโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือ 61% ที่มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์และกระบวนการที่เป็นมิตรกับสภาพภูมิอากาศ และมีเพียง 58% ที่มีการพัฒนากลยุทธ์ด้านสิ่งแวดล้อมระดับองค์กรโดยใช้การวิเคราะห์ข้อมูล

 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ซีอีโอจะตอบสนองความคาดหวังของนักลงทุนให้มากขึ้นได้อย่างไร?

PwC ยังได้นำเสนอแนวทางที่สำคัญที่ซีอีโอควรนำไปพิจารณาเพื่อปรับแนวทางและกลยุทธ์ด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อตอบสนองความคาดหวังของนักลงทุนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังต่อไปนี้ 

 

  1. วางแผนกรณีทางการเงินเพื่อการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศที่ชัดเจน ซีอีโอและนักลงทุนมองว่า การเปลี่ยนผ่านพลังงาน (Energy Transition) จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในระยะยาว โดยมากกว่า 1 ใน 3 ของซีอีโอที่ถูกสำรวจ (37%) กล่าวว่า การเปลี่ยนไปใช้แหล่งพลังงานใหม่จะมีผลต่อความสามารถในการทำกำไรในอุตสาหกรรมของพวกเขาในช่วง 10 ปีข้างหน้า ในขณะที่เพียง 14% เท่านั้นที่มองว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นความเสี่ยงที่กำลังจะมาถึงในปีนี้ ซึ่งนักลงทุนก็มีมุมมองที่สอดคล้องกัน โดย 50% มองว่าการเปลี่ยนไปใช้แหล่งพลังงานใหม่จะมีผลต่อความสามารถในการทำไรของบริษัทใน 10 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ อย่างที่กล่าวไปตอนต้นว่า นักลงทุนให้ความสำคัญกับทั้งความสามารถในการทำกำไรและนวัตกรรม รวมถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ดังนั้น ซีอีโอจึงควรต้องวางแผนกรณีทางการเงินทั้งในแง่ของความเสี่ยงและโอกาส เพื่อกำหนดแนวปฏิบัติด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างชัดเจนและเหมาะสม

 

  1. รักษาและแสดงวินัยทางการเงิน สำหรับซีอีโอ โครงการด้านสภาพภูมิอากาศที่มุ่งเน้นไปที่การสร้างคุณค่าเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น โดยนักลงทุนยังคาดหวังให้ผู้บริหารต้องแสดงผลลัพธ์ทางการเงินเชิงบวก ซึ่งรายงานพบว่า 81% ของนักลงทุนกล่าวว่า พวกเขาจะยอมรับผลตอบแทนโดยรวมของบริษัทลดลงไม่เกิน 1% สำหรับของบริษัทในพอร์ตโฟลิโอที่ดำเนินการด้านความยั่งยืนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของพวกเขา นอกจากนี้ นักลงทุนจำนวนมากยังต้องการเห็นบริษัทเปิดเผยผลกระทบจากความเสี่ยงด้านความยั่งยืนและโอกาสในสมมติฐานของงบการเงิน (70%) ความสัมพันธ์ของปัจจัยด้านความยั่งยืนกับรูปแบบธุรกิจ (69%) และผลกระทบภายนอกของธุรกิจที่มีต่อสิ่งแวดล้อมหรือสังคม (60%) ซีอีโอจึงต้องมีวินัยในการจัดการและรายงานผลกระทบทางการเงินของโครงการด้านสภาพภูมิอากาศต่างๆ เพื่อตอบสนองความคาดหวังเหล่านี้

 

  1. ปรับปรุงคุณภาพและความสอดคล้องของการรายงานเกี่ยวกับความยั่งยืน นักลงทุนจำนวนมากยังคงไม่มั่นใจในการรายงานความยั่งยืนและข้อมูลที่บริษัทต่างๆ เปิดเผย โดยน้อยกว่า 40% กล่าวว่า การเปิดเผยข้อมูลการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และ 61% กล่าวว่า พวกเขาใช้รายงานยั่งยืนของบริษัทเพื่อประเมินว่าบริษัทนั้นๆ มีการจัดการความเสี่ยงและโอกาส ในขณะที่นักลงทุนในสัดส่วนมากกว่านั้นให้ความเชื่อมั่นกับงบการเงิน (89%) การพูดคุยกับบริษัท (81%) การรายงานอื่นๆ นอกเหนือจากการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืน (80%) หรือแม้แต่แหล่งข้อมูลจากบุคคลที่สาม (79%) สิ่งที่น่ากังวลที่สุด คือ 87% ของนักลงทุนเชื่อว่า การรายงานความยั่งยืน ส่วนหนึ่งเป็นการฟอกเขียว (Greenwashing) 

 

ดังนั้น การเปิดเผยข้อมูลที่นักลงทุนให้ความสนใจมากขึ้นจะช่วยปรับปรุงความสอดคล้องของรายงานความยั่งยืน และได้รับความเชื่อมั่นมากขึ้น ทั้งนี้ 75% ของนักลงทุนกล่าวว่า ความคิดเห็นจากผู้ตรวจสอบที่เป็นอิสระและน่าเชื่อถือในระดับเดียวกับผู้ตรวจสอบรายงานทางการเงินจะสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนในระดับกลางหรือระดับสูงได้

 

จากหลากหลายตัวชี้วัดที่กล่าวมา เราจะเห็นว่านักลงทุนมีความกังวลด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเห็นว่าปัญหานี้จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญกับธุรกิจมากกว่าซีอีโอ ดังนั้น ผู้นำธุรกิจจึงควรต้องเร่งดำเนินการในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในทุกมิติ โดยไม่มีเพียงแค่แนวปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังต้องนำเสนอรายงานที่น่าเชื่อถือ และมีการเชื่อมโยงการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศเข้ากับการสร้างคุณค่าให้กับองค์กรในระยะยาว


ข่าวที่เกี่ยวข้อง


อ้างอิง: 

The post ซีอีโอจะตอบสนองความคาดหวังด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของนักลงทุนได้อย่างไร? appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘Frictionless Retail’ กับโลกของการช้อปปิ้งที่กำลังเปลี่ยนไป https://thestandard.co/frictionless-retail-shopping/ Wed, 22 Mar 2023 05:19:05 +0000 https://thestandard.co/?p=766651

แม้เราจะผ่านปี 2566 ไปได้เพียงไตรมาสเดียว แต่ผู้บริโภคแ […]

The post ‘Frictionless Retail’ กับโลกของการช้อปปิ้งที่กำลังเปลี่ยนไป appeared first on THE STANDARD.

]]>

แม้เราจะผ่านปี 2566 ไปได้เพียงไตรมาสเดียว แต่ผู้บริโภคและบริษัทร้านค้าต่างกำลังเผชิญกับแรงกดดันทั้งจากภายในและภายนอก ไม่ว่าจะเป็นการผลิตสินค้าที่ต้องสร้างประสบการณ์ที่ดีและความพึงพอใจให้กับผู้บริโภคมากขึ้น ขณะที่ความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อและสถานการณ์เศรษฐกิจที่ยังคงมืดมัวในหลายๆ ประเทศ ทำให้ผู้บริโภคหันมาปรับพฤติกรรมการใช้จ่ายเพราะมีความกังวลต่อสถานะทางการเงินของตน สำหรับผู้บริโภคที่เริ่มกลับมาจับจ่ายใช้สอยที่ร้านค้า และเริ่มเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้นเหมือนช่วงก่อนวิกฤตโรคระบาด แต่ด้วยอิทธิพลของเทคโนโลยี ทำให้พวกเขาแสวงหาประสบการณ์ในการช้อปปิ้งที่ลื่นไหลและไร้รอยต่อทั้งออนไลน์และออฟไลน์มากขึ้น เพื่อสอดรับกับวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปในยุคดิจิทัล ในขณะเดียวกันก็ต้องการความเชื่อมั่นว่าความปลอดภัยของข้อมูลและความเป็นส่วนตัวจะถูกปกป้องอย่างดีที่สุด

 

จากปัจจัยทั้งหมดที่กล่าวมาทำให้ธุรกิจและผู้ประกอบการจะต้องรู้เท่าทัน และจัดการกับอุปสรรคทุกอย่างที่อาจส่งผลต่อการสร้างประสบการณ์ที่ดีกับผู้บริโภค และจะต้องเข้าถึงลูกค้าให้ได้ในทุกๆ ที่ที่พวกเขาอยู่

 

เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา PwC ได้จัดทำผลสำรวจ Global Consumer Insights Pulse Survey: Consumers Seek Frictionless Experiences in a World of Disruptions โดยรวบรวมความคิดเห็นของผู้บริโภคทั่วโลกจำนวน 9,180 คน ใน 25 ประเทศและอาณาเขต รวมถึงประเทศไทย พบว่ามีแนวโน้มพฤติกรรมของผู้บริโภคที่น่าสนใจ ที่ผู้ประกอบการจะสามารถนำไปปรับใช้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ราบรื่นให้กับลูกค้าได้ ดังต่อไปนี้

 

1. เงินเฟ้อฉุดความต้องการในการใช้จ่าย

ราคาสินค้าและบริการที่เพิ่มขึ้นเร็วกว่ารายได้ของผู้บริโภคในหลายพื้นที่ทั่วโลกย่อมส่งผลให้กำลังซื้อของคนส่วนใหญ่ลดลง โดย 50% ของผู้บริโภคที่ถูกสำรวจมีความกังวลมากเกี่ยวกับสถานการณ์เงินเฟ้อที่ส่งผลต่อสถานะทางการเงินของตน โดย 96% มีแผนที่จะปรับพฤติกรรมการใช้จ่ายในทุกๆ ด้านในอีกหกเดือนข้างหน้า ขณะที่ 42% จะลดการเดินทางท่องเที่ยว หรือเปลี่ยนมาซื้อสินค้าของแบรนด์ที่มีราคาถูกกว่าที่เคยใช้ หรือแม้แต่การซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่พบว่า 24% มีแผนที่จะหันมาลดค่าใช้จ่ายด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ดี ยังคงมีผู้บริโภคอีกจำนวนหนึ่งที่ยินดีจะซื้อสินค้าและบริการที่มีคุณค่ากับตน โดยผลสำรวจพบว่า มากกว่า 70% ของผู้บริโภค ยินดีที่จะซื้อสินค้าจากผู้ผลิตอาหารท้องถิ่น หรือสินค้าที่บริษัทมีการส่งเสริมสิทธิมนุษยชน และหลีกเลี่ยงการทดสอบสินค้ากับสัตว์ เป็นต้น

 

2. ผู้บริโภคในโลกยุคฟิจิทัล (Phygital)

วันนี้พฤติกรรมการใช้จ่าย ความคาดหวัง และประสบการณ์ในการช้อปปิ้งของผู้บริโภคถูกผสมผสานระหว่างปัจจัยทางกายภาพ (Physical) และปัจจัยทางดิจิทัล (Digital) ธุรกิจจึงต้องเข้าถึงผู้บริโภคให้ได้ทั้งสองทาง นั่นคือต้องยกระดับประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ร้านค้าให้มีความสะดวก รวดเร็ว และราบรื่นด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งการผสมผสานระหว่างช่องทางกายภาพและช่องทางดิจิทัลนี้เรียกว่า ‘Phygital’

 

ทั้งนี้ เมื่อถามผู้บริโภคถึงปัจจัยที่จะช่วยยกระดับประสบการณ์ในการช้อปปิ้งที่ร้านค้าได้มากที่สุด พบว่าความรู้และพนักงานขายที่มีความสามารถ ช่องทางที่สามารถจ่ายเงินได้ด้วยตัวเอง (Self-Service Kiosk) และแอปพลิเคชันที่ช่วยค้นหาสินค้าภายในร้าน กำลังเป็นที่ต้องการมากที่สุด (41%) นี่ยังสะท้อนด้วยว่าผู้บริโภคยังคงต้องการที่จะกลับมาช้อปปิ้งที่หน้าร้าน แต่ก็คาดหวังให้ร้านค้าใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมาร่วมสร้างประสบการณ์ด้วย

 

3. การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมการใช้จ่ายประจำวัน

รวมถึงช่องทางที่ผู้บริโภคเลือกใช้ในการซื้อสินค้า โดยนอกจากคนส่วนใหญ่จะหันมาช้อปปิ้งกับร้านค้าทั้งออนไลน์และออฟไลน์แล้ว ผลสำรวจพบว่า 68% ของผู้บริโภคกล่าวว่า ราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นส่งผลต่อประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ร้านค้ามากที่สุด ตามมาด้วยปัญหาสินค้าหมด (42%) และการต้องต่อคิวรอซื้อสินค้าเป็นเวลานานๆ (39%) เช่นเดียวกัน เมื่อถามผู้บริโภคให้ระบุปัญหาที่เกิดขึ้นแทบจะตลอดเวลา หรือบ่อยครั้งระหว่างทำการช้อปปิ้งออนไลน์ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา ผู้บริโภคก็ให้คำตอบไปในทิศทางเดียวกัน

 

4. รูปแบบการทำงานแบบไฮบริด (Hybrid) ยังคงอยู่

ผลสำรวจนี้ยังได้สอบถามถึงรูปแบบการทำงานของผู้บริโภค ซึ่งพบว่า 36% ยังคงทำงานในรูปแบบผสมผสานการทำงานจากที่บ้าน สถานที่ทำงาน หรือที่อื่นๆ ได้ โดยเป็นตัวเลขที่ลดลงจากการสำรวจในครั้งก่อนหน้าเมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2565 ที่คนส่วนใหญ่ทำงานแบบไฮบริดมากถึง 41% โดยปัจจุบัน 56% ของผู้ตอบแบบสำรวจระบุว่า พวกเขาทำงานที่สถานที่ทำงานตลอดเวลา โดยมีเพียง 7% เท่านั้นที่ทำงานจากที่บ้าน ทั้งนี้ แม้ว่ารูปแบบการทำงานจะมีความแตกต่างกันออกไปตามแต่ละประเทศและอาณาเขต แต่รายงานพบว่าการทำงานแบบไฮบริดยังคงเป็นที่นิยมมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

 

5. การค้าปลีกที่สร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งแบบลื่นไหล (Frictionless Retail)

คือการกำจัดอุปสรรคต่างๆ ของผู้บริโภคเมื่อซื้อของที่หน้าร้าน ไม่ว่าจะเป็นการรอคิว การต้องหยิบเงินสด หรือรูดบัตรเครดิตเพื่อชำระเงิน และอื่นๆ ทำให้เกิดเทคโนโลยีประเภท Computer-Vision ซึ่งเป็นแขนงหนึ่งของ AI ที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถเดินเข้าร้าน เลือกสินค้าที่ต้องการ จากนั้นเดินออกจากร้านได้เลยโดยไม่ต้องสแกนหรือต่อคิวเพื่อจ่ายเงิน ซึ่งยังช่วยให้ผู้ประกอบการลดค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรได้ด้วย อย่างไรก็ดี นี่ไม่ได้หมายความว่าผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกจะพากันลดการจ้างงาน โดยผลสำรวจของ PwC พบว่า ธุรกิจยังคงรักษาจำนวนพนักงานในระดับเท่าเดิม แต่มีแผนที่จะอบรมพนักงานใหม่และยกระดับทักษะเดิมของพนักงานที่มีอยู่มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งทักษะด้านการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูล

 

นอกจากนี้ยังเป็นที่น่าสนใจว่า ผู้บริโภคมากกว่าครึ่ง (54%) ที่เลือกซื้อของที่หน้าร้านหรือสั่งออนไลน์ แต่กลับไปรับสินค้าที่ร้านกล่าวว่า ที่ทำเช่นนี้พราะต้องการตรวจสอบว่าได้รับสินค้าถูกต้องและไม่เกิดความเสียหาย ขณะที่ 40% ของผู้บริโภค เพิ่มการช้อปปิ้งที่ร้านค้า แต่ลดการช้อปปิ้งออนไลน์ลง เพราะค่าจัดส่งสูงเกินไป

 

6. จับตาแพลตฟอร์มเมตาเวิร์ส (Metaverse)

สภาพแวดล้อมในโลกดิจิทัลกำลังเปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานเทคโนโลยี 5G หรือการผสมผสานการช้อปปิ้งเข้ากับแอปพลิเคชันของโซเชียลมีเดีย แต่แพลตฟอร์มดิจิทัลที่ธุรกิจจะต้องให้ความสนใจในระยะถัดไปคือ ‘เมตาเวิร์ส’ ซึ่งแม้ว่าวันนี้เมตาเวิร์สจะยังอยู่ในระยะเริ่มต้นและยังมีอุปสรรคในตัวมันเอง แต่เมตาเวิร์สไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลง แต่เป็นการปฏิวัติโลกดิจิทัล ทั้งนี้ ผลสำรวจพบว่ามากกว่าหนึ่งในสี่ของผู้บริโภค ได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ ในเมตาเวิร์สในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมบันเทิงและการช้อปปิ้ง ในส่วนของผู้บริโภคชาวไทยเองมีผู้ตอบแบบสอบถามถึง 25% ที่ระบุว่าเคยร่วมกิจกรรมในโลกเมตาเวิร์ส

 

7. ความเป็นส่วนตัวของข้อมูลมีความสำคัญกับผู้บริโภคเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อถามถึงความกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ผู้บริโภคเกือบครึ่งหนึ่ง (47%) มีความกังวลอย่างมากในการใช้งานโซเชียลมีเดีย ตามมาด้วยการใช้งานผ่านสื่อทั่วไป (41%) เว็บไซต์การท่องเที่ยว (36%) และบริษัทด้านสุขภาพ (34%) ในขณะที่ความกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวของข้อมูลที่มีต่อบริษัทด้านผู้บริโภค (32%) และค้าปลีก (30%) อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า ซึ่งอาจเป็นเพราะลูกค้าได้รับข้อมูลที่ชัดเจนและโปร่งใสกว่าในรูปแบบบัตรกำนัล ส่วนลด และข้อเสนอพิเศษ นอกจากนี้ผู้บริโภคก็ไม่นิ่งนอนใจที่จะปกป้องข้อมูลของตนเอง โดยไม่ให้ข้อมูลส่วนบุคคลที่เกินความจำเป็น (49%) และเลิกรับอีเมล ข้อความโฆษณา หรือการสื่อสารอื่นๆ จากบริษัทและร้านค้าที่ไม่ต้องการ (32%) ทั้งนี้ ธุรกิจควรต้องสร้างความไว้วางใจผ่านการลงทุนด้านความปลอดภัย และความเป็นส่วนตัวของข้อมูลอย่างต่อเนื่อง

 

8. การค้าปลีกที่สร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งแบบรื่นไหล ต้องอาศัยความจงรักภักดีของลูกค้า

เมื่อมองไปข้างหน้า ธุรกิจจะต้องรับมือกับอุปสรรคสามด้าน ได้แก่

 

  1. อุปสรรคที่อยู่เหนือการควบคุม เช่น เงินเฟ้อ ภาวะเศรษฐกิจถดถอย สงคราม และการหยุดชะงักจากวิกฤตโรคระบาด ซึ่งธุรกิจจะต้องสร้างความยืดหยุ่นในการฟื้นตัว จัดทำการวางแผนด้วยสถานการณ์ จัดการห่วงโซ่อุปทาน ปรับรูปแบบการดำเนินงานและกำลังแรงงาน
  2. อุปสรรคจากการดำเนินงานภายในบริษัท เช่น ขาดแคลนพนักงาน หรือไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้ ซึ่งบริษัทต้องมุ่งเน้นการดำเนินงานที่เป็นเลิศ และใช้เทคโนโลยีต่างๆ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดี และ
  3. อุปสรรคจากผู้บริโภค เช่น พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปจากสภาพเศรษฐกิจ ซึ่งบริษัทจะต้องติดตามกระแสความเปลี่ยนแปลง ลงทุนอย่างเหมาะสม รวมทั้งมีโครงการริเริ่มในด้านต่างๆ เพื่อสามารถเข้าถึงและสร้างประสบการณ์ที่ผสมผสานระหว่างช่องทางกายภาพและช่องทางดิจิทัล ให้ลูกค้าเกิดความจงรักภักดีต่อแบรนด์ได้

บทความที่เกี่ยวข้อง:


อ้างอิง:

  • February 2023 Global Consumer Insights Pulse Survey, PwC

The post ‘Frictionless Retail’ กับโลกของการช้อปปิ้งที่กำลังเปลี่ยนไป appeared first on THE STANDARD.

]]>